Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาวะขาดออกซิเจน (Birth asphyxia), นางสาวพัณณิตา หมิดแหละ รหัส 601001090…
ภาวะขาดออกซิเจน (Birth asphyxia)
ความหมาย
ภาวะที่ทารกแรกเกิดไม่สามารถหายใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นผลให้ขาดสมดุลของการแลกเปลี่ยนก๊าซ ทำให้มีระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ มีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์(hypercapnia) และมีสภาพเป็นกรดในกระแสเลือด (metabolic acidosis)
กลไกการเกิด
การไหลเวียนเลือดทางสายสะดือขัดข้อง มีการหยุดไหลเวียนหรือไหลเวียนลดลง เช่น สายสะดือถูกกดทับขณะเจ็บครรภ์หรือขณะคลอด
ไม่มีการแลกเปลี่ยนออกซิเจนที่รก เกิดจากรกมีการแยกตัวออกจากมดลูก เช่น รกลอกตัวก่อนกำหนด (abruptio placenta) รกมีเนื้อตาย(placenta infarction)
มีการนำออกซิเจนหรือสารอาหารจากมารดาไปยังทารกโดยผ่านทางรกไม่เพียงพอ เช่น มารดาที่มีภาวะความดันโลหิตสูง มีอาการช็อค สูญเสียเลือด ซีด การบีบตัวของมดลูกนานหรือถี่มากไป
ปอดทารกขยายไม่เต็มที่และการไหลเวียนเลือดยังคงเป็นแบบทารกในครรภ์ไม่สามารถปรับเป็นแบบทารกหลังคลอดได้และไม่พัฒนาเป็นแบบผู้ใหญ่ เช่น มีทางเดินหายใจอุดตัน มีน้ำคั่งในปอด มีความสามารถในการหายใจไม่สมบูรณ์ เป็นต้น
พยาธิสรีรภาพ
เมื่อทารกมีภาวะขาดออกซิเจนร่างกายไม่สามารถดูดซึมออกซิเจนเข้าสู่ระบบไหลเวียน เลือดได้ทำให้มีปริมาณออกซิเจนในกระแสเลือดต่ำ มีการคั่งของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนเลือดในร่างกาย คือ มีการเปลี่ยนแปลงอัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจ เริ่มด้วยมีอาการหายใจแบบขาดอากาศ (gasping) ประมาณ 1 นาที ตามด้วยการหายใจไม่สม่ำเสมอและหัวใจเต้นช้าลง ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขทารกจะหยุดหายใจ ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง ภายใน 8 นาทีหลังเกิดการขาดออกซิเจนทารกจะเสียชีวิต
อาการและอาการแสดง
ระยะตั้งครรภ์หรือก่อนคลอด
ทารกมีการเคลื่อนไหวมากกว่าปกติและต่อมาจะมีการเคลื่อนไหวน้อยลงกว่าปกติ อัตราการเต้นของหัวใจทารกในระยะแรกจะเร็วมากกว่า 160 ครั้ง/นาที ต่อมาจึงช้าลง
ระยะคลอด
พบขี้เทาปนในน้ำคร่ำ
ระยะหลังคลอด
การเปลี่ยนแปลงในปอด การขาดออกซิเจนทำให้หลอดเลือดในปอดหดตัว ความดันเลือดในปอดสูงขึ้น เลือดไปเลี้ยงปอดได้น้อยลง การทำงานของเซลล์ปอดเสียไป ทำให้ทารกมีอาการหายใจหอบ ตัวเขียว
การเปลี่ยนแปลงในระบบหัวใจและการไหลเวียนเลือด การขาดออกซิเจน ระยะแรกร่างกายจะส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง หัวใจและต่อมหมวกไต แต่ลดปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงผิวหนัง ลำไส้กล้ามเนื้อและไต ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว ผิวซีด หายใจแบบ gasping มีmetabolic acidosis อุณหภูมิร่างกายต่ำลง ความดันโลหิตต่ำ
การเปลี่ยนแปลงในระบบประสาท ถ้าขาดออกซิเจนนานทารกจะซึม หยุดหายใจบ่อย หัวใจเต็นช้าลง ม่านตาขยายกว้าง ไม่ตอบสนองต่อแสง ไม่มีDoll’s eye movement และมักเสียชีวิต
การเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินอาหาร ลำไส้จะบีบตัวแรงชั่วคราว ทำให้ทารกถ่ายขี้เทาขณะอยู่ในครรภ์มารดา จึงเสี่ยงก่อการสำลักขี้เทาเข้าปอด
การเปลี่ยนแปลงทางเมตาบอลิซึม หลังขาดออกซิเจน ทารกมักเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ แคลเซียมต่ำ และโปแตสเซียมสูง มีผลทำให้ทารกชักและเสียชีวิต
การเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินปัสสาวะ ทารกจะมีปัสสาวะน้อยลงหรือไม่ถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ค่า arterial blood gas ผิดปกติ คือ PaCO2 > 80 mmHg, PaO2 < 40 mmHg, pH < 7.1
ระดับน้ำตาลในเลือด 30 mg%
calcium ในเลือดต่ำกว่า 8 mg%
potassium ในเลือดสูง
การวินิจฉัย
ประวัติการคลอด
การตรวจร่างกาย การประเมินคะแนน APGAR มีการเปลี่ยนแปลงดังนี้
สีผิว
อัตราการหายใจ เริ่มจากไม่สม่ำเสมอไปจนหยุดหายใจ
การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ
การตอบสนองเมื่อถูกกระตุ้น
อัตราการเต้นของหัวใจ
อาการและอาการแสดง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การรักษา
การรักษาเริ่มต้้งแต่การช่วยขั้นพื้นฐาน
ไปจนถึงการช่วยกู้ชีวิต
การให้ความอบอุ่น ดูแลทารกภายใต้แหล่งให้ความร้อนแล้วเช็ดผิวหนังทารกให้แห้ง ห่อตัวทารกด้วยผ้าอุ่น หรือวางทารกบนหน้าอกมารดาโดย skin to skin contact
ทำทางเดินหายใจให้โล่ง
กรณีไม่มีขี้เทาปนในน้ำคร่ำ
หลังจากศีรษะทารกคลอด ใช้ลูกสูบยางแดงดูดสิ่งคัดหลั่งในปากก่อนแล้วจึงดูดในจมูก
กรณีมีขี้เทาปน
รีบดูดขี้เทาออก
ทันทีที่ศีรษะทารกคลอด โดยใช้สายดูดเสมหะเบอร์ 12F-14F หรือใช้ลูกสูบยางแดง แล้วจึงทำคลอดลำตัวถ้าทารกไม่หายใจ ตัวอ่อน หัวใจเต้นช้ากว่า 100ครั้ง/นาที ใส่ endotracheal tube ดูดขี้เทาออกจากคอหอยและหลอดคอให้มากที่สุด
การกระตุ้นทารก(tactile stimulation) เช็ดตัวและดูดเมือกจากปากและจมูกสามารถกระตุ้นทารกให้หายใจได้อย่างดี ถ้าทารกยังไม่ร้องหรือหายใจไม่เพียงพอให้ลูบบริเวณหลังหน้าอก ดีดส้นเท้าทารก
ให้ออกซิเจน ในทารกที่มีตัวเขียว อัตราการเต้นของหัวใจช้า หรือมีอาการหายใจลำบาก ให้ออกซิเจน 100% ที่ผ่านความชื้นและอุ่นผ่านทาง mask หรือท่อให้ออกซิเจนโดยใช้มือผู้ให้ทำเป็นกระเปาะเปิดออกซิเจน 5 ลิตร/นาที
การช่วยหายใจ(ventilation) ด้วยแรงดันบวก โดยใช้ mask และ bag มีข้อบ่งชี้
หยุดหายใจหรือหายใจแบบ gasping
อัตราการเต้นของหัวใจน้อยกว่า 100ครั้ง/นาที
เขียวขณะได้ออกซิเจน 100%
การใส่ท่อหลอดลมคอ ข้อบ่งชี้ในการใส่
เมื่อต้องช่วยหายใจด้วยแรงดันบวกเป็นเวลานาน
เมื่อช่วยหายใจด้วย mask และ bag แล้วไม่ได้ผล
เมื่อต้องการดูดสิ่งคัดหลั่งในหลอดลมคอ กรณีที่มีขี้เทาปนเปื้อนน้ำคร่ำ
เมื่อต้องการนวดหัวใจ
ทารกมีไส้เลื่อนกระบังลม หรือน้ำหนักตัวน้อยกว่า 1,000 กรัม
การนวดหัวใจ(Chest compression) ข้อบ่งชี้ในการทำ คือ HR น้อยกว่า 60 ครั้ง/นาที ขณะที่ได้ช่วยหายใจด้วยออกซิเจน 100% นาน 30วินาที นวด
บริเวณกระดูกสันอกตรงตำแหน่งหนึ่งส่วนสามล่างของกระดูกสันอก ลึกประมาณ 1/3 ของความหนาของทรวงอกและอัตราส่วนระหว่างการนวดและช่วยหายใจเป็น 3 : 1 ทำได้ 2 วิธี
การใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้าง โดยใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างกดบนกระดูกสันอก ใช้อุ้งมือโอบรอบหน้าอกและนิ้วที่เหลือเป็นตัวรองรับแผ่นหลังทารก
การใช้นิ้วมือ 2 นิ้วโดยใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางของมือข้างหนึ่งกดบนกระดูกสันอก มืออีกข้างรองรับแผ่นหลังทารก
การให้ยา (medication)
Epineprine เมื่อช่วยหายใจด้วยออกซิเจน 100% และนวดหัวใจนานเกิน 30 วินาทีแล้ว HR ยังน้อยกว่า 60คร้ัง/นาที ใช้ยาเข้มข้น
1 : 10,000 ปริมาณ 0.01-0.03 mg/kg ผ่านทางหลอดเลือด
สารเพิ่มปริมาตร(volume expanders) เมื่อมีภาวะ hypovolemic ให้
NSS หรือ Ringer’s lactate หรือ packed red cell ขนาด 10 mg/kgในเวลา 5-10 นาที ให้ซ้ำได้เมื่อทารกมีการตอบสนองที่ดีขึ้นและต้องการเพิ่ม
Naloxone hydrochroride (Narcan) ใช้กับทารกที่มารดาได้รับยา กลุ่มยาเสพติดที่กดการหายใจภายใน 4 ชั่วโมงก่อนคลอดภายหลังช่วยหายใจแล้ว ให้ขนาด 0.1 mg/kg หรือ 0.25 mg/kg ของยาที่มีความเข้มข้น 0.4 mg/kg
การรักษาจำแนกตามความรุนแรงของการขาดออกซิเจน
moderate asphyxia
ให้ออกซิเจน 100% และช่วยหายใจด้วย mask และ bag เมื่อดีขึ้นจึงใส่ feeding tube เข้ากระเพาะอาหาร เพื่อดูดลมออก ถ้าไม่ดีขึ้นหลังช่วยหายใจนาน 30 วินาทีใส่ ET tube และนวดหัวใจ
mild asphyxia
ให้ความอบอุ่น ทำทางเดินหายใจให้โล่ง กระตุ้นการหายใจ ให้ออกซิเจนผ่านสายออกซิเจนหรือ mask ถ้าอาการดีขึ้น มีคะแนน APGAR ที่ 5 นาที >8 คะแนน ดูแลเหมือนทารกทั่วไป ถ้าคะแนน APGAR ที่ 5 นาที < 4 คะแนน ดูแลเหมือนทารกที่มีภาวะ moderate asphyxia
severe asphyxia
ให้การช่วยเหลือโดยช่วยหายใจทันทีที่คลอดเสร็จ โดยใส่ ET tube และช่วยหายใจด้วยออกซิเจน 100% ผ่าน bag ร่วมกับการนวดหัวใจ ถ้าไม่ดีขึ้นรักษาด้วยยา
การช่วยเหลือที่ดีจะพบการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นตามลำดับ ดังนี้ อัตราการเต้นของหัวใจทารก การตอบสนองเมื่อถูกกระตุ้น ลักษณะสีผิว อัตราการหายใจ การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ
การพยาบาล
เตรียมทีมบุคลากร เครื่องมือให้พร้อมก่อนคลอด ในรายที่มารดามีภาวะเสี่ยงหรือมีอาการแสดงที่น่าสงสัยว่าจะเกิด asphyxia
ดูดสิ่งคัดหลั่งให้มากที่สุดก่อนคลอดลำตัว
เช็ดตัวทารกให้แห้งทันทีหลังคลอดและห่อตัวรักษาความอบอุ่นของร่างกาย เพื่อลดการใช้ออกซิเจน
บันทึกอัตราการหายใจ การเต้นของหัวใจทารกภายหลังคลอด
สังเกตอาการขาดออกซิเจน เช่น ริมฝีปากและปลายมือปลายเท้าซีด เขียว หายใจปีกจมูกบาน หายใจออกมีเสียงคราง หน้าอกบุ๋ม เป็นต้น เพื่อให้การช่วยเหลือ
และปรึกษาแพทย์ต่อไป
ดูแลให้ได้รับการตรวจทางห้องปฏิบัติการและได้รับยาตามแผนการรักษาของแพทย์
ดูแลให้ได้รับอาหารและสารน้ำตามแผนการรักษาของแพทย์
ดูแลความสะอาดของร่างกาย
ดูแลให้พักผ่อน
ส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างมารดาและทารก
นางสาวพัณณิตา หมิดแหละ รหัส 601001090 ชั้นปีที่ 3/2 เลขที่ 13