Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 10 การพยาบาลเด็กที่มีปัญหา เซลเจริญผิดปกติ, นางสาว กนกวรรณ เนียมพลู…
บทที่ 10 การพยาบาลเด็กที่มีปัญหา
เซลเจริญผิดปกติ
มะเร็งเม็ดเลือดขาว (ALL)
(Acute lymphoblastic leaukemia)
ความหมาย
Leukemia
มะเร็งของทางระบบโลหิต เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ต้นกำเนิด(Stem cell) ที่อยู่ในไขกระดูก (Bone Marrow)
มีการแบ่งตัวผิดปกติไม่สามารถ differentiate ไปเป็นเซลล์ตัวแก่ได้จะเป็นแต่เซลล์ตัวอ่อน
มีเซลล์ตัวอ่อนมากทำให้การสร้างเม็ดเลือดแดงและเกร็ดเลือดลดลง
ผู้ป่วยจึงเกิดอาการซีด เลือดออก และติดเชื้อได้ง่าย
จะเป็นมากในเด็กอายุ2-5ปี
acute lymphoblastic leukemia 2ชนิด
T-cell lymphoblastic leukemia
B-cell lymphoblastic leukemia
*
จะพบชนิดนี้
มีการแบ่งตัวรวดเร็วคุมไม่ได้ในไขกระดูก(Bone marrow)จึงมีเซลเม็ดเลือดขาวตัวอ่อน (blast cell) เป็นจำนวนมาก
ผลของการมีเซลเม็ดเลือดขาวเยอะทำให้การสร้างเม็ดเลือดแดง เกร็ดเลือดลดลง
ผู้ป่วยจึงมีอาการซีดเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย เลือดออกง่าย ติดเชื้อได้ง่าย
ชนิดของมะเร็งเม็ดเลือดขาว
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด ALL
พบได้ทุกช่วงอายุทั้งในเด็กและผู้ใหญ่แต่พบได้บ่อยที่สุดในเด็กอายุ2-5 ปี
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิด CLL (Chronic lymphocytic leukemia)
พบในผู้ใหญ่ และมีความชุกของโรคมากขึ้นตามอายุ
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด AML (Acute myelogenous leukemia)
พบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็กและพบในผู้ชายบ่อยกว่าผู้หญิง
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิด CML (Chronic myelogenous leukemia)
พบน้อย พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เด็กประมาณ 80% พบเด็กอายุมากกว่า 4 ปี
สาเหตุของมะเร็งเม็ดเลือดขาว
ปัจจัยทางด้านพันธุกรรม
ดาวน์ซินโดรม (Down’s syndrome)เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเม็ด
เลือดขาวเฉียบพลันชนิด ALL และ AML มากกว่าคนปกติ
สมาชิกในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด ALL
ฝาแฝดที่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด ALL แฝดอีกคนมีโอกาสเป็น25%
ปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม
ประวัติได้รับยาเคมีบำบัดในการรักษาโรคมะเร็งชนิดอื่นมาก่อน
การได้รรับรังสีไออนไนซ์(Ionizing radiation)ตรวจและรักษาในปริมาณสูง เช่น ในเด็กที่รับรังสีรักษาในขณะอยู่ในครรภ์จากการตรวจโรคของมารดา
การสัมผัสสารเคมีที่เป็นพิษโดยเฉพาะสารเบนซิน (Benzene) สาร
ฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) เสี่ยงเกิดเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว
การได้รับควันบุหรี่และการสูบบุหรี่
เซลล์กระจายไปอวัยวะอื่นเช่น ตับ
ม้าม ต่อมน้ำเหลือง ทำให้มีต่อมน้ำเหลือง ตับ ม้ามโต
อาการ
การวินิจฉัย
เจาะเลือดหาเซลล์เลือดตัวอ่อนเม็ดเลือขาวBlast cell
ยืนยันการเจาะไขกระดูก Bone marrow Transplanted เพื่อดูให้ชัดเจนว่ามีการแบ่งตัวที่ผิดปกติในไขกระดูกจริงหรือไม่
อาการแรกเบื่ออาหาร น้ำหนักลด ซีด อ่อนเพลีย
มีเกร็ดเลือดต่ำเลือดออกง่าย ออกตามไรฟัน มึจ้ำเลือด
เม็ดเลือดขาวไปเบียดบังอวัยวะต่างๆทำให้มีก้อนขึ้นที่ขาหนีบ ต่อมน้ำเหลือง ขา คอ หรือมีตับ ม้ามโต
เม็ดเลือดขาวมากต้านทานโรคไม่ได้ติดเชื้อง่าย ไข้ เป็นสาเหตุสำคัญของมาโรงพยาบาล
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง(Lymphoma)
การวินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
การตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา (Biopsy)
การตรวจไขกระดูก เอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์(CT scan) การตรวจกระดูก (Bone scan)
การตรวจ PET scanตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์
อาการ
อาการเริ่มต้นที่พบบ่อย
คลำพบก่อนที่คอ รักแร้ ขาหนีบ ไม่เจ็บ
อาการติดเชื้อจะมีอาการเจ็บที่ก้อน
เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลียไม่ทราบสาเหตุ
ไอเรื้อรัง หายใจไม่สะดวก ต่อทอนซิลโต ปวดศีรษะ
มีไข้ หนาว สั่น เหงื่อออกมากตอนกลางคืนคันทั่วร่างกาย
อาการในระยะลุกลาม
ซีด มีเลือดออกง่าย เช่น จุดเลือดออกตามตัว จ้ำเลือด
เกิดที่ช่องท้องผู้ป่วยจะมีอาการแน่นท้อง หรืออาหารไม่ย่อย ท้องโตขึ้นจากการมีน้ำในช่องท้อง
แนวทางการรักษาในปัจจุบัน
การรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นเนิด (Transplantation)
การใช้ยาเคมีบ้าบัด (Chemotherapy)
การฉายรังสี(Radiation Therapy) คือการรักษาด้วยรังสีปริมาณสูง เพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง
พบบ่อบต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ(CervicalLympnode
ชนิด
มะเร็งต่อมน้้าเหลืองชนิดฮอดจ์กิน (Hodgkin Lymphoma)ไม่มีอาการบวม
มะเร็งต่อมน้้าเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน (Non-Hodgkin Lymphoma)อาการจะเร็วและรุนแรง
Burkitt Lymphoma มีต้นกำเนิดมาจาก B-cell( B lymphocyte) มีการแทรกกระจายในเนื้อเยื่อ มีก้อนเนื้องอกที่โตเร็วมาก พบในช่ิงท้อง ขากรรไกร
มะเร็งไต Wilm Tumor
ภาวะที่เนื้อไตชั้นพาเรนไคมา(Parenchyma) มีการเจริญผิดปกติจนกลายเป็นก้อนเนื้องอกภายในเนื้อไต
ขนาดใหญ่ และคลำได้ทางหน้าท้อง และมักจะเป็นที่ไตข้างใดข้างหนึ่ง
*
ไม่ให้คลำบ่อย เพราะทำให้ก้อนแตก หรืออาจเกิดการแพร่กระจายของมะเร็ง
Neuroblastoma
เนื้องอกชนิดร้ายแรงที่พบได้บ่อยในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี
ต้นกำเนิดมาจากเซลล์ของระบบประสาท(Neural crest)เกิดบริเวณใดก็ได้ที่มีเนื้อเยื่อ Sympathetic nerve ได้แก่ ต่อมหมวกไต(adrenal gland) ในช่องท้อง
อาการนำมารพ.
ได้แก่ มีก้อนในท้อง ท้องโต ปวดท้อง อาการอื่นๆ
ได้แก่ ตาโปนมีรอยช้ ารอบตา(raccoon eyes) มีไข้ ปวดกระดูก ตำแหน่งที่พบก้อนครั้งแรกมากที่สุดคือต่อมหมวกไต
การตอบสนองต่อการรักษาจะไม่ดี อัตราการตายสูง
การดูแลเด็กที่ได้รับยาเคมีบำบัด
ผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัด
ผลต่อระบบเลือด
เม็ดเลือดแดง : RBC ผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัดจะมีภาวะซีด (Anemia)ให้เลือเมื่อค่าHb อยู่ที่ 8-10 gm/dl
เม็ดเลือดขาวต่ำ(Leukopenia) ประเมินได้จากค่า ANC : absolute neutrophil count
ทำให้ไขกระดูกผลิตเซลล์เม็ดเลือดต่างๆ ได้น้อยลงเช่น เซลล์เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกร็ดเลือด ก่อนการให้เคมีบำบัดต้องตรวจเลือดเพื่อควาปลอดภัย
เกร็ดเลือดต่ำ (thrombocytopenia)มีเกล็ดเลือดน้อยกว่า 100,000/mm3 ส่งผลให้เกิดภาวะเลือดออกง่ายกว่าปกติได้ในรายที่มีต่ ากว่า 50,000เซลล์/ลบ.มม.จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการเลือดออกง่ายหยุดยาก
ผลต่อระบบทางเดินอาหาร
เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน แผลในปากและคอ ปวดท้อง
ท้องเดิน ท้องผูก
ในรายที่มีอาการอาเจียนแพทย์จะมีแผนการรักษาให้ยา Onsia (ondansetron) เข้าทางหลอดเลือดดำ
ดูแลช่องปาก ให้ผู้ป่วยบ้วนปากด้วย 0.9%NSS อย่างต่อเนื่องทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร อาจจะทุก 2 ชั่วโมงในรายที่มีแผลในปาก
ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารด้วยการให้ผู้ป่วยรับประทาน Low Bacterial diet คืออาหารที่สุกสะอาดและปรุงเสร็จใหม่ๆ
ผลต่อระบบผิวหนัง
ผมร่วงหลังจากได้ยาไปแล้ว 2-3 สัปดาห์และจะงอกขึ้นมาใหม่หลังหยุดยา2-3 เดือน หรือบางต าราบอกว่า 5 เดือน
ลักษณะผมที่ขึ้นมาใหม่จะไม่เหมือนเดิม สี ความหนา ความยืดหยุ่น จะเปลี่ยนไป
ตับ
ยาเคมีบำบัดส่วนใหญ่จะถูกย่อยสลายที่ตับและบางชนิดมีฤทธิ์ทำลายตับMethotrexate, Vincristine
มีอาการ ตัวตาเหลือง , อ่อนเพลีย, ปวดชายโครงด้านขวา, ท้องโตขึ้นหรือเท้าบวม
สามารถตรวจติดตามโดยการเจาะเลือดดูการท างานของตับเป็นระยะ
ได้ยาป้องกันการติดเชื้อที่ปอดคือ Bactrimหรือ Cotrimoxazole)รับประทานอยู่ประจำทุกวันศุกร์เสาร์อาทิตย์ขณะรับการรักษาด้วยเคมีบำบัดใกล้หมดต้องขอให้แพทย์สั่งยาเพิ่มเสมอทานต่ออีก 6 เดือน
ระบบทางเดินปัสสาวะ ระบบทางเดินปัสสาวะ
ยาเคมีบำบัดส่วนใหญ่จะถูกขับออกทางไตยาบาง
ชนิดก็มีฤทธิ์ทำลายไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ
การตกตะกอนของยาเคมีบำบัดทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ Cystitis
ผู้ป่วยจะต้องได้รับน้ำที่มากพอทางหลอดเลือดดำและทางปาก และต้องปรับปรับให้ปัสสาวะมีฤทธ์เป็นด่าง
โดยให้7.5% NaHCO3 ติดตามค่าsp.gr ให้ต่ำกว่า 1.010 และค่า PH ของปัสสาวะสูงกว่า 6.5-7 (สภาพความเป็นด่าง)
ยาเคมีบำบัด ที่มีผลเสียต่อไต เช่น Cyclophosphamide, Methotrexate, Ifosfamide และ
Streptozocin เจาะเลือดเป็นระยะๆ เพื่อดูค่า BUN Cr
การวางแผนการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัด
3 รับประทานอาหารที่สุกใหม่
Low Bacterial Dietโดยให้มีคุณค่าครบถ้วน แคลอรีและโปรตีนสูง งดอาหารที่ลวก ย่าง รวมทั้งผักสด ผลไม้ที่มีเปลือกบาง เช่น ชมพู่ องุ่น ฝรั่ง ดื่มนมที่ผลิตด้วยวิธีสเตอริไลส์ และยูเอช ที UHT
4.การดูแลปัญหาซีด
แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีโปรตีนและธาตุเหล็กสูง เพื่อสร้างเม็ดเลือด เรื่องสำคัญคือการให้เลือดที่ติดต่อกัน ต้องเฝ้าระวังภาวะชักจากความดันสูง(HCC syndrome : Hypertensive convalsion cerebral hemorrhage syndrome)
การดูแลป้องกันการเกิดแผลในปาก
เกิดการติดเชื้อได้ง่ายผู้ป่วยมีภูมิต้านทานต่่ำการลุกลามของแผลเกิดได้ง่ายและเร็ว การดูแลจึงต้องเน้นเรื่องการรักษาความสะอาดโดยให้บ้วนปากด้วย 0.9%NSS
ไม่แปรงฟันถ้าเกร็ดเลือดต่ำกว่า50,000 cell/cu.mm แต่ถ้าเกร็ดเลือดเกินกว่านี้สามารถแปรงฟันได้ แต่ต้องใช้แปรงสีฟันที่อ่อนนุ่ม
การลุกลามของแผลมากขึ้น แพทย์อาจมีแผนการรักษาผู้ป่วยได้รับยาเพิ่ม เช่น Xylocaine Viscusml.ให้ผู้ป่วยอมไว้ ประมาณ 2-3 นาทีและบ้วนทิ้งไม่ควรกลืนเนื่องจากมียาชาเป็นส่วนผสม
ผู้ป่วยบางรายอาจได้รับยาฆ่าเชื้อราในปาก Nystatin oral suspentionต้องดูแลให้ผู้ป่วยเด็กอมยาไว้ในปาก 2-3 นาที
1.การดูแลผู้ป่วยหลังได้รับยาเคมีบำบัดผ่านเข้าทางช่องไขสันหลัง( Intrathecal:IT)
บำบัดผ่านเข้าในช่องไขสันหลังยาสามารถเข้าไปฆ่าเซลมะเร็งที่อยู่ในระบบประสาทส่วนกลางหลังให้ยาต้องจัดให้ผู้ป่วยนอนราบ 6-8 ชั่วโมงเพื่อป้องกันการเกิด Herniation ของสมอง
การนอนราบนั้นผู้ป่วยจะสามารถพลิกตะแคงตัวได้ตลอดแนะนำญาติดูแลไม่ให้ผู้ป่วยลุกขึ้นนั่งในช่วงเวลาที่กำหนด
การดูแลป้องกันเลือดออกง่ายหยุดยาก
แพทย์อาจมีแผนการรักษาให้ Platlet concentration หลักการให้คือให้หมดภายใน 1⁄2 -1 ชั่วโมงเนื่องจากมี half life สั่น การให้จึงต้องให้หยดแบบ free flow
ความผิดปกติของ electrolyte ที่พบบ่อยได้แก่
2.ภาวะฟอสเฟตในเลือดสูง
พบในช่วง 24-48 ชั่วโมงหลังการได้รับการรักษาโรคมะเร็ง
สาเหตุที่เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำตามมา ส่งให้เกิดการชักเกร็ง (tetany) หัวใจเต้นผิดจังหวะและชักได้
3.ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง
พบในช่วง 48 – 72 ชั่วโมงหลังการได้รับการรักษาโรคมะเร็ง
การตกตะกอนของผลึกกรดยูริกท่อไต กรดยูริกยังสามรถเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันจากกลไกอื่นอีกด้วย
1.ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง
พบในช่วง 12-24 ชั่วโมงหลังการได้รับการรักษาโรคมะเร็ง
ภาวะดังกล่าวถือว่ามีความร้ายแรงสูงสุด เนื่องจากเป็นภาวะที่ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะและเสียชีวิต
สาเหตุ และ ปัจจัยเสี่ยงของการเกิด TLS
เกิดขึ้นบ่อยที่สุดระหว่างการรักษามะเร็งด้วยยาเคมีบำบัด (chemotherapy)
เกิดขึ้นบ่อยที่สุดในผู้ป่วยที่มีปริมาณเซลล์มะเร็งจำนวนมาก และเป็นมะเร็งชนิดที่มีความไวต่อเคมีบำบัด
เกิดภายใน 72 ชั่วโมง ภายหลังการรักษาด้วยเคมีบำบัดในผู้ป่วย leukemia และ lymphoma
อาการและอาการแสดง
การวินิจฉัย
ปัจจุบันไม่มีเกณฑ์การวินิจฉัย TLS ที่เป็นมาตรฐานทั่วไป TLS วินิจฉัยจากอาการทางคลินิก ร่วมกับผลการตรวจทางห้องปฎิบัติการ
โดยทั่วไปมักพบอาการทางระบบทางเดินอาหาร ภาวะกรดยูริกในเลือดสูงอาจพบภาวะง่วงซึม (lethargy)
อาการและอาการแสดงของภาวะทางเดินปัสสาวะอุดตัน (obstructive uropathy) หรือไตวาย
ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง อาจพบอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ชา (paresthesia)
หัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งอาจรุนแรงขึ้นจึงชั้นเสียชีวิตได้
ภาวะฟอสเฟตในเลือดสูงและภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ อาจพบกล้ามเนื้อตะคริว ชักเกร็ง ชัก ไตวายและหัวใจเต้นผิดจังหวะ
การใช้ยาต้านเชื้อรา (antifungal therapy)
ผู้ป่วยที่มีภาวะนิวโทรพีเนียนานกว่า 1 สัปดาห์ มีโอกาสเกิด systemic fungal infectionสูงที่มี febrile neutropenia นานกว่า 5 วันและไม่มีแนวโน้มที่ภาวะนิวโทรพีเนียจะดีขึ้น
แพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านเชื้อรา ได้แก่ amphotericin B ซึ่งถึงแม้ว่าจะให้ผลดีในการรักษาเชื้อรา
ผลกระทบมากที่สุด คือ พิษต่อไต ทำให้ creatinine ในเลือดสูงขึ้นและเกิดโรคไตผิดปกติในการขับกรด (renaltubular acidosis) ผลข้างเคียงอื่น คือ มีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้/อาเจียน ความดันโลหิตต่ำ ชัก ระดับโปตัสเซียมและแมกนีเซียมในเลือดต่ำ และอาการแพ้ยาอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
การใช้ granulocyte colony-stimulating factor(G-CSF)
อาจจะช่วยลดระยะเวลาของการเกิดภาวะนิวโทรพีเนีย
หลังการได้รับยาเคมีบำบัด โดยช่วยให้มีการผลิตเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิล ได้เร็วกว่าที่ร่างกายจะผลิตได้เอง
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย
อาการปวดกระดูก (bone pain) ซึ่งจะเริ่มต้นใน2-3 วันหลังจากการให้ G-CSFเป็นปฏิกิริยาการตอบสนองต่อการเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิล
อาการปวดจะหายไปเมื่อเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลเคลื่อนย้ายจากไขกระดูกเข้ามาในกระแสเลือด
การรักษาด้วยยาเคมีบำบัด
(Chemotherapy)
ระยะการรักษาเคมีบำบัด
ระยะชักนำให้โรคสงบ (induction phase)
ให้ยาทำลายเซลล์ในเวลาอันสั้นให้มากที่สุดและมีอันตรายต่อเซลล์ปกติให้น้อยที่สุดทำให้ไขกระดูกสามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวได้ตามปกติ
ระยะนี้ใช้เวลา4 – 6 สัปดาห์ ยาที่ใช้ ได้แก่ Vincristine, Adriamycin,L – Asparaginase และ Glucocorticoid
ระยะให้ยาแบบเต็มที่ (intensive or consolidation phase)
เป็นการให้ยาหลายชนิดร่วมกันภายหลังที่ผู้ป่วยอยู่ในระยะโรคสงบแล้วเพื่อให้ยาทำลายเซลล์มะเร็งให้เหลือน้อยที่สุด
ระยะนี้จะใช้เวลาประมาณ 4 สัปดาห์ ยาที่ใช้ ได้แก่ Metrotrexate, 6 – MP และ Cyclophosephamide
ระยะควบคุมโรคสงบ (maintenance phase or continuation therapy)
เป็นการให้ยาเพื่อควบคุม และรักษาโรคอย่างถาวร
ยาที่นิยมใช้ คือ การให้ 6 – MP โดยการรับประทานทุกวันร่วมกับการให้ Metrotrexate
ระยะป้องกันโรคเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง (CNS prophylaxis phase)
ป้องกันไม่ให้โรคลุกลามเข้าระบบประสามส่วนกลางเพราะผู้ป่วยโดยทั่วไปหลังการให้ยา มีโอกาสเป็นซ้ำ
ผู้ป่วยที่มีจำนวนเกล็ดเลือดต่ำ ตับม้ามโต ยาที่ใช้ ได้แก่ Metrotrexate, Hydrocortisoneและ ARA – C
ยาเคมีบำบัดที่ใช้บ่อย
Cyclophosphamide
รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว ออกฤทธิ์จับและรวมตัวกับDNAเซลล์มะเร็ง ทำให้ไม่เพิ่มจำนวน
Mercaptopurine(6-MP)
รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน ยับยั้งการสร้าง Purine ยับยั้งการสร้างกรดนิวคลีอิก
Mesna
ป้องกันภาวะเลือดออกในผู้ป่วยกระเพาะปัสสาวะอักเสบที่มีสาเหตุมาจากยารักษามะเร็งได้แก่ Cyclophosphamide
Cytarabine(ARA-C)
รักษามะเร็งชนิด Acute lymphoblastic leukemia (ALL)โดยจะขัดขวางการสร้าง DNA
Ceftazidime(fortum)
ป้องกันการติดเชื้อเนื่องจากมีไข้หลังได้รับยาเคมีบำบัด
Bactrim
ป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส เนื่องจากผู้ป่วยมีภูมิต้านทานต่ำ
Amikin
ป้องกันการติดเชื้อเนื่องจากมีไข้หลังได้รับยาเคมีบำบัด
Ondasetron(onsia)
ป้องกันอาการคลื่นไส้อาเจียนในผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องเข้ารับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด
Methotrexate
รักษามะเร็ง Acute leukemiaโดยยับยั้งการสร้างDNA และRNA และมีฤทธิ์กดการเจริญเติบโตของเซลล์
การรักษาประคับประคอง
การรักษาทดแทน (Replacement therapy)
การให้เลือดเพื่อให้ระดับฮีโมโกลบินไม่น้อยกว่า 7-8 กรัม/ดล.ในระยะแรกก่อนโรคสงบ
การรักษาด้วยเกร็ดเลือด
เลือดออกและเกร็ดเลือดต่ำ จำเป็นต้องให้เกร็ดเลือดก่อนก่อนการให้ยา
วิธีนี้จะช่วยรักษาชีวิตผู้ป่วยได้สูง เพราะมีเกร็ดเลือดต่ำมากจะทำให้ผู้ป่วยถึงเสียชีวิตได้รวดเร็วไม่เกิน 24 ชั่วโมง
เป็นการรักษาโรคแทรกซ้อน และอาการข้างเคียงจากการให้ยา เพื่อให้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
วิธีการให้ยาเคมีบำบัด IT IM IV
ทางกล้ามเนื้อ หลังฉีดต้องระวังเลือดออก
ทางช่องไขสันหลัง intrathecal
ทางหลอดเลือดดำ vein ต้องระวังการรั่วของยาออกนอกหลอดเลือด ที่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
นางสาว กนกวรรณ เนียมพลู เลขที่ 5 612001005 รุ่น 36/1
เอกสารอ้างอิง อาจารย์กัลยา ศรีมหันต์.มะเร็งเม็ดเลือดขาว (ALL) (Acute lymphoblastic leaukemia)และการดูแลเด็กที่ได้รับยาเคมีบำบัด