Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 7 การพยาบาลมารดาที่ได้รับการช่วยเหลือสูติศาสตร์หัตถการ,…
บทที่ 7 การพยาบาลมารดาที่ได้รับการช่วยเหลือสูติศาสตร์หัตถการ
การผ่าตัดนำทารกออกทางหน้าท้อง
(Cesarean Section)
ความหมาย
การทำผ่าตัดเพื่อนำทารกออกจากมดลูก โดยผ่านทางหน้าท้อง (รองผ่าที่หน้าท้องและมดลูก) ทารกต้องมีน้ำหนักตัวไม่ต่ำกว่า 1,000 กรัม
ชนิด
Classic cesarean
lower – segment cesarean
ข้อบ่งชี้
1.CPD
ท่าผิดปกติ เช่น ท่าขวาง
Total placenta previa,
4.มะเร็ง ปากมดลูก
ข้อบ่งชี้ร่วม
Previous C/S
Ante partum hemorrhage
3.Fetal distress
4.ภาวะแทรกซ้อนทางสูติกรรม
ยาระงับความรู้สึก
Spenal block
Epidural block
GA
การพยาบาลมารดาที่ผ่าตัดเอาเด็กออกทางหน้าท้อง
การพยาบาลด้านร่างกาย
พยาบาลต้องประเมินสภาวะของมารดาหลังผ่าตัด (Assessment)
ประเมินการหายของแผล
การติดเชื้อ
ปริมาณสารอาหารและน้ำ
หน้าที่ของกระเพาะปัสสาวะและลำไส้
หน้าที่ของระบบการหายใจ
ทักษะในการเลี้ยงดูทารกของมารดา
ความคิดเห็นของมารดาและครอบครัวต่อการผ่าตัดครั้งนี้
ในระยะนี้มารดามีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ การมีเลือดคั่ง แผลแยกอาการเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อหน้าท้อง เป็นต้น ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องระวังพยาบาลจึงต้อง
2.1 สังเกตอาการของการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด เช่น อาการอักเสบ บวม หรือมี แผลแยก
2.2 ดูแลให้มารดาได้รับยาปฏิชีวนะตามคำสั่งการรักษาของแพทย์อย่างครบถ้วน
2.3 ตรวจนับสัญญาณชีพทุก 30 นาที ใน 2 ชั่วโมงแรกที่ย้ายมาหน่วยหลังคลอด และทุก 1 ชั่วโมง ต่อๆ มาจนถึงสัญญาญชีพสม่ำเสมอ จากนั้นตรวจนับตามปกติ
พยาบาลจำเป็นต้องสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เป็นเวลานาน เกิดการอักเสบติดเชื้อจากการได้สารน้ำทางเส้นเลือดนานเกินไป เบื่ออาหาร ไม่ดี เป็นต้น
3.1 ดูแลให้มารดาได้รับสารน้ำทางเส้นเลือดตามคำสั่งการรักษาของแพทย์อย่างครบถ้วนตรวจดูอัตราการไหลและนับจำนวนหยด
3.2 ดูว่าผิวหนังบริเวณที่ให้สารน้ำมันมีการอับเสบ บวม แดงหรือไม่ และให้สารน้ำจนกว่ามารดาจะสามารถรับประทานอาหารได้หรือแพทย์เลิกคำสั่ง
ในระยะหลังผ่าตัดมารดามีโอกาสเกิดการคั่งค้างของปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะมากขึ้น
4.1 สังเกตและจดบันทึกปริมาณ ลักษณะสี ความขุ่น ใส ของปัสสาวะ คอยสังเกตว่าปัสสาวะไหลสะดวกดีหรือไม่
4.2 หลังจากเอาสายสวนปัสสาวะออกแล้ว คอยสังเกตว่ามารดาถ่ายปัสสาวะได้เองหรือไม่หมั่นตรวจดูว่ากระเพาะปัสสาวะคั่งค้างอยู่หรือไม่
5.ฟังเสียงการทำงานของลำไส้ (Bowel sound) และกระตุ้นให้มารดามี carly ambulation พร้อมกับให้กำลังใจและอธิบายถึงผลดีของการมี carly ambulation
สอนวิธีไอเพื่อขับเสมหะออกมา หมั่นพลิกตะแคงตัวให้มารดหรือคอยให้คำแนะนำอยู่ข้างๆ เพื่อช่วยให้มารดาหายใจได้สะดวกและสามารถไอเอาเสมหะออกมาได้
อาการปวดแผล
7.1 ให้ข้อมูลแก่มารดาถึงสาเหตุของการเจ็บปวด เนื่องจากการที่กล้ามเนื้อมดลูกและกล้ามเนื้อหน้าท้องถูกยืดขยายและดึงรั้ง และบวบช้ำ จากการถูกกรีดในขณะผ่าตัด
7.2 ดูแลให้มารดในระยะหลังคลอดได้รับความสุขสบายทั่วๆ ไป เช่น ดูแลความสะอาดร่างกายทั่วไป ความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์ ให้คำแนะนำในการบรรเทาอาการคัดตึงเต้านม กระตุ้นให้มารดาลุกเดิน จัดท่านอนให้สบาย เป็นต้น
การพัฒนาทักษะในการดูแลทารกหรือการแสดงบทบาทของมารดา
8.1 ช่วยเหลือให้มารดาได้รับความสุขสบายให้มากที่สุด โดยการจัดท่านอนให้สบาย แนะนำวิธีการลุกนั่งหรือเดิน โดยไม่เจ็บแผล ให้ยาระงับปวดตามคำสั่งการรักษาของแพทย์
8.2 ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการผ่าตัดครั้งนี้แก่มารดาและครอบครัวมากที่สุด เปิดโอกาสให้มารดาได้สำรวจความรู้สึกความคิดของตนเองต่อการผ่าตัดครั้งนี้ พร้อมทั้งคอยอธิบายแก้ไขข้อข้องใจของมารดาต่อประสบการณ์ที่ผ่านมา
การพยาบาลด้านจิตใจ
มารดาอาจขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของความต้องการทางด้านจิตใจ อารมณ์ ภายหลังคลอดและไม่ทราบวิธีแก้ไข
1.1 อธิบายให้มารดาทราบถึงความต้องการของหญิงคลอด ลักษณะอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นว่าเป็นเรื่องปกติ
1.2 สอนมารดาถึงวิธีปฏิบัติตนเพื่อฟื้นฟูสมถรรนภาพของตนเองและเสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่มารดาเผชิญอยู่
1.3 กระตุ้นให้มารดาได้พูดถึงความรู้สึกต่างๆ ที่มีต่อการคลอดครั้งนี้และคอยประคับประคองให้กำลังใจแก่มารดา
1.4 อธิบายหรือชี้ประเด็นให้มารดามองเห็นถึงข้อดีต่างๆ ของประสบการณ์ที่มารดาได้รับจากการคลอดโดยการผ่าตัด
1.5 นำทารกให้มารดาและบิดาดูโดยเร็วที่สุดเท่าที่อาการของทารกจะเอื้ออำนวย
1.6 ให้มารดาได้มีโอกาสสัมผัส โอบกอดทารกและสำรวจทารก(ในกรณีที่ทารกอยู่ในหน่วยบริบาลทารกแรกเกิดควรพามารดาไปเยี่ยมทารก)
1.7 กระตุ้นให้มารดาดูแลทารกด้วนตนเอง โดยดูว่ามารดามีความต้องพร้อมแล้วแนะนำในการอุ้มทารกให้นมโดยที่ไม่เจ็บแผล เช่น ทำ Footbal holder การใช้หมอนรอง การให้มารดานอนตะแคง เป็นต้น
1.8 ควรให้คำชมเชยแก่มารดาในขณะที่ดูแลทารก
จากการที่มารดาต้องได้รับการผ่าตัดเอาเด็กออกทางหน้าท้อง
2.1 เมื่อพบบิดาและ/หรือสมาชิกในครอบครัว พยาบาลควรหาเวลาทำความเข้าใจและกระตุ้นให้บุคคลเหล่านั้น ได้ระบายความรู้สึกต่อการผ่าตัดครั้งนี้ ตลอดจนปัญหาที่เกิดขึ้น เนื่องจากมารดาต้องผ่าตัดครั้งนี้ ปัญหาการดูแลบ้าน คอยช่วยแนะนำหรือหาแนวทางแก้ไข โดยบุคคลนั้นๆ สามารถเลือกวิธีการแก้ปัญหาของตนเองได้
2.2 แนะนำมารดาในเรื่องการพักผ่อนภายหลังผ่าตัด การออกกำลังกายซึ่งสามารถทำได้ เมื่อรู้สึกว่าไม่มีความเจ็บปวดบริเวณที่ผ่าตัดหรือหน้าท้อง
การพยาบาลผู้คลอดที่ได้รับการทeคลอดโดยใช้คีม (Forcep extraction)
ความหมาย
เป็นวิธีช่วยคลอดโดยผู้ทำคลอดจะใช้คีม
(forcep) ดึงศีรษะทารกให้คลอดผ่านทางช่องคลอด โดยที่คีมจะทำหน้าที่แทนแรงเบ่งของผู้คลอด
ประเภทของคีม
Short Curve Forcep กรณีศีรษะทารกมาอยู่ต่ำบริเวณฝีเย็บแล้วผู้ทำคลอดใช้แรงดึงน้อย และเกิดอันตรายน้อย
Long Curve Axis Traction Forcep เป็นคีมที่ใช้ในกรณีศีรษะทารกอยู่ค่อนข้างสูง
Kielland Forceps เป็นคีมที่ใช้การหมุนของศีรษะทารกภายในอุ้งเชิงกราน เพื่อช่วยแก้ปัญหา Deep transverse arrest of head
หน้าที่ของคีม
Extractor (ตัวดึง)
จะใช้ในผู้คลอดที่ไม่มีแรงเบ่งพอหรือไม่ต้องการให้ผู้คลอดออกแรงเบ่งในท่าศีรษะเป็นส่วนนำโดยใช้ Simson forcep
ในกรณีท่าก้นจะใช้คีมทำคลอดศีรษะโดยใช้ Piper forceps
Rotation (ตัวหมุน)
ใช้ในกรณี Deep transverse arrest of head
โดยใช้ Kielland Forceps
ชนิดของการทำคลอดด้วยคีม
การทำคลอดด้วยคีมเมื่อศีรษะมี engagement แล้ว โดยต้องทำการช่วยเหลือโดยการหมุนก่อนเมื่อเริ่มดึงถือว่าเป็น Mid Forceps
Low Forceps
โดยไม่ต้องแยก Labia และกะโหลกศีรษะอยู่บน Pelvic floor รอยต่อแสกกลางอยู่ในแนวหน้าหลัง
การทำคลอดด้วยคีมเมื่อเห็นหนังศีรษะที่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์
ข้อบ่งชี้ในการทำคลอดด้วยคีม
การทำเพื่อการรักษาและการป้องกัน (Prophylactic or Elective) จะทำเมื่อแรกเข้าสู่ระยะเบ่ง
ช่วยลดความกดดันบางประการที่เกิดขึ้นกับผู้คลอดทั้งทางร่างกายและอารมณ์
ป้องกันการฉีกขาดหรือยืดขยายมากเกินไปของฝีเย็บ
จำกัดปริมาณการเสียเลือดจากการคลอด
ป้องกันสมองถูกทำลายจากภาวะพร่องออกซิเจน
ข้อบ่งชี้ด้านแม่
มดลูกหดรัดตัวไม่ดี/มารดาไม่มีแรงเบ่ง
กระดูกเชิงกรานค่อนข้างแคบหรือ Rigid pelvic floor หรือ Rigid perineum
ส่วนนำของทารกค่อนข้างใหญ่ หรือ Occiput อยู่ด้านหลัง หรือ Deep transversearrest of head
ผู้คลอดมีภาวะความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์
ผู้คลอดอ่อนเพลีย
ผู้คลอดมีสุขภาพไม่ดีจากโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ, ไทรอยด์, หลอดลมอักเสบ
มีปัญหาเลือดออกในสมอง
ไส้ติ่งอักเสบ
ข้อบ่งชี้ด้านทารก
Fetal distress
สายสะดือพลัดต่ำ
สภาวะที่เหมาะสมในการทำคลอดด้วยคีม
ปากมดลูกเปิดหมด
ส่วนนำมีสภาวะที่เหมาะสมสามารถคลอดทางช่องคลอดได้
ศีรษะทารกต้อง Deep engaged แล้ว
ไม่พบภาวะผิดสัดส่วนระหว่างส่วนนำกับช่องเชิงกราน
กระเพาะปัสสาวะและทวารหนักต้องว่าง
ถุงน้ำคร่ำแตกแล้ว
ทารกในครรภ์ยังมีชีวิตอยู่
ขั้นตอนของการทำคลอดโดยใช้คีม
ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อตามขั้นตอนการทำคลอดปกติ
สวนปัสสาวะให้ผู้คลอดเพื่อเพิ่มพื้นที่ในช่องเชิงกรานของผู้คลอด และป้องกันการบาดเจ็บที่มีต่อกระเพาะปัสสาวะขณะทำหัตถการ
แพทย์ผู้ทำประเมินสภาพช่องเชิงกรานผู้คลอดโดยการตรวจภายใน เพื่อประเมินว่าส่วนนำเหมาะสมในการคลอดด้วยคีมหรือไม่
การใส่ใบคีมต้องใส่ข้างซ้ายก่อนข้างขวา
เมื่อใส่ใบคีมทั้งสองข้างครบจึงล็อค ถ้าล็อคไม่ได้แสดงว่าใบคีมจับส่วนนำในตำแหน่งไม่ เหมาะสม เมื่อล็อคได้แล้วด้ามถือจะอยู่ห่างกันเล็กน้อย ต้องเอาผ้ามาใส่บริเวณด้ามถือ เพื่อป้องกันใบคีมหนีบส่วนนำมากเกินไป
Tentative traction เป็นการทดลองก่อนดึงจริงเพื่อตรวจดูว่าใบคีมจับศีรษะทารกได้ในตำแหน่งเหมะสมหรือไม่ หรือตรวจดูว่าส่วนนำเคลื่อนลงมาตามหรือไม่
Traction ควรดึงพร้อมกับมดลูกหดรัดตัวให้ดึงแต่ละครั้งนาน 1-2 นาที ขณะพักให้แก้ล็อคออกเพื่อลดความกดดันที่ส่วนนำทารก ขณะดึงควรตรวจสอบ Fetal heart sound เป็นระยะการดึงต้องดึงจนศีรษะมี Crowning
Removal แก้ปลดล็อค นำใบคีมขวาออกก่อนจึงนำใบคีมซ้ายออก
Birth of Head ทำคลอดศีรษะเหมือนตามปกติตามกลไกการคลอด
ภาวะแทรกซ้อน
ต่อมารดา
มีการฉีกขาดของหนทางคลอด
อันตรายต่อกระดูกเชิงกราน เช่น Symphysis pubis แยก
กระทบกระเทือนต่อกระเพาะปัสสาวะ
ช็อคจากความเจ็บปวด ผู้คลอดไม่ทำด้วยความนุ่มนวล
ใช้คีมไม่ถูกต้อง เกิดการตกเลือด
ติดเชื้อ
อันตรายจากการแพ้ยาระงับความรู้สึก
2.ต่อทารก
แรงกดที่ศีรษะเกิด Asphyxia
กระทบกระเทือนต่อกระโหลกศีรษะ สมองและหนังศีรษะทารกในครรภ์
คีมกด Clavical plexus จะทำให้เกิด Erb’ s Palsy
คีมกด Facial nerve จะทำให้เกิด Facial Palsy
หูหนวกกระทบกระเทือนต่อ Auditory Organ
ปอดบวมและถุงลมแฟบ
การพยาบาลในการดูแลผู้คลอดที่ได้รับการช่วยคลอดโดยใช้คีม
การซักประวัติ
ประวัติเกี่ยวกับอาการผิดปกติในการตั้งครรภ์และการคลอดครั้งก่อน
การคลอดติดขัด
การช่วยคลอดโดยใช้สูติศาสตร์หัตถการ
ทารกเสียชีวิตจากการคลอด
การเจ็บป่วยของบุคคลในครอบครัว
การตรวจร่างกาย
การตรวจทางหน้าท้อง เพื่อประเมินท่า และขนาดของทารก การหดรัดตัวของมดลูก
ตรวจช่องทางคลอดเพื่อประเมินลักษณะของปากมดลูกเชิงกรานมารดาและขนาดของทารก
การตรวจร่างกายทั่วไปและสัญญาณชีพ
การประเมินสภาพทารกในครรภ์ เช่น การฟังเสียงหัวใจทารก
ภาวะจิตสังคม
การประเมินความวิตกกังวลและหวาดกลัวของผู้คลอดต่อการช่วยคลอดด้วยคีมซึ่งอาจจะมืผลต่อการปฏิบัติตัวและความร่วมมือในการช่วยตลอด
ตัวอย่างข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการทำคลอดด้วยคีม
ทารกแรกเกิดมีโอกาสได้รับบาดเจ็บจากการคลอโดยใช้คีม
การพยาบาลผู้คลอดที่ได้รับการทำคลอดโดยใช้เครื่องดูดสุญญากาศ
ความหมาย
เป็นวิธีการคลอดโดยใช้เครื่องดูดสุญญากาศดูดและดึงศีรษะทารกให้คลอดผ่านทางช่องคลอดในระยะที่ผู้คลอดมีมดลูกหดรัดตัวเท่านั้น
การทำคลอดไหล่ ลำตัวและแขนขาตามวิธีการคลอดตามปกติ เครื่องดูดสุญญากาศจะทำหน้าที่เสริมแรงแบ่งของผู้คลอด
ข้อบ่งชี้
Uterine inertia โดยมีปัญหามดลูกหดรัดตัวไม่ดีเนื่องจากอ่อนเพลียหรือเกิดความล่าช้าในระยะที่ 2 ของการคลอด
โรคแทรกซ้อน เช่น ความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจ
ทารกในครรภ์อยู่ในภาวะ Mild fetal asphyxia ซึ่งเกิดจาก Fetal distress
Mild CPD
ศีรษะทารกไม่หุนตามกลไกการคลอดปกติ เช่น Deep transverse arrest of head หรือ Occiput posterior position
ข้อห้าม
CPD
ทารกในครรภ์อยู่ในท่าผิดปกติ
ทารกในครรภ์อยู่ในภาวะวิกฤติที่ต้องช่วยให้คลอดโดยด่วน
ทารกในครรภ์เสียชีวิตแล้ว
ทารกคลอดก่อนกำหนด
มีการพลัดต่ำของสายสะดือ
ทารกอยู่ในภาวะ Fetal distress โดยที่ปากมดลูกยังไม่เปิด
สภาวะที่เหมาะสมในการทำคลอดโดยใช้เครื่องดูดสุญญากาศ
ปากมดลูกเปิดหมด แต่ถ้าในกรณีจำเป็นอาจทำตั้งแต่ปากมดลูกเปิด 8 เซนติเมตรขึ้นไป และปากมดลูกมีความบางเต็มที่
ส่วนนำอยู่ในสภาวะที่เหมาะสมสามารถคลอดทางช่องคลอดได้
ศีรษะในครรภ์ต้อง Deep engaged
ไม่พบปัญหาผิดสัดส่วนกันระหว่างศีรษะทารกกับช่องเชิงกรานของผู้คลอด
กระเพาะปัสสาวะและทวาหนักต้องว่าง
ถุงน้ำคร่ำแตกแล้ว
ทารกในครรภ์ยังมีชีวิตอยู่
ขั้นตอน
ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อตามขั้นตอนการทำคลอดปกติ
สวนปัสสาวะให้ผู้คลอดเพื่อเพิ่มพื้นที่ในช่องเชิงกรานของผู้คลอด และป้องกันการบาดเจ็บที่มีต่อกระเพาะปัสสาวะขณะทำหัตถการ
แพทย์ผู้ทำประเมินสภาพช่องเชิงกรานผู้คลอดโดยการตรวจภายใน
แพทย์ใช้ยาชาเฉพาะที่คือทำ Pudendal neve block โดยใช้ 1% Xylocain
แพทย์เลือก Cupที่มีขนาดเหมาะสมกับศีรษะทารกเพื่อช่วยลดอันตรายต่อศีรษะทารกและช่วยกระจายแรงดูดต่อศีรษะ
เริ่มต้นดูดด้วยแรงดูด 0.20 Kg/cm 2 ก่อน แพทย์จะใช้นิ้วประเมินรอบๆ Cup ว่าไม่มีผนังของช่องคลอดเข้าไปติดใน Cup ต่อไปเพิ่มแรงดูดขึ้นอีกครั้งๆละ 0.10-0.20 Kg/cm 2 พักนาน1-2 นาทีทำสลับกันไปเรื่อยๆจนได้แรงดูดสำหรับการดึงคือ 0.60-0.70 Kg/cm 2 ไม่เกิน 0.80 Kg/cm 2
การดึงโดยใช้มือขวาดึง Handle มือซ้ายแตะ Cup ที่ติดกับศีรษะทารก การดึงให้ดึงพร้อมๆกับที่มดลูกหดรัดตัวและให้ผู้คลอดช่วยเบ่ง
ภาวะแทรกซ้อน
ด้านมารดา
มีการฉีกขาดของหนทางคลอด
อันตรายต่อกระดูกเชิงกราน เช่น Symphysis pubis แยก
กระทบกระเทือนต่อกระเพาะปัสสาวะ
ช็อคจากความเจ็บปวด ผู้คลอดไม่ทำด้วยความนุ่มนวล
ใช้เครื่องมือไม่ถูกต้อง เกิดการตกเลือด
ติดเชื้อ
อันตรายจากการแพ้ยาระงับความรู้สึก
ด้านทารก
อาจจะเกิด Cephal hematoma
อาจจะมีเลือดอกที่จอตาแต่จะหายได้ภายใน 1 สัปดาห์
แรงกดที่ศีรษะเกิด Asphyxia
แรงดูดกระทบกระเทือนต่อกระโหลกศีรษะ สมองและหนังศีรษะทารกในครรภ์
แรงดูดกระทบกระเทือนต่อ Facial nerve จะทำให้เกิด Facial Palsy
หูหนวกกระทบกระเทือนต่อ Auditory Organ
ปอดบวม (Pneumonia) และถุงลมแฟบ (Atelectasis)
การพยาบาล
การซักประวัติ
การคลอดติดขัด
การช่วยคลอดโดยใช้สูติศาสตรหัตถการ
ทารกเสียชีวิตจากการคลอด
การเจ็บป่วยของบุคคลในครอบครัว
การตรวจร่างกาย
การตรวจทางหน้าท้อง เพื่อประเมินท่า และขนาดของทารก การหดรัดตัวของมดลูก
ตรวจช่องทางคลอดเพื่อประเมินลักษณะของปากมดลูก เชิงกรานมารดาและขนาดของทารก
การตรวจร่างกายทั่วไปและสัญญาณชีพ
การประเมินสภาพทารกในครรภ์ เช่น การฟังเสียงหัวใจทารก
ภาวะจิตสังคม
การประเมินความวิตกกังวลและหวาดกลัวของผู้คลอดต่อการช่วยคลอดด้วยเครื่องดูดสุญญากาศ ซึ่งอาจจะมีผลต่อการปฏิบัติตัวและความร่วมมือในการช่วยคลอด
การตรวจพิเศษและการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจสภาพความสมบูรณ์ของทารกโดย Ultrasound
การตรวจความเข้มข้นของเลือดมารดา
การตรวจปัสสาวะเพื่อหา albumin และ sugar
ตัวอย่างข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการทำคลอดด้วยเครื่องดูดสุญญากาศ
ทารกแรกเกิดมีโอกาสได้รับบาดเจ็บจากการคลอโดยใช้เครื่องดูดสุญญากาศ
การชักนำการคลอด
(Induction of labour)
ความหมาย
การทำให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลงเมื่ออายุครรภ์มากกว่า 28 สัปดาห์ หรือทารกในครรภ์มีน้ำหนักตัวไม่น้อยกว่า 1,000 กรัม
เป็นการทำให้มดลูกหดรัดตัวและปากมดลูกนุ่มเพื่อให้การคลอดเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการเริ่มต้นของการเจ็บครรภ์เองตามธรรมชาติ โดยมีจุดมุ่งหมายให้ผู้คลอด คลอดทางช่องคลอด
ข้อบ่งชี้ ทางด้านสูติกรรม
ภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (PIH) การยุติการตั้งครรภ์จะทำให้ภาวะนี้หายได้และลดอันตรายที่จะเกิดกับหญิงตั้งครรภ์
ภาวะครรภ์เกินกำหนด เนื่องจากครรภ์เกินกำหนดรกจะมีภาวะเสื่อมสภาพ ทำให้ทารกในครรภ์เกิดภาวะขาดออกซิเจนและตายในครรภ์ได้
ทารกเสียชีวิตในครรภ์ (DFIU)
PROM ในรายที่อายุครรภ์มากกว่า 34 สัปดาห์ และไม่เข้าสู่ระยะคลอดเองภายใน 12 ชั่งโมง แพทย์มักจะชักนำให้เกิดการเจ็บครรภ์คลอด
การติดเชื้อของถุงน้ำคร่ำ (choroamnionitis) เพื่อลดอาการรุนแรงจากการติดเชื้อของมารดาและทารกในครรภ์
ภาวะเลือดออกก่อนคลอดจากภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด (abruptio placenta)
ทารกพิการแต่กำเนิดในครรภ์ที่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้
ทารกเจริญเติบโตช้า (IUGR)
ภาวะน้ำคร่ำน้อย (oligohydramnios)
ทารกบวมน้้ำ (hydrops fetalis)
ข้อบ่งชี้ ทางอายุรกรรม
หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวาน
หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง เนื่องจากอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนทำให้การทำงานของไตลดลงและการตายของทารกปริกำเนิดเพิ่มสูงขึ้น
หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงเรื้อรัง
ข้อห้าม
ภาวะรกเกาะต่ า (Placenta previa) ภาวะที่มีเส้นเลือดทอดต่ าหรือผ่านปากมดลูก (vasa previa) ทารกท่าขวาง CPD, Previous c/s , เนื้องอกที่ขัดขวางช่องทางคลอด, Prolapsed cord, Fetal distress, Twins
วิธีการชักนำการคลอดที่นิยม
Medical นิยมใช้ Oxytocin และ prostaglandins
Prostaglandin E1 dose 25 ถึง 50 mg intravaginally into proterior fornix ทุก 3- 6 ซม. ไม่เกิน 300-400 mg. ใน 24 ซม. เพื่อให้มดลูกหดรัดตัว
ข้อควรระวัง อาการคลื่นไส้-อาเจียน, ไข้, วิงเวียนศีรษะ, ปวดศีรษะ, ถ่ายเหลว, มดลูกหดรัดตัวรุนแรง (hyper uterine contraction) กว่าปกติอาจเกิดมดลูกแตกได้
Protaglandin E2 dose 10 mg. intravaginally into posterior fornix ทุก 6 ชม.
ข้อควรระวัง ปวดศีรษะ, คลื่นไส้อาเจียน, มีไข้, ความดันโลหิตต่ า, hyperuterine contraction
การใช้ Oxytocin นิยมใช้เพื่อ Augmentation of labor dose infusion pump and solution 10 u/1000 cc. 0.5-2 m u/min ทุก 30-60 นาที until 20-40 mu/min เพื่อให้มดลูกหดรัดตัว 40-90 mmHg (Internal mornitor) Duration 60-90 วินาที ทุก 2-3 นาที
ข้อควรระวัง
มดลูกหดรัดตัวมากเกินไป
คลื่นไส้อาเจียน
ปวดศีรษะ
ความดันโลหิตต่ำ
การพยาบาลผู้คลอดที่ได้รับการชักนำการคลอดโดยใช้ยา Oxytocin
เตรียมสารละลายออกซิโตซิน ตามแผนการรักษา (ส่วนใหญ่นิยมใช้ 5% D/W 1000 cc+Synto 10U)
เตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้ในการให้สารละลายทางหลอดเลือดดำ
ช่วยแพทย์ในการให้สารละลายออกซิโตซินทางหลอดเลือดดำ
สังเกตลักษณะการหดรัดตัวของมดลูก Interval น้อยกว่า 2 นาที duration มากกว่า 60 วินาที ปฏิบัติดังนี้
หยุดการให้ออกซิโตซินทางหลอดเลือดดำ
ห้ผู้คลอดนอนตะแคง
ให้ออกซิเจน 6-8 ลิตร/นาที
รายงานแพทย์
ปรับหยดสารละลายออกซิโตซิน เริ่มต้น 5-10 หยด/นาที เพิ่ม 5 หยดทุก 30 นาที จนกว่าการหดรัดตัวของมดลูกจะดี คือ Interval อยู่ในช่วง 2-3 นาที Duration อยู่ระหว่าง 45-60 วินาที
ตรวจสอบการหยดของออกซิโตซิน ทุก 30 นาที
สังเกตสภาวะของทารกในครรภ์ โดยฟังเสียงหัวใจทารกเป็นระยะๆ ทุก 15-30 นาที หากทารกในครรภ์มีภาวะ Fetal distress ต้องหยุดให้ออกซิโตซินทันทีและรายงานแพทย์ ระหว่างนั้นควรเตรียมการช่วยเหลือทารกในครรภ์และการคลอด
การช่วยเหลือทารกในครรภ์
ให้ผู้คลอดนอนตะแคง
ให้ I.V Fluid
ให้ O2 6-8 ลิตร/นาที
On Electric Fetal Momitoring เพื่อประเมินสภาวะทารกในครรภ์การช่วยเหลือการคลอด
พิจารณาการเปิดของปากมดลูกหากปากมดลูกเปิดหมดอาจเตรียมการคลอดด้วยคีม (F/E)
ปากมดลูกเปิดน้อยอาจเตรียมผู้คลอดเพื่อผ่าตัดเอาทารกออกทางหน้าท้อง
ดูแลสภาวะทั่วไปของมารดาโดย Check BP, P, R เป็นระยะๆ
บันทึกเกี่ยวกับ
ขนาดและจำนวนของออกซิโตซินที่ได้รับทุก 30 นาที
จำนวนของหยดของออกซิโตซินที่ปรับขึ้นหรือลดลง
ลักษณะการหดรัดตัวของมดลูกทุก 15-30 นาที
สัญญาณชีพทุก 2-4 ชม. และเสียงหัวใจทารก 15-30 นาที
Record I/O
ดูแลผู้คลอดให้ได้รับความสุขสบายทั้งร่างกายและจิตใจ
จัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ
ให้คำแนะนำเกี่ยวกับกระบวนการชักนำการคลอด, การคลอด
รับฟังและสอบถามปัญหาของผู้คลอด
ช่วยดูแลการทำกิจวัตรประจำวัน
การชักนำการคลอดโดยใช้หัตถการ
การเจาะถุงน้ำทุนหัว (Amniotomy, Artificial rupture of membrance)
ควรระมัดระวังคือ การ Engaged ของส่วนนำศีรษะเด็กเพราะหากไม่มีการ engagement อาจทำให้มีภาวะ prolapse cord เกิดขึ้นได้ ภายหลังเจาะถุงน้ำ
นิยมใช้เมื่อปากมดลูกนุ่มแล้วหรือในรายที่ทำเป็นAugmentation เมื่อการด าเนินการคลอดล่าช้า หรือใช้ร่วมกับการใช้ Oxtocin ในการเจาะถุงน้ำทันที
การพยาบาลผู้คลอด
เตรียมเครื่องมือ
เครื่องมือเจาะถุงน้ำ Amniotomy Forceps หรือ Tenaculum หรือ Kockers
Forceps
หม้อนอน (Bed pan)
Set Flush
ถุงมือ Sterile
เตรียมผู้คลอด
เตรียมจิตใจ อธิบายให้เข้าใจถึงแผนการรักษาเพื่อความร่วมมือและลดความวิตกกังวล
เตรียมร่างกาย
กั้นม่านไม่เปิดเผย (expose) ผู้คลอด
จัดทำ dorsal Recombent ปิดตาและ drape ผ้าให้เรียบร้อย
ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
ก่อนแพทย์ลงมือทำพยาบาลต้องฟังเสียงหัวใจทารก และบันทึกไว้
เมื่อน้ำคร่ำไหลออกมาต้องบันทึกเกี่ยวกับลักษณะสี และจำนวนของ Amniotic Fluid
Thick meconium stain : น้ำคร่ำเหนียว มีขี้เทาปนปริมาณมาก
Moderate meconium stain : น้ำคร่ำสีเขียวเทา มีขี้เทาเด็กปนปานกลาง
Mild meconium stain : น้ าคร่ำมีขาวใสมีขี้เทาเด็กปานเล็กน้อย
Amniotic Fluid clear : น้ำคร่ำสีขาวขุ่น ใสไม่มีสีขี้เทาเด็กปน
ฟังเสียงหัวทารกทันทีภายหลังเจาะถุงน้ำทูนหัว
Flushing และใส่ผ้าอนามัยเพื่อสังเกตปริมาณน้ำคร่ำ
ให้ผู้คลอดนอนพักบนเตียง ไม่ควรให้ลุกเดินไปมาเพราะถ้าส่วนนำไม่ติดกับส่วนล่างของ
มดลูก อาจทำให้เกิดภาวะสายสะดือโผล่
บันทึกเกี่ยวกับ Interval, Duration ผลการตรวจความก้าวหน้าของการคลอด
บันทึก FHS เป็นระยะๆ อาจทุก 15-30 นาที หากผิดปกติรายงานแพทย์และให้การช่วยเหลือ
บันทึก T, P, R, BP หากมีไข้รายงานแพทย์เพื่อให้ยาปฏิชีวนะ
เปลี่ยนผ้าอนามัยทุกครั้งที่น้ำหล่อเด็กเปียกชุ่มพร้อม Flushing ให้
ภาวะแทรกซ้อนจากการชักนำการคลอด
ผลต่อหญิงตั้งครรภ์
1.1 ภาวะมดลูกแตกจาการได้รับยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกโดยเฉพาะรายที่เคยผ่าตัดมาก่อนหรือมีภาวะ CPD
1.2 การตกเลือดก่อนคลอดจากรกลอกตัวก่อนกำหนด
1.3 การตกเลือดจากการฉีกขาดของช่องทางคลอดจากการคลอดเร็วเกินไป(precipitate labor)
1.4 การติดเชื้อของเยื่อบุถุงน้ำคร่ำ เนื่องจากระยะเวลาการชักนำถึงการคลอดนานเกินไป
1.5 เกิดการอุดตันในกระแสเลือดจากน้ำคร่ำ ซึ่งอาจเกิดได้ขญะที่ทำการเจาะถุงน้ำคร่ำ
ผลต่อทารก
2.1 ทารกคลอดก่อนกำหนดซึ่งเกิดจากแพทย์คาดคะเนอายุครรภ์ผิดพลาด(iatrogenic prematurity) หรือในรายที่มีข้อบ่งชี้จำเป็นต่อการนำให้เกิดการคลอดอย่างเร่งด่วน
2.2 ภาวะทารกอยู่ในภาวะคับขัน (fetal distress) ซึ่งอาจเกิดเนื่องจากการหดรัดตัวของมดลูกมากเกินไป ทำให้เลือดผ่านรกไปเลี้ยงทารกไม่เพียงพอ
2.3 อันตรายจากการเจาะถุงน้ำคร่ำ ได้แก่ ภาวะสายสะดือย้อย การเจาะถูกเส้นเลือดที่ทอดอยู่บนถุงน้ าบริเวณที่เจาะ (vasa previa)
2.4 การคลอดเร็วเกินไป อาจทำให้เกิดอันตรายจากการทำคลอด และในทารกที่คลอดก่อนกำหนดมีอุบัติการเลือดออกในสมองสูง
2.5 การติดเชื้อจากการเจาะถุงน้ำและมีการติดเชื้อของถุงน้ำคร่ำ
นางสาวสาวิตรี คำแสนกอง เลขที่ 99 รหัสนักศึกษา 602701100