Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาระบบเลือด, นางสาววณิชญา เคลือบคนโท รหัสนักศึกษา…
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาระบบเลือด
กลไกห้ามเลือด (Homeostasis)
Platelet aggregation
คือเซลล์ที่ได้รับความเสียหาย และเกล็ดเลือด จะปล่อยสาร ADP (adenosine diphosphate) ออกมาทําให้เกล็ดเลือดเกิดการเปลี่ยนรูปร่าง และรวมกัน (aggregate) อุดหลอดเลือดที่เกิดบาดแผล
Coagulation, clot
การเกิดการกระตุ้นโปรทรอมบิน (prothrombin activation)
ชนิด
Extrinsic pathway
Intrinsic pathway
Vasoconstriction
เมื่อเกิดบาดแผล สารซีโรโทนิน(serotonin) จากเกล็ดเลือดจะกระตุ้นให้หลอดเลือดหดตัว
Function of Blood
Transportation
Regulation
Protection
ลักษณะอาการเลือดออกที่ผิดปกติ
ออกเป็นจ้ำใหญ่ๆเรียกว่า echymosisหรือที่เรียกกันว่าพรายย้ำ
hematoma ภาวะที่มีเลือดคั่งเป็นก้อน
ออกเป็นจุดเล็กๆ เรียกว่า petechiae ถ้าออกเป็นจุดปานกลาง เรียกว่า purpuric spot
hemarthrosis ภาวะที่มีเลือดออกในข้อ
purpura เป็นภาวะที่มีเลือดออกใต้ผิวหนังหรือออกที่เยื่อเมือก (mucous membrane)ทำให้มีรอยเขียวตามผิวหนัง กดแล้วไม่จางหายไป
epistaxis ภาวะเลือดออกจากจมูก ( เลือดกำเดา )
bleeding per gum ภาวะเลือดออกจากบริเวณเหงือกและไรฟัน
intracrenial hemorrhage ภาวะเลือดออกในสมอง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
Touniquet test ค่าปกติ 0-10 จุด ในพื้นที่วงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ที่บริเวณหน้าแขน
Clot retraction ปกติเกิดขึ้นภายใน 1 – 2 ชั่วโมง
Bleeding time ค่าปกติ 2 – 7 นาที
platelet count คือการตรวจนับจำนวนเกล็ดเลือด และดูลักษณะของเกล็ดเลือด
Venous clotting time (VCT) ปกติเลือดจะแข็งตัวภายใน 5 – 15 นาที.
Prothrombin time (PT)ใช้ตรวจการขาดของ factor I II V VII และ X ค่าปกติ 12 – 15 วินาที
Partial thromboplastin time (PTT) ใช้ตรวจการขาดปัจจัยการแข็งตัวของเลือดทุก factor ยกเว้น factor VII
Thrombin time (TT) ใช้ตรวจการพร่องหรือการทำหน้าที่ผิดปกติของ fibrinogen ค่าปกติประมาณ 1-2 วินาที
Idiopathic thrombocytopenic purpura ( ITP
ไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน เชื่อว่าเกิดจากปฏิกริยาอิมมูน
ITP แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
แบบเฉียบพลัน ( acute )
ในเด็ก มักจะเป็นแบบเฉียบพลัน และหายภายใน 6 - 12 เดือน ส่วนใหญ่จะหายในระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 1 - 2 เดือน และไม่กลับเป็นซ้ำ
แบบเรื้อรัง ( chronic )
เป็นโรคที่มีอาการเลือดออกจากการมีจำนวนเกล็ดเลือดต่ำ โดยร่างกายสร้าง platelet antiboby ขึ้นมาทำลายเกล็ดเลือดของตัวเองและของผู้อื่น
ลักษณะอาการ
ส่วนใหญ่มีอาการเลือดออกตามผิวหนังและอวัยวะต่างๆ โดยไม่มีสาเหตุใดๆนำมาก่อน
ภาวะแทรกซ้อนที่น่ากลัวที่สุด
คือ intracranial hemorrhage
การรักษา
การรักษาตามอาการ
การห้ามเลือดที่ออกในจมูกด้วยการทำ anterior nasal packing ถ้ายังออกไม่หยุด ทำ posterior nasal packing
แนะนำให้มารดาและผู้ป่วยเข้าใจเกี่ยวกับโรคที่เป็นอยู่เป็นสิ่งสำคัญ
หลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เลือดออก เช่นเดียวกับผู้ป่วยเลือดออกง่ายทั่วไป
ให้เกล็ดเลือดเฉพาะในรายที่มีเลือดออกรุนแรง หรือออกในอวัยวะที่สำคัญๆ เช่นสมอง หรือในการผ่าตัด
การรักษาจำเพาะ
2.1 ให้ยา Pednisolone 1 - 2 มก./กก./วัน ยาจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของหลอดเลือด สกัดไม่ให้ ระบบ reticuloendotherium ทำลายเกล็ดเลือด และออกฤทธิ์ลดการสร้าง antibody ต่อเกล็ดเลือด
2.2 ทำผ่าตัดเอาม้ามออก ( splenectomy ) ในรายที่รักษาด้วย Pednisolone ไม่ได้ผล
สาเหตุของเลือดออกผิดปกติ
จากหลอดเลือดเปราะ ในผู้ป่วยที่มีปัญหาติดเชื้อ ขาดอาหาร ขาดวิตามินซี รับประทานยา steroid นานๆ
ความพร่องในปัจจัยการแข็งตัวของเลือด
ปริมาณเกล็ดเลือดต่ำ (thrombocytopenia) หรือ เกล็ดเลือดทำหน้าที่ผิดปกติ)
สาเหตุของภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
เกล็ดเลือดถูกทำลายมาก
เกล็ดเลือดถูกบีบ (Squeeze) ไปอยู่ในที่หนึ่งที่ใดมากเกินไป
สร้างจากไขกระดูกได้น้อย
การใช้เกล็ดเลือดมากเกินไป
เกล็ดเลือดต่ำเพราะมีปริมาณน้ำในร่างกายมาก (Dilutional thrombocy topenia) พบในผู้ที่ได้รับน้ำเกลือ หรือสารน้ำคอลลอยด์
Thrombocytopenia
อาการ
Ecchymosis
Purpura
Nosebleeds
Mennorrhagia
Hematuria
Blood in stool
Petechiae
การพยาบาลเมื่อมีเลือดออก
เพื่อช่วยให้เลือดหยุดและป้องกันไม่ให้เลือดออกโดยการ Stop bleeding
บาดแผล
ทำ pressure dressing
นานประมาณ 10 - 15 นาที หรือจนเลือดหยุด งดการเคลื่อนไหวบริเวณนั้นและยกบริเวณที่มีเลือดออกให้สูงเหนือกว่าระดับหัวใจ
Purpura
ให้ผู้ป่วยนอนพักบนเตียง
Bleeding per gum & teeth
ถ้ามองเห็นจุดที่เลือดออก ให้ผู้ป่วยกัด gauze ที่บริเวณนั้นไว้ ถ้าออกทั่วๆไป ไม่มาก ให้บ้วนปากเบาๆ ด้วยน้ำเย็นห้ามดึงลิ่มเลือดออก ภายหลังจากให้ platelets หรือ clotting factor ที่ขาดแล้วเลือดจะหยุดได้เอง งดการแปรงฟัน ถ้าเลือดออกมากต้องส่งปรึกษาแผนกทันตกรรมเพื่อพิจารณาใส่ dental splint
Hemarthrosis
พันข้อด้วย elastic bandage งดการเคลื่อนไหวข้อนั้นละยกข้อให้สูงเหนือระดับหัวใจ ประคบด้วยความเย็นใน 24 ชั่วโมงแรก
Epistaxis
ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้บีบปีกจมูกทั้งสองข้าง และวางกระเป๋าน้ำแข็งหรือ cold pack ที่บริเวณหน้าผาก จัดให้นั่งอยู่ในท่าโยกตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย หรือนอนศีรษะสูงตะแคงหน้าไปด้านที่มีเลือดออก
ป้องกัน bleeding โดยไม่ให้เกิด trauma
ขณะที่ผู้ป่วยหลับหรือสลึมสลือ ให้ยกไม้กั้นเตียงขึ้นทุกครั้งป้องกันเด็กตกเตียง
ให้การพยาบาลอย่างนุ่มนวล การอาบน้ำผู้ป่วยต้องทำอย่างเบามือ ใช้แปรงสีฟันชนิดขนอ่อน ขณะที่มีเลือดออกต้องงดแปรงฟันทำความสะอาดปากฟันโดยการ บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก เช็ดเบาๆด้วยไม้พันสำลี ห้ามดึงลิ่มเลือดออก
ห้ามฉีดยาทางกล้ามเนื้อ
ถ้า platelets น้อยกว่า 60,000 เซลล์/ลบ.มม.
การเจาะเลือด
การแทงเข็มให้สารน้ำควรให้ผู้ที่มีความชำนาญเป็นผู้ทำ ภายหลังเอาเข็มออกจากตัวผู้ป่วยต้องกดรอยเข็มไว้นานๆประมาณ 5 - 10 นาทีและต้องแน่ใจว่าเลือดหยุดจริง
ถ้า IV leakaged ต้องหยุดการให้ทันที
เพราะอาจทำให้เลือดออกมาใต้ชั้นผิวหนังนอกเส้นเลือด ทำให้เกิด tissue necrosis ได้
ภาวะซีด
สาเหตุ
ภาวะซีดจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลายเพิ่มขึ้นหรือมากผิดปกติ
ภาวะซีดจากการติดเชื้อ เช่น Malaria, Clostridial infection
ภาวะซีดเนื่องจากยา สารเคมี และ Venoms
ภาวะซีดจากเม็ดเลือดแดงแตกหรือถูกทำลายเร็วกว่าปกติ
ภาวะซีดจากการเสียเลือดจากร่างกาย
ภาวะซีดจากการสร้างเม็ดเลือดแดงลดลง
ภาวะซีดจากการขาดสารอาหารที่จำเป็นในการสร้างเม็ดเลือดแดง
ภาวะซีดจากการทำงานของไขกระดูกล้มเหลว
ภาวะซีดจากการพยาธิสภาพของโรคต่าง
ภาวะซีดเนื่องจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลายอย่างผิดปกติ
สาเหตุ
สาเหตุจากความผิดปกติภายในเม็ดเลือดแดง
สาเหตุจากความผิดปกติภายนอกเม็ดเลือดแดง
ตัวอย่างภาวะซีดเนื่องจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลายอย่างผิดปกติ
ภาวะซีดจากธาลัสซีเมีย
สาเหตุ
โรคธาลัสซีเมีย เป็นความผิดปกติของการสังเคราะห์ฮีโมโกลบินซึ่งถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ทำให้มีการสร้างฮีโมโกลบินเอฟ (HbF) และฮีโมโกลบินแอลฟาทู (Hb alpha 2) มากเกินปกติในผู้ใหญ่
โรคธาลัสซีเมียเมเจอร์ (Thalassemia major) เป็นความผิดปกติรุนแรงเพราะมีสภาวะโฮโมไซกัส (Homozygous state) มียินผิดปกติซึ่งได้รับมาจากทั้งบิดามารดา
อาการและการแสดงอาการ
ซีด โหนกแก้มสูง หน้าผากนูนใหญ่ตาเหลือง ดั้งจมูกแฟบ ผิวหนังคล้ำเพราะเม็ดเลือดแดงแตกมากทำให้เหล็กเพิ่มขึ้น ต้องรับเลือดจนทำให้มีธาตุเหล็กมากเกินความจำเป็น ท้องโตเพราะตับม้ามโต เข้าสู่ภาวะหนุ่มสาวช้า การเจริญเติบโตจะช้ากว่าเด็กปกติ ธาลัสซีเมียสามารถป้องกันได้เพราะโรคนี้ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
Beta Thalassemia major
เป็นสาเหตุให้เกิด Hydrops fetalis และ Fulminant intrauterine congestive heart failure เด็กทารกมีหัวใจและตับโต บวมและท้องมานอย่างมาก (Massive ascites) จะทำให้เกตามคลอดหรือเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาได้
Beta Thalassemia minor
เป็นสาเหตุให้มี Mild to moderate microcytic hypochromic anemia ม้ามโตเล็กน้อย ผิวหนังเป็นสีบรอนซ์ และมีการขยายตัวของไขกระดูก มีความผิดปกติของโครงกระดูกซึ่งขึ้นกับระดับของ Reticulocytosis และขึ้นกับความรุนแรงของภาวะซีด มักไม่มีอาการ
ธาลัสซีเมีย Alpha trait (The carrier state)
ปกติไม่มีอาการเลย จะพบ Mild microcytosis คือซีดเล็กน้อยจนถึงซีดมาก บางรายอาจมีตับและม้ามโตเล็กน้อย
**
ทั้งAlpha-Thalassemia major และ Beta-Thalassemia minor จะคุกคามชีวิต เด็กจะอ่อนแอ ไม่โต มีพัฒนาการช้า มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจและหากไม่ได้รับการรักษาจะมีอายุได้เพียง 6 ปี
*
การวินิจฉัย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษอื่น ๆ
3.1 การตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยตรวจสเมียร์เลือดมีลักษณะเม็ดเลือดแดงผิดปกติร่วมกับการทำ Hemoglobin typin
3.2 การตรวจหา Inclusion body ในเม็ดเลือดแดง
3.3 การตรวจชนิดของฮีโมโกลบินในสนามแม่เหล็ก (Hb electrophoresis)
การตรวจร่างกาย จะพบอาการทางคลินิก การตรวจร่างกาย พบหน้าบอกธาลัสซีเมีย (Thalassemic face) ได้แก่ ซีด เหลือง ตับโต และม้ามโต
การซักประวัติ เกี่ยวกับประวัติในครอบครัว
การรักษา
1. แบบประคับประคอง
1.1 การให้เลือด
1.2 ยาขับธาตุเหล็ก
1.3 การตัดม้าม
1.4 กรดโฟลิก (Folic acid)
1.5 การรักษาอาการแทรกซ้อน ได้แก่ ภาวะติดเชื้อ และหัวในล้มเหลว
1.6 ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงและหลีกเลี่ยงยาบำรุงที่มีธาตุเหล็ก
2. การรักษาต้นเหตุ
2.2 การเปลี่ยนยีน (Gene therapy) กำลังอยู่ในขั้นตอนพัฒนาและวิจัย
2.3 การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำหนดเม็ดเลือด
2.1 การปลูกถ่ายไขกระดูก
ภาวะซีดจากภาวะซีดจากภาวะพร่องจี-6-พีดี
สาเหตุ
ภาวะพร่อง จี-6-พีดี มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบ X-linked
สารบางอย่าง เช่น ยา (Aspirin, Antimalarial drugs, Sulfonamides, Vitamin K) เป็นต้น
อาการและอาการแสดง
1. ภาวะซีดอย่างเฉียบพลัน
ผู้ที่พร่อง จี-6-พีดี เมื่อมีภาวะเจ็บป่วยหรือได้รับยาหรือสารเคมีบางอย่าง ซึ่งมีผลทำให้เม็ดเลือดแดงเป็นจำนวนมากแตกอย่างรวดเร็วในหลอดเลือด ผู้ป่วยจะมีอาการซีดลงอย่างรวดเร็วร่วมกับถ่ายปัสสาวะดำและอาจตามมาด้วยภาวะไตล้มเหลวเฉียบพลัน
2. ภาวะซีดเรื้อรัง
เนื่องจากมีการแตกของเม็ดเลือดเรื้อรัง ซึ่งอาการซีดแบบโรคธาลัสซีเมียหรือภาวะพร่องเอนไซม์อื่น ๆ พบน้อย อาการมักจะเกิดขึ้นทันทีเป็นโรคติดเชื้อ (เช่น ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ มาลาเรีย ไทฟอยด์ ตับอักเสบ เป็นต้น) หรือหลังได้รับยาที่มีปฏิกิริยาต่อกัน เช่น แอสไพริน คลอโรควีน ไพรมาควีน ควินิน ควินิดีน คลอแรมแฟนิคอล พีเอเอส ไนโตรฟูแลนโทอิน เมทิลีนบลู กรดนาลิดิซิก แดปโซน หรือหลังรับประทานถั่วปากอ้าทั้งดิบและสุข ซึ่งมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ ได้บ่อย
การวินิจฉัย
1. ซักประวัติ
มีประวัติว่าตั้งแต่แรกคลอดมีอาการเหลืองผิดปกติ โดยไม่รู้สาเหตุ เหลืองมากผิดปกติเคยมีอาการซีดอย่างเฉียบพลันในระยะเวลาอันสั้น (7-10 วัน) โดยไม่มีการเสียเลือด บางรายเคยมีปัสสาวะสีคล้ายน้ำปลาหรือโคล่า มีประวัติได้รับยา มีไข้มาก่อน มีประวัติเลือดจางในครอบครัว
2. การตรวจร่างกาย
อาจไม่พบความผิดปกติ นอกจากซีด บางรายอาจมีตาตัวเหลือง ปัสสาวะมีสีน้ำปลา มีไข้หนาวสั่น แต่ตับม้ามมักไม่โต
3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษอื่น ๆ
การตรวจเลือดพบว่าเม็ดเลือดมีลักษณะปกติ มีฮีโมโกลบินในปัสสาวะ ไม่มีการจัดกลุ่มของเม็ดเลือดแดง (Autoagglutination) และ Coomb’s test ให้ผลลบ ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญที่จะช่วยแยกจาก Autoimmune hemolytic anemia ซึ่งจัดอยู่ในภาวะซีดกลุ่มเดียวกัน การตรวจที่แน่นอน คือ การตรวจเอนไซม์ จี-6-พีดี ในเม็ดเลือดแดง
การรักษา
หาสาเหตุและหลีกเลี่ยงแก้ไข เช่น หยุดยาหรือขจัดสารที่เป็นสาเหตุทำให้เม็ดเลือดแดงแตก รักษาโรคติดเชื้อที่เป็นสาเหตุ
ให้เลือด ชนิด Packed red cell เพื่อหลีกเลี่ยงโปแตสเซียมสูง
ดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เพื่อลดภาวะแทรกซ้อน ดูแลให้สารน้ำและติดตามภาวะสมดุลของอิเล็กโตรไลท์ ระหว่างมีการแตกทำงายของเม็ดเลือดแดง
รักษาตามอาการ
ให้คำแนะนำผู้ป่วยและญาติในการสังเกตอาการผิดปกติ หลีกเลี่ยงการใช้ยาโดยไม่จำเป็น ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง
ภาวะซีดจากการเสียเลือดจากร่างกาย
อาการ
1) อาการซีด หรืออาจมีคนทักว่าเหลือง ซีด อาการซีดดูได้จากหน้าตา ผิวหนัง เปลือกตา เหงือก และลิ้น
2) อาการเหนื่อยง่ายหรือรู้สึกเหนื่อยผิดปกติเวลาที่ต้องออกแรง เช่น การเดินขึ้นบันได ทำงานไม่ค่อยไหว บางรายอาจมีอาการใจสั่นร่วมด้วย หากรุนแรงจะมีอาการของโรคหัวใจวาย เช่น อาการเหนื่อย แน่นหน้าอก หอบ เป็นต้น
3) อาการอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น ไม่มีแรงเคลื่อนไหว ทำให้มีการเคลื่อนไหวช้าลง เวียนศีรษะ ออกกำลังกายไม่ได้ตามปกติหรือมีเหงื่อออกมากผิดปกติ
4) อาการเป็นลม หน้ามืด วิงเวียน อาจทำให้หกล้มได้
5) อาการทางสมอง
อาการหัวใจขาดเลือด
อาการเลือดไปเลี้ยงที่ขาไม่เพียงพอ
อาการในระบบทางเดินอาหาร เช่น เบื่ออาหาร ท้องอืด
อาการแสดง
อาการบวม ผิวแห้ง มักพบในโรคไต
อาการขึ้นผื่นที่ใบหน้าและผมร่วง พบในโรคเอสแอลอี (Systemic lupus erythematosus; SLE)
ต่อมน้ำเหลืองโต อาจหมายถึง มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ซึ่งมักจะมีตับโตและม้ามโตร่วมด้วย
ท้องมาน (Ascites) พบในโรคตับแข็ง
ข้อบวม พิการ พบในโรคข้อเรื้อรัง เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคเอสแอลอี เป็นต้น
การรักษาภาวะซีด
การรักษาทั่วไป เป็นการบำบัดอาการของภาวะซีด ระหว่างที่ทำการรักษาที่เป็นสาเหตุของภาวะซีด
การรักษาเฉพาะ เป็นการรักษาที่สาเหตุ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะซีด
การรับประทานอาหาร ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีธาตุเหล็กและโปรตีนสูง
การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโรคที่เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะซีด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
พฤติกรรมการรับประทานยาที่ถูกต้อง
การพักผ่อน และการออกกำลังกาย เป็นสิ่งที่สำคัญ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะซีดจากการสร้างเม็ดเลือดแดงลดลง
สาเหตุ
ภาวะซีดจากความผิดปกติของเซลล์ที่สร้างเม็ดเลือดแดงหรืออวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของเม็ดเลือดแดง
ภาวะซีดจากพยาธิสภาพของโรคต่าง ๆ
ภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็ก
การเสียเลือดชนิดเฉียบพลันหรือเรื้อรัง
การได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอ
ภาวะแทรกซ้อน
มีการติดเชื้อและภาวะปอดอักเสบ มีการเสียเลือด โดยจะเห็นจากรอยจ้ำเลือดตามผิวหนัง ปัสสาวะเป็นเลือด มีเลือดออกที่เหงือก ภาวะแทรกซ้อนที่เฉพาะกับภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็ก เนื่องจากให้ทดแทนมากเกินไปโดยการรับประทานหรือฉีดทางกล้ามเนื้อ คือ มีธาตุเหล็กไปจับกับเนื้อเยื่อมากเกินไป (Hemochromatosis) ซึ่งมีผลต่อตับ หัวใจ ต่อมพิทูอิทารี และข้อ
อาการและอาการแสดง
ฮีโมโกลบินลดลงเหลือ 7-8 กรัม/เดซิลิตร ผู้ป่วยจึงจะมีอาการของภาวะซีด เช่น มีอาการซีด เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ หน้ามืด หากรุนแรงจะมีอาการมึนงง สับสน หัวใจล้มเหลว มุมปากอักเสบ
อาจมีการอักเสบของหลอดคอและหลอดอาหารทำให้กลืนอาหารลำบาก ติดเชื้อง่าย ลิ้นเลี่ยนแดงหรืออักเสบ (Glossitis) เล็บเปราะแบนคล้ายช้อนหรือเว้าลงเป็นรูปช้อน (Koilonychia)
การขาดธาตุเหล็กจะเป็นไปอย่างช้า ๆ ทีละน้อย
กำจัดและรักษาสาเหตุร่วมกับการใช้ธาตุเหล็กทดแทน ในกรณีซีดมากจนเกิดภาวะหัวใจวาย พิจารณาให้เลือดในรูปของ Packed red cell (PRC) ด้วยความระมัดระวังร่วมกับให้ยาขับปัสสาวะ
การรักษา
หลีกเลี่ยงสาเหตุของการเสียเลือด
ให้เหล็กโดยการรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กมากขึ้น
ระมัดระวังผลข้างเคียงของยา
เช่น สีอุจจาระเปลี่ยนเป็นสีเขียวหรือดำ ท้องผูก ปวดท้อง ท้องอืด แน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เป็นต้น
ให้รับประทานร่วมกับวิตามินซีสูงในมื้อเดียวกันเพราะวิตามินซีจะช่วยทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น
ภาวะซีกจากการขาดวิตามินบี12
สาเหตุ
ขาด Intrinsic factor ซึ่งเป็นโปรตีนที่สร้างจากเยื่อบุในกระเพาะอาหาร
การได้รับ วิตามินบี12 ไม่เพียงพอ พบในผู้ป่วยที่รับประทานอาหารมังสวิรัติอย่าง เคร่งครัด
การรักษา
ให้เลือดเพื่อแก้ไขภาวะซีด
ให้รับประทานอาหารพวกปลา เนื้อสัตว์ นม และไข่
ให้ยาช่วยสร้างเม็ดเลือด เช่น Ferrous sulfate เป็นต้น
ภาวะซีดทำให้ผู้ป่วยอ่อนแรง อาจจะให้พักบนเตียงจนกว่าฮีโมโกลบินจะสูงขึ้น
ผู้ป่วยหนักมีผลกับหัวใจและปอดอาจต้องให้เลือด ให้ยาดิจิตาลีส ยาขับปัสสาวะ ให้อาหารจืด (Low sodium) สำหรับผู้ป่วยหัวใจวาย สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ให้วิตามินบี12 ทดแทน ให้ยาปฏิชีวนะซึ่งขึ้นกับการติดเชื้อ และให้ยาชาเพื่อลดอาการเจ็บปาก
ผู้ป่วยที่รักษาด้วยวิตามินบี12 โดยการฉีด อาจมีอาการผิดปกติทางระบบประสาทอย่างถาวร เช่น อัมพาต เป็นต้น
ภาวะซีดอะพลาสติก
ภาวะซีดจากไขกระดูกฝ่อ
โดยสาเหตุที่แน่ชัดยังไม่ทราบ อาจเกิดจากพิษของยาหรือสารเคมีไปทำลายไขกระดูก
เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมแต่กำเนิด (Fanconi syndrome)
เกิดจากได้รับสารที่เป็นอันตรายต่อไขกระดูกโดยตรง
อาการและอาการแสดง
มีจุดเลือดออกที่เยื่อบุเปลือกตาหรือเรตินา พบจำนวนเม็ดเลือดแดงน้อยกว่า 1 ล้านเซลล์/ลบ.มม. เรติคิวโลไซต์ต่ำ
การรักษา
การรักษาที่ได้ผล ต้องแยกสาเหตุและให้การรักษาอย่างดี
ภาวะแทรกซ้อน มีการเสียเลือดอย่างทันทีทันใด และมีการติดเชื้อจากการที่ผู้ป่วยได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
ภาวะซีดจากการขาดสารอาหารจำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือดแดง เช่น ขาดธาตุเหล็ก (Iron deficiency anemia)
Snake bite
พิษต่อระบบเลือด (hematotoxin)
Pit-viper
ได้แก่ งูกะปะ (Malayan pit viper; Calloselasma rhodostoma) และงูเขียวหางไหม้ (green pit viper; Trimerusurus spp.)
พิษของงูชนิดนี้มีลักษณะเป็น thrombin-like
ไม่มีภาวะ DIC
ทำลายเกล็ดเลือด ให้มีการลดลงของเกล็ดเลือดด้วย
Viper
ได้แก่ งูแมวเซา (Russell’s viper; Daboia russelli)
ทำให้ เกิดเป็นลิ่มเลือดทั่วทั้งร่างกายที่เรียกว่าภาวะเลือดจับลิ่มในหลอดเลือดแพร่กระจาย (disseminated intravascular coagulation, DIC)
จึงเกิดภาวะเลือดออกผิดปรกติ
พิษของงูชนิดนี้มีลักษณะเป็น thromboplastin-like
การเป็นพิษต่อระบบเลือด
คือการทำให้เกิดภาวะเลือดออกง่าย (bleeding tendency)
อาการ
มีอาการเลือดออกผิดปรกติ ได้แก่ เลือดออกจากแผลรอยกัดมาก, มีจ้ำเลือดบริเวณแผล, เลือดออกตามไรฟัน, จุดเลือดตามตัว, ปัสสาวะเป็นเลือด, อาเจียนเป็นเลือด
ในกรณีงูแมวเซาซึ่งเป็น viper จะมีอาการปวดกล้ามเนื้อตามตัวได้มาก มีอาการและอาการแสดงของภาวะ DIC และมีอาการของภาวะไตล้มเหลวเฉียบพลัน
ปวด บวม แดง ร้อน แต่ไม่มาก ได้แก่ งูแมวเซา หรืออาการระยะแรกของงูเห่าและงูจงอาง ในกรณีที่พบมีเลือดออกจากรอยเขี้ยวให้คิดถึงงูแมวเซา
ในกรณีของงูกะปะและงูเขียวหางไหม้ อาการเลือดออกผิดปรกติมักไม่รุนแรง แต่อาการที่บริเวณแผลงูกัดจะรุนแรง
กรณีสงสัยงูพิษต่อระบบเลือด
การตรวจ Complete Blood count จะพบว่าปริมาณเกล็ดเลือดลดลง
การตรวจ Prothrombin time (PT), partial prothromboplastin time (PPT), Thrombin time (TT) จะมีค่านานผิดปรกติ
การรักษาทั่วไป
รักษาภาวะฉุกเฉิน เช่น ภาวะช็อค anaphylactic shock การหยุดหายใจ
ปลอบใจและให้ความมั่นใจแก่ผู้ป่วย
หยุดการเคลื่อนไหวโดยเฉพาะบริเวณที่ถูกกัด ในกรณีที่มีอาการบวมมาก ให้ยกบริเวณนั้นสูง
ให้ยาแก้ปวด แอเคตามิโนเฟน ไม่ให้ยาแก้ปวดที่มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลางแก่ผู้ที่ถูกงูพิษต่อระบบประสาทกัด และไม่ให้ แอสไพรินในผู้ป่วยที่ถูกงูพิษต่อระบบเลือดกัด
ให้ยาต้านจุลชีพในกรณีถูกงูเห่าและงูจงอางกัด ใช้ยาที่ครอบคลุมเชื้อทั้งแกรมบวก แกรมลบเละเชื้อไม่พึ่งอากาศ
ควรให้ยากันบาดทะยัก ในกรณีงูพิษต่อระบบเลือดควรให้หลังจากอาการเลือดออกผิดปรกติดีขึ้น
การให้เซรุ่ม
งูแมวเซา VCT>20 นาที ให้เซรุ่ม 60 มล. ให้ซ้ำทุก 6 ชั่วโมง จนกว่า VCT ลดลงต่ำกว่า 30 นาที
งูกะปะ VCT>20 นาที ให้เซรุ่ม 50 มล. ให้ซ้ำทุก 6 ชั่วโมง จนกว่า VCT ลดลงต่ำกว่า 30 นาที
งูเขียวหางไหม้ ให้เซรุ่ม 50 มล. ให้ซ้ำทุก 6 ชั่วโมง จนกว่า VCT ลดลงต่ำกว่า 30 นาที
การป้องกันปฏิกิริยาของเซรุ่ม
ต้องเตรียมยาแก้แพ้เซรุ่มแก้พิษงูไว้ก่อนเสมอ โดยใช้ adrenalin 1:1,000 ขนาด 0.5 มล.สำหรับผู้ใหญ่ หรือ 0.01 มล.ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. สำหรับเด็ก ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง หรือเข้ากล้ามเนื้อ
การดูแลผู้ป่วย
ขนาดของเซรุ่มแก้พิษงูที่ใช้ คือ 30 มล. สำหรับความรุนแรงปานกลาง (moderate) และ 50 มล.สำหรับความรุนแรงมาก (severe)
การติดตามผู้ป่วย ติดตามภาวะเลือดออก และ VCT ทุก 6 ชั่วโมง หากยังมีภาวะเลือดออก หรือVCT ยังผิดปกติ สามารถให้เซรุ่มแก้พิษงูซ้ำได้อีก จน VCT ปกติ หลังจากนั้นควรทำ VCT ซ้ำอีกประมาณ 24 ชั่วโมง
ข้อบ่งชี้ในการให้เซรุ่มแก้พิษงู
มีภาวะเลือดออกผิดปกติ
VCT นานกว่า 20 นาที หรือ 20 WBCT ผิดปกติ
จำนวนเกร็ดเลือด ต่ำกว่า 10 x 109 ต่อลิตร
ในผู้ป่วยที่ถูกงูแมวเซากัด ติดตามการตรวจวัดปริมาณปัสสาวะทุก 6 ชั่วโมง และอาจพิจารณาทำ hemodialysis เมื่อมีข้อบ่งชี้ ได้แก่
มีลักษณะทางคลินิกของภาวะยูรีเมีย (uremia)
ภาวะสารน้ำเกิน (fluid overload)
ผลการตรวจเลือดผิดปกติ อย่างน้อย 1 อย่าง ต่อไปนี้
creatinine สูงกว่า 10 มก.ต่อดล.
BUN สูงกว่า 100 มก.ต่อดล.
potassium สูงกว่า 7 mEq ต่อลิตร
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
Plt ต่ำ
PT,PTT,TT prolong
Fibrinogen ต่ำ
Fibrin degradation products(FDP) สูง
Euglobulin clot lysis น้อยว่า/เท่ากับ 1 hr
อาการ
Respiratory system
Hypoxia
Dyspea
Chest pain
Breath sound บริเวณที่มี Clot ขนาดใหญ่ลดลง
มีอาการของ acute respiratory distress syndrome
GI
Gastric pain, Heartburn
Hemoptysis
Melana
Peritonral bleeding
Circulartory system
Pluse ต่ำลง
Cappillary filling น้อยกว่า 3 sec
Tachycardia
Renal system
Urine output ลดลง
Bun, cr เพิ่มขึ้น
Hematuria
Integumentary system (Skin)
Temparature ต่ำ
Joint Pain
Cyanosis
Focal ischemia
Superficial gangrene
Petechiae
Subcutaneous hemorrhage
Ecchemosis
Neurogic system
Alternation and orentation ลดลง
Pupillary reaction ลดลง
Strength and movement ability ลดลง
Anxiety
Conjunctival hemorrhage
Headach
Vissual disturbances
ภาวะแทรกซ้อน
Renal failure
Gangrene
Acute respiratory distress sysdrome
Stroke
Pulmonary emboli or hemorrhage
การพยาบาลผู้ป่วย DIC
หลีกเลี่ยงกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำให้เกิด Increase intracranial pressure
หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลต่อหน้าที่ของเกร็ดเลือด
Monitor
V/S, N/S
Hemodynamics
Abdominal girth
Urine output
External bleeding
Fibrinogen level
หลีกเลี่ยงการใช้ยาเข้ากล้ามเนื้อและ rectral
Suction โดยใช้ Low pressure
สังเกต Clot รอบ IV site และ Injections sites
Patient and family support
มะเร็งเม็ดเลือดขาว
2 ชนิด
lymphocyte
myeloid
มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน (Acute leukemia)
เกิดจากการเพิ่มจำนวนของเซลล์เม็ดเลือดตัวอ่อนอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้ไขกระดูกไม่สามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดที่ปกติได้ มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันมักเกิดกับเด็ก
มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง (Chronic leukemia)
เกิดจากการที่ร่างกายสร้างเซลล์เม็ดเลือดที่ผิดปกติออกมาเป็นจำนวนมากกว่าเซลล์เม็ดเลือดที่ปกติ
สาเหตุ
สารก่อมะเร็ง
รังสี (Ionizing radiation)
ความผิดปกติของ
โครโมโซม (Chromosomal aberration)
ไวรัสบางชนิดเช่น ไวรัสเฮชทีแอลวี (Human T-lymphotropic virus Type I หรือเรียกย่อว่า HTLV-1)
การรักษา
วิธีการรักษา
เคมีบำบัด Chemotherapy
การปลูกถ่ายไขกระดูก Bone marrow transplantation
การสร้างภูมิคุ้มกัน Biological therapy โดยการใช้ interferon กับเซลล์มะเร็งได้บางชนิด
นางสาววณิชญา เคลือบคนโท รหัสนักศึกษา 61121301067