Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาวะขาดออกซิเจน (Birth asphyxia) - Coggle Diagram
ภาวะขาดออกซิเจน
(Birth asphyxia)
ความหมาย
:check:
ภาวะที่ทารกแรกเกิดไม่สามารถหายใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นผลให้ขาดสมดุลของการแลกเปลี่ยนก๊าซ ทำให้มีระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ (hypoxia) มีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์(hypercapnia) และมีสภาพเป็นกรดในกระแสเลือด (metabolic acidosis)
กลไกการเกิด
:warning: มี 4 ประการ
1.การไหลเวียนเลือดทางสายสะดือขัดข้อง มีการหยุดไหลเวียนหรือไหลเวียนลดลง
เช่น สายสะดือถูกกดทับขณะเจ็บครรภ์หรือขณะคลอด
2.ไม่มีการแลกเปลี่ยนออกซิเจนที่รก ซึ่งเกิดจากรกมีการแยกตัวออกจากมดลูก
เช่น รกลอกตัวก่อนกำหนด ( abruptio placenta) รกมีเนื้อตาย (placenta infarction)
3.มีการนำออกซิเจนหรือสารอาหารจากมารดาไปยังทารกโดยผ่านทางรกไม่เพยีงพอ
เช่น มารดาที่มีภาวะความดันโลหิตสูง มารดามีอาการช็อค สูญเสียเลือด
4.ปอดทารกขยายไม่เต็มที่และการไหลเวียนเลือดยังคงเป็นแบบทารกในครรภ์ไม่สามารถปรับเป็นแบบทารกหลังคลอดได้และไม่พัฒนาเป็นแบบผู้ใหญ่
เช่น มีทางเดินหายใจอุดตัน มีน้ำคั่งในปอด มีความสามารในการหายใจไม่สมบูรณ์ มีการหายใจล้มเหลวเนื่องจากสมองถูกกด
พยาธิสรีรภาพ
:forbidden:
ทารกมีภาวะขาดออกซิเจน
-->
ร่างกายไม่สามารถดูดซึมออกซิเจนเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือด
-->
ปริมาณออกซิเจนในกระแสเลือดต่ำ
-->
มีระดับแรงดันออกซิเจนในหลอดเลือดแดงเท่ากับหรือน้อยกว่า 40 mmHg และมีการคั่งของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งมีระดับแรงดันคาร์บอนไดออกไซด์ในหลอดเลือดแดงมากกว่า 80 mmHg
-->
ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนเลือดในร่างกาย
-->
โดยมีเลือดไปเลี้ยงอวยัวะที่สำคัญที่สุดในร่างกายก่อน คือ สมอง หัวใจ และต่อมหมวกไต ส่วนอวยัวะอื่น ๆ จะมีเลือดไปเลี้ยงน้อยลง
-->
การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด
-->
มีการเปลี่ยนแปลงอัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจ เริ่มด้วยมีอาการหายใจแบบขาดอากาศ (gasping) ประมาณ 1 นาทีตามด้วยการหายใจไม่สม่ำเสมอและหัวใจเต้นช้าลง
-->
ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขทารกจะหยุดหายใจ
ซึ่งเป็นการหยุดหายใจครั้งแรก (primary apnea)
-->
ถ้าไม่ช่วยกู้ชีพทารกจะพยายามหายใจใหม่อีกครั้งแต่เป็นการหายใจที่ไม่สม่ำเสมอประมาณ 4-5 นาที แล้วจะทรุดลงไปอย่างรวดเร็วและหยุดหายใจอย่างถาวร (secondary apnea )
-->
การขาดออกซิเจนทำให้ร่างกาย เกิดปฏิกิริยาการเผาพลาญโดยไม่ใช้ออกซิเจน
-->
ทำให้ร่างกายมีภาวการณ์เผาพลาญเป็นกรด (metabolic acidosis)
-->
เกิดการขาดออกซิเจนรุนแรงมากขึ้น ถ้าไม่ได้รับการแกไข้ที่ถูกต้องภายใน 8 นาที
หลังเกิดการขาดออกซิเจนทารกจะเสียชีวิต
อาการและอาการแสดง :red_flag:
1. ระยะตั้งครรภ์หรือก่อนคลอด
ทารกมีการเคลื่อนไหวมากกว่าปกติและต่อมาจะมีการเคลื่อนไหวน้อยลงกว่าปกติอัตราการเต้นของหัวใจทารกในระยะแรกจะเร็วมากกว่า 160คร้ัง/นาทีต่อมาจึงช้าลง
2. ระยะคลอด
พบขี้เทาปนในน้ำคร่ำ
3. ระยะหลังคลอด
แรกคลอดทันทีมีคะแนน APGAR ต่ำกว่า 7 ตัวเขียว ไม่หายใจเอง ตัวนิ่ม อ่อนปวกเปียก ปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นลดลง หัวใจเต้นช้าหลังคลอดในระยะต่อมาจะมีการเปลี่ยนแปลง มีอาการและอาการแสดงดังนี้
3.1 การเปลี่ยนแปลงในปอด
การขาดออกซิเจนทำให้หลอดเลือดในปอดหดตัว ความดันเลือดในปอดสูงขึ้น เลือดไปเลี้ยงปอดได้น้อยลง การทำงานของเซลล์ปอดเสียไป ทำให้ทารกคลอดก่อนกำหนดเกิดภาวะ RDS ส่วนทารกที่คลอดครบกำหนดจะเกิดภาวะ persistent pulmonary hypertention of the newborn (PPHN) การเปลี่ยนแปลงในปอดดังกล่าวทำให้ทารกมีอาการหายใจหอบ ตัวเขียว
3.2 การเปลี่ยนแปลงในระบบหัวใจและการไหลเวียนเลือด
การขาดออกซิเจน ในระยะแรกร่างกายจะส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง หัวใจและต่อมหมวกไต แต่ลดปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยง ผิวหนัง ลำไส้กล้ามเนื้อและไต ส่งผลให้หัวใจเต้น เร็ว ผิวซีด หายใจแบบ gasping มีmetabolic acidosis อุณหภูมิร่างกายต่ำลง ความดันโลหิตต่ำ
3.3 การเปลี่ยนแปลงในระบบประสาท
ถ้าขาดออกซิเจนนานทารกจะซึม หยุด หายใจบ่อย หัวใจเต้น ช้าลง ม่านตาขยายกว้างไม่ตอบสนองต่อแสง ไม่มี Doll’s eye movement และมักเสียชีวิต ถ้าขาดออกซิเจนในระยะเวลาสั้น ๆ หรือสามารถกู้ชีพได้สำเร็จอย่างรวดเร็วอาจมี เพียงอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงและดูดนมได้ไม่ดีการเปลี่ยนแปลงในสมองเรียกว่า hypoxic ischemic encephalopathy (HIE) ซึ่งลักษณะดังนี้
1) สูญเสียกำลังกล้ามเนื้อ พบได้ในช่วงอายุ 2-3 ชั่วโมงแรก ในตอนแรกจะมีกล้ามเนื้ออ่อนแรงเล็กน้อย ดูดนมไม่ดี ทารกคลอดครบกำหนดมักเป็นที่กล้ามเนื้อต้นแขน ส่วนทารกที่คลอดก่อนกำหนดมักเป็นที่กล้ามเนื้อขา ถ้ากำลังกล้ามเนื้อดีขึ้นเร็วภายใน 1-2 วันแรก ทารกมักรอดชีวิตและมีสมองปกติถ้ายังคงอ่อนแรงใน 4-5วันแรก ทารกมักเสียชีวิตหรือรอดชีวิต แต่มีความพิการทางสมองอย่างมาก ถ้ามีกล้ามเนื้อเกร็งภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอดมักรอด ชีวิตแต่สมองพิการ
2) ชัก มักเริ่มเห็นภายใน 12-24 ชั่ว โมง เริ่มด้วยอาการชักแบบ subtle seizureคือ ทำปากขมุบขมิบหรือกระพริบตาถี่ ๆ ต่อมาจึงมีอาการชัก เกร็ง กระตุก กระหม่อมหน้าโป่งตึง เล็กน้อย
3) ระดับความรู้สึกตัวผิดปกติเป็นสิ่งที่แสดงถึงความรุนแรงในการขาดออกซิเจน และช่วยทำให้คาดการณ์ได้ว่า ทารกจะรอดชีวิตหรือไม่ จะมีความพิการทางสมองมากน้อยเพียงใด ในระยะ 5 วันแรกถ้าทารกมีอาการตื่นตัวผิดปกติ (hyperaleartness) หรือซึมลงอาจกลับเป็นปกติได้ แต่ถ้าหมดสติไม่รู้สึกตัวมักเสียชีวิต
3.4 การเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินอาหาร
ลำไส้จะบีบตัวแรงชั่วคราว ทำให้ ทารกถ่ายขี้เทาขณะอยู่ในครรภ์มารดา จึงเสี่ยงก่อการสาลักขี้เทาเข้าปอด สำหรับทารกที่คลอดก่อน กำหนดที่มีอายุครรภ์น้อยกว่า34 สัปดาห์ลำไส้จะตอบสนองต่อภาวะขาดออกซิเจนโดยการหยดุ ทำงาน ทำให้ท้องอืดมาก เยื่อลำไส้ถูกทำลาย ถ้าขาดออกซิเจนนานและรุนแรงจะเสี่ยงต่อการ เกิดลำไส้อักเสบเน่าตาย (NEC)
3.5 การเปลี่ยนแปลงทางเมตาบอลิซึม
หลังจากขาดออกซิเจน ทารกมักจะเกิด ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ แคลเซียมต่ำ และโปแตสเซียมสูง มีผลทำให้ทารกชักและเสียชีวิต
3.6 การเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินปัสสาวะ
ทารกจะมีปัสสาวะน้อยลง หรือไม่ถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด (hematuria)
3.7ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1) ค่า arterial blood gas ผิดปกติ คือ PaCO2 > 80 mmHg, PaO2 < 40 mmHg, pH < 7.1
2) ระดับน้ำตาลในเลือด 30 mg%
3) ค่าของ calcium ในเลือดต่ำกว่า 8 mg%
4) ค่าของ potassium ในเลือดสูง
การรักษา
:recycle:
1. การใหค้วามอบอุ่น
= ภาวะตัวเย็นของทารกจะทำให้ความเป็นกรดในเลือดหายช้ายดูแลทารกภายใต้แหล่งให้ความร้อน (radiant warmer) หรือหลอดไฟที่เปิดอุ่นไว ้แล้วเช็ดผิวหนังทารกให้แห้งอย่างรวดเร็วด้วยผ้าแห้งและอุ่น แล้วเอาผ้าเปียกออก ห่อตัวทารกดว้ยผ้าอุ่นผืนใหม่
2. ทำทางเดินหายใจให้โล่ง (clearing the airway)
=
กรณีไม่มีขี้เทาปนในน้ำคร่ำ
ใช้ลูกสูบยางแดงดูดสิ่งคัดหลั่งในปากก่อนแล้วจึงดูดในจมูก การดูดที่ควรทำเมื่อไหล่คลอดและดูดให้หมดก่อนคลอดลำตัว
กรณีมีขี้เทาปน
ไม่ว่าจะมีขี้เทาใสหรือขุ่นข้นปนในน้าคร่ำต้องรีบดูดขี้เทาออกทันทีที่ศีรษะทารกคลอดแล้วจึงทำคลอดลำตัว ถ้าทารกไม่หายใจ ตัวอ่อน หัวใจเต้น ช้ากวา่ 100 ครั้ง/นาทีใส่ endotracheal tube ดูดขี้เทาออกจากคอหอยและหลอดคอให้มากที่สุด
3. การกระตุ้นทารก(tactile stimulation)
= การเช็ดตัวและดูดเมือกจากปากและจมูกสามารถกระตุ้นทารกให้หายใจได้อย่างดีถ้าทารกยังไม่ร้องหรือหายใจไม่เพียงพอให้ลูบบริเวณหลัง หน้าอก ดีดส้นเท้าทารก
4. การให้ออกซิเจน
= ในทารกที่มีตัวเขียว อัตราการเต้นของหัวใจช้า หรือมีอาการหายใจลำบากให้ออกซิเจน 100% ที่ผ่านความชื้นและอุ่นผ่านทาง mask หรือท่อให้ออกซิเจน
5. การช่วยหายใจ(ventilation
) = การช่วยหายใจด้วยแรงดันบวก โดยใช้ mask และ bag มีข้อบ่งชี้คือ
1) หยุดหายใจหรือหายใจแบบ gasping
2) อัตราการเต้นของหัวใจน้อยกว่า 100 ครั้ง/นาที
3) เขียวขณะได้ออกซิเจน 100%
6. การใส่ท่อหลอดลมคอ
มีข้อบ่งชี้ในการใส่คือ
2) เมื่อช่วยหายใจด้วย mask และ bagแล้วไม่ได้ผล
3) เมื่อต้องการดูดสิ่งคัดหลั่งในหลอดลมคอ กรณีที่มีขี้เทาปนเปื้อนน้ำคร่่ำ
1) เมื่อต้องช่วยหายใจด้วยแรงดันบวกเป็นเวลานาน
4) เมื่อต้องการนวดหัวใจ
5) ทารกมีไส้เลื่อนกระบังลม หรือน้ำหนักตัวน้อยกว่า 1,000 กรัม
7. การนวดหัวใจ(Chest compression)
= มีข้อบ่งชี้ในการทำ คืออัตราการเต้นของหัวใจทารกยังคงน้อยกว่า 60 ครั้ง/นาที ขณะที่ได้ชั่วยหายใจด้วยออกซิเจน 100% นาน 30 วินาที นวด บริเวณกระดูกสันอกตรงตำแหน่งหนึ่งส่วนสามล่างของกระดูกสันอก ความลึกประมาณ 1/3 ของความหนาของทรวงอกและอัตราส่วนระหว่างการนวดและช่วยหายใจเป็น 3 : 1
สรุปการรักษาจำแนกตามความรุนแรงของการขาดออกซิเจน
:star:
mild asphyxia
ให้ความอบอุ่น ทำทางเดินหายใจให้โล่ง กระตุ้นการหายใจ ให้ออกซิเจนผ่านสายออกซิเจนหรือ maskถ้าอาการดีขึ้น มีคะแนน APGAR ที่5 นาที >8 คะแนน ให้ดูแลต่อเหมือนทารกทั่ว ไปถ้าคะแนน APGAR ที่5 นาที < 4 คะแนน ดูแลเหมือนทารกที่มีภาวะ moderate asphyxia
moderate asphyxia
ให้ออกซิเจน 100% และช่วยหายใจด้วย mask และ bag เมื่อดีขึ้นจึงใส่ feeding tube เข้ากระเพาะอาหารเพื่อดูดลมออก ถ้าไม่ดีขึ้นหลังช่วยหายใจนาน 30 วินาทีใส่ ET tubeและนวดหัวใจ
severe asphyxia
ให้การช่วยเหลือโดยช่วยหายใจทันทีที่คลอดเสร็จ โดยใส่ ET tube และช่วยหายใจด้วยออกซิเจน 100% ผ่าน bag ร่วมกับการนวดหัวใจ ถ้าไม่ดีขึ้นจึงรักษาด้วยยาการช่วยเหลือที่ดีจะพบการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของลักษณะทารกตามลำดับ ดังนี้
1) อัตราการเต้นของหัวใจทารก
2) การตอบสนองเมื่อถูกกระตุ้น
3)ลักษณะสีผิว
4)อัตราการหายใจ
5) การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ
การพยาบาล
:<3:
เตรียมทีมบุคลากร เครื่องมือให้พร้อมก่อนคลอด ในรายที่มารดามีภาวะเสี่ยงหรือมีอาการแสดงที่น่าสงสัยว่าจะเกิด asphyxia
ดูดสิ่งคัดหลั่งให้มากที่สุดก่อนคลอดลำตัว
เช็ดตัวทารกให้แห้งทัน ทีหลังคลอดและห่อตัวรักษาความอบอุ่นของร่างกาย เพื่อลดการใช้ออกซิเจน
บันทึกอัตราการหายใจ การเต้นของหัวใจทารกภายหลังคลอด
สังเกตอาการขาดออกซิเจน เช่น ริมฝีปากและปลายมือปลายเท้าซีด เขียว หายใจปีกจมูกบาน หายใจออกมีเสียงคราง หน้าอกบุ๋ม หรืออาการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ เพื่อให้การช่วยเหลือและปรึกษาแพทย์ต่อไป
ดูแลให้ได้รับการตรวจทางห้องปฏิบัติการและได้รับยาตามแผนการรักษาของแพทย์
ดูแลให้ได้รับอาหารและสารน้ำตามแผนการรักษาของแพทย์
ดูแลความสะอาดของร่างกาย
ดูแลให้พักผ่อน
10.ส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างมารดาและทารก