Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาวะผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร - Coggle Diagram
ภาวะผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร
ภาวะท้องผูก
มีหลักเกณฑ์ในการวินิจฉัยท้องผูก ดังนี้
ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
ต้องเบ่งมากกว่าปกติ
อุจจาระเป็นก้อนแข็ง
รู้สึกถ่ายอุจจาระไม่สุด
วิธีการรักษาโดยไม่ใช้ยา (Non-Pharmacological Interventions)
ในขณะที่ผู้ป่วยถ่ายอุจจาระควรจัดสถานที่ให้มีความเป็นส่วนตัว หรือจัดสถานที่ให้ผู้ป่วยสามารถถ่ายอุจจาระให้เหมือนปกติมากที่สุด เช่น ผู้ป่วยบางรายอาจจะไม่ชอบถ่ายอุจจาระบนเตียง แต่ชอบนั่งถ่ายมากกว่า
เพิ่มปริมาณสารน้ำที่ผู้ป่วยได้รับในแต่ละวัน หากผู้ป่วยรับประทานอาหารได้ก็ให้ดื่มน้ำตามปกติ แต่หากมีอาการคลื่นไส้อาเจียนมากหรือดื่มน้ำได้ลำบากก็อาจจะจำเป็นต้องให้สารน้ำด้วยวิธีการอื่นๆเช่น การให้สารน้ำใต้ผิวหนัง หรือทางหลอดเลือดดำ
หากเป็นไปได้ ไม่ควรให้ผู้ป่วยนอนอยู่บนเตียงตลอดวัน ควรทำให้ผู้ป่วยได้พอมีกิจกรรมในระหว่างวันบ้าง
ทางที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เกิดอาการท้องผูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่ได้รับยาระงับปวดกลุ่ม Opioids แพทย์ควรควรจะสั่งยาระบายให้ผู้ป่วยทุกครั้ง สำหรับยาระบายที่แนะนำให้ใช้เป็นอันดับแรกสำหรับอาการท้องผูกจากการได้รับยาระงับปวดในกลุ่ม Opioids คือ ยากลุ่ม Senna เช่น Senokot
สภาวะทางร่างกายที่ส่งผลต่อฮอร์โมน
ฮอร์โมนช่วยให้ของเหลวและการทำงานภายในร่างกายเกิดความสมดุล ดังนั้นการเกิดโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารหรือสภาวะบางอย่างที่ทำให้ฮอร์โมนเกิดความผิดปกติขึ้น ซึ่งอาจทำให้ฮอร์โมนเสียสมดุลในการทำงาน สามารถนำไปสู่อาการท้องผูกได้ เช่น โรคเบาหวาน การตั้งครรภ์ ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำ โรคลำไส้แปรปรวน
วิธีการรักษาโดยใช้ยา (Pharmacological Interventions)
ยาที่แนะนำให้ใช้เป็นอันดับแรกคือยาในกลุ่ม Senna เช่น Senokot เพราะมีการออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ขนาดที่ให้สามารเริ่มได้จาก 2 tab PO hs แล้วเพิ่มได้จนถึง 6-8 tabต่อวัน ผลข้างเคียงที่อาจจะพบได้คือ มีอาการท้องเสียหรืออาการปวดท้องหลังรับประทานยา ซึ่งเกิดจากการที่ลำไส้มีการบีบตัวมากเกินไป อาจจะลองลดขนาดยาหรือเปลี่ยนไปใช้ยากลุ่มอื่น
ยาระบายอื่นๆที่สามารถใช้ได้ เช่น lactulose แต่การให้ต้องระวังโดยเฉพาะผูุ้้ป่วยที่มีอาการท้องอืดอยู่แล้ว เนื่องจากการให้ Lactuloseอาจจะทำให้อาการท้องอืดเป็นมากขึ้น นอกจากนั้นผู้ป่วยบางรายอาจจะทนความหวานของ Lactulose ไม่ได้และทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียนมากขึ้น ในกรณีนี้ก็สามารถให้ยาระบายอื่นๆแทนได้ เช่น Milk of Magnesia, Polyethylene glycol เป็นต้น
ในผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกมาก การรักษาขั้นแรกอาจจะต้องทำการสวนอุจจาระก่อน เพื่อบรรเทาอาการในขั้นต้น เช่น เริ่มแรกอาจจะลองใช้ Fleet enema แต่หากไม่ได้ผลอาจจะสวนโดยใช้พวก Mineral oils ก่อนเข้านอน จากนั้นในตอนเช้าก็ให้สวนด้วย Soap Suds Enema อีกทีในช่วงเช้า ซึ่งส่วนใหญ่มักจะให้ผลดี
ในผู้ป่วยที่รับประทานยาไม่ได้ อาจจะให้ Bisacodyl 1-2 tab เหน็บทวารหนักก่อนนอนแทนการให้ยาระบายชนิดรับประทาน เพื่อป้องกันอาการท้องผูก
การป้องกันอาการท้องผูก
อาการท้องผูกป้องกันได้โดยดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอในแต่ละวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำเพียงพอและป้องกันการเกิดภาวะขาดน้ำ ยกเว้นในบางกรณีที่การดื่มน้ำมีผลต่อสภาวะของร่างกายหรือโรคที่เป็นในขณะนั้น รวมไปถึงการหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และน้ำอัดลมมากเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้ร่างกายขาดน้ำมากขึ้น
การรับประทานอาหารควรเลือกอาหารประเภทที่มีกากใยมากขึ้น (ประมาณ 30 กรัมต่อวัน) โดยเฉพาะผักและผลไม้ โดยค่อย ๆ เพิ่มปริมาณการรับประทานขึ้นทีละน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้ท้องอืด และในบางรายอาจเกิดปัญหาท้องผูกจากการรับประทานผลิตภัณฑ์จากนม จึงควรหลีกเลี่ยงหรือรับประทานในปริมาณน้อย
ควรมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอประมาณ 30 นาทีต่อวัน หรือพยายามเคลื่อนไหวร่างกายในชีวิตประจำวันบ่อย ๆ จะเป็นการช่วยบริหารกล้ามเนื้อให้ทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงปรับพฤติกรรมการขับถ่ายให้ตรงเวลา ไม่อั้นอุจจาระเมื่อเกิดอาการปวดโดยไม่จำเป็น และหากพบอาการผิดปกติควรไปพบแพทย์ ซึ่งจะป้องกันไม่ให้อาการท้องผูกกลายเป็นอาการเรื้อรังหรือรุนแรงมากขึ้น
ภาวะท้องเสีย หรือ อุจจาระร่วง (Diarrhea)
อาการท้องเสีย
เกิดภาวะขาดน้ำหรือมีอาการท้องเสียมากกว่า 2 วัน สำหรับเด็กเล็กหรือทารกหากมีอาการเกิน 1 วัน ควรรีบพาไปพบแพทย์ เนื่องจากเสี่ยงกับการเสียชีวิตจากภาวะขาดน้ำ
มีอาการปวดอย่างรุนแรงในช่องท้องหรือทวารหนัก
ไข้ขึ้นสูงกว่า 39 องศาเซลเซียส
ถ่ายอุจจาระมีเลือดหรืออุจจาระเป็นสีดำ
สาเหตุของท้องเสีย
ท้องเสียแบบเฉียบพลัน
การติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อแบคทีเรียที่มักปนเปื้อนในน้ำหรืออาหาร และก่อให้เกิดอาการท้องเสียตามมา ได้แก่ เชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ เชื้อซาลโมเนลลา เชื้อชิเกลลา และเชื้ออีโคไล
การติดเชื้อไวรัส มีไวรัสหลายชนิดที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสีย เช่น โรต้าไวรัส โนโรไวรัส ไซโตเมกาโลไวรัส เฮอร์พีส์ซิมเพล็กซ์ไวรัส ไวรัสตับอักเสบ เป็นต้น โดยโรต้าไวรัสเป็นสาเหตุของการเกิดอาการท้องเสียในเด็กมากที่สุด ซึ่งสามารถหายได้ภายใน 3-7 วัน แต่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาในการย่อยและดูดซึมแล็กโทสที่พบในน้ำนมได้
การได้รับเชื้อปรสิต เชื้อปรสิตสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านอาหารและน้ำที่ปนเปื้อน และอาศัยอยู่ในระบบย่อยอาหารของคนเรา เชื้อปรสิตที่มักพบ คือ เชื้อไกอาเดีย เชื้อแอนตามีบาฮิสโตลิติกาหรือเชื้อบิดอะมีบา และเชื้อคริปโตสปอริเดียม
ท้องเสียแบบเรื้อรัง
โรคในระบบทางเดินอาหารและโรคลำไส้ผิดปกติ เช่น โรคโครห์น โรคลำไส้อักเสบ โรคเซลิแอคหรือแพ้กลูเตน โรคลำไส้แปรปรวน โรคถุงผนังลำไส้อักเสบ โรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น
อาหาร บางคนอาจมีปัญหาในการย่อยสารอาหารบางประเภท อย่างการขาดน้ำย่อยสำหรับย่อยน้ำตาลแล็กโทส ซึ่งเป็นน้ำตาลที่พบมากในนมหรือผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับนม นอกจากนี้ การรับประทานสารทดแทนความหวานในปริมาณมากก็อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสียได้เช่นกัน
การตอบสนองต่อยาบางประเภท ยาปฏิชีวนะ ยารักษาโรคมะเร็ง รวมถึงยาลดกรดที่มีแมกนีเซียม สามารถทำให้เกิดอาการท้องเสียได้
การผ่าตัด อาการท้องเสียอาจเกิดขึ้นหลังจากเข้ารับการผ่าตัดบางชนิด อย่างการผ่าตัดลำไส้ หรือการผ่าตัดนำถุงน้ำดีออกไป
การวินิจฉัยอาการท้องเสีย
การตรวจเลือด ตัวอย่างเลือดของผู้ป่วยจะถูกนำไปตรวจสอบ เพื่อหาสัญญาณของโรคหรือความผิดปกติที่อาจเป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย
การตรวจอุจจาระ ผู้ป่วยจำเป็นต้องเก็บตัวอย่างอุจจาระของตนเอง เพื่อให้ทางแพทย์นำไปตรวจหาเลือด เชื้อโรค หรือสัญญาณของโรคที่อาจเป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย
การส่องกล้องตรวจทางเดินอาหาร คือ การสอดกล้องเข้าไปทางปากแล้วตรวจอวัยวะต่าง ๆ ของระบบย่อยอาหาร เพื่อหาสาเหตุของอาการท้องเสีย
ภาวะแทรกซ้อนของอาการท้องเสีย
ภาวะขาดน้ำและเกลือแร่
โรคลำไส้แปรปรวน
ภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง
กลุ่มอาการเม็ดเลือดแดงแตกยูรีเมีย หากท้องเสียจากการติดเชื้อบางชนิด
ร่างกายส่วนอื่นตอบสนองต่อการติดเชื้อในทางเดินอาหารจนเกิดการอักเสบตามไปด้วย
การติดเชื้อลุกลามไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ ในร่างกาย
การป้องกันอาการท้องเสีย
ล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังรับประทานอาหารหรือสัมผัสกับอาหาร หลังการเข้าห้องน้ำ หรือจับสิ่งสกปรกอื่น ๆ เพื่อป้องกันแพร่กระจายของเชื้อโรค
ในกรณีที่ไม่สามารถล้างมือได้ ควรใช้เจลล้างมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เลือกรับประทานอาหารอย่างระมัดระวัง เช่น รับประทานของร้อน อาหารที่สะอาด สดใหม่ หลีกเลี่ยงผักผลไม้สดที่ล้างไม่สะอาด เนื้อสัตว์ดิบ และผลิตภัณฑ์ประเภทนม เป็นต้น
ไม่ควรวางอาหารทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องนาน ๆ ควรเก็บเข้าตู้เย็น เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
ควรทำความสะอาดบริเวณที่มีการเตรียมอาหารให้ถูกสุขลักษณะ รวมถึงการล้างมือให้สะอาด ขณะเตรียมอาหาร
เลือกดื่มน้ำที่สะอาด ถูกสุขลักษณะ
การรักษาอาการท้องเสีย
กรณีที่ผู้ป่วยท้องเสียอย่างเฉียบพลัน ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาเฉพาะ เพราะอาการป่วยจะค่อย ๆ ดีขึ้นเองตามลำดับ แต่ผู้ป่วยก็ควรดื่มน้ำมาก ๆ หรือดื่มผงน้ำตาลเกลือแร่โออาร์เอส (ORS) เพื่อชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่ร่างกายสูญเสียไป นอกจากนี้ การรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการท้องเสียตามที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำอย่างยา Diosmectite ควบคู่ไปกับการดื่มน้ำและผงเกลือแร่ซึ่งเป็นการรักษาหลักก็อาจช่วยบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้ โดยงานวิจัยบางส่วนพบว่าผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันที่มีอาการไม่รุนแรงมาก มีความถี่ในการถ่ายอุจจาระลดลงหลังจากใช้ยา Diosmectite ซึ่งยาชนิดนี้มีคุณสมบัติช่วยดูดซับสารพิษในระบบทางเดินอาหารและอาจช่วยยับยั้งเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วงได้ ทั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และสารอื่น ๆ นอกจากนี้ หากพบว่าอาการท้องเสียเกิดจากโรคหรือความผิดปกติที่ค่อนข้างร้ายแรงอย่างโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยจำเป็นต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบทางเดินอาหารคอยดูแล เพื่อวางแผนการรักษาโรคหรือความผิดปกติที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้องต่อไป
ทั้งนี้ ผู้ที่ท้องเสียควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของตนเอง โดยเฉพาะสัญญาณของภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบอื่น ๆ ในร่างกาย และถือว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งโดยเฉพาะในเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เพราะอาจทำให้อวัยวะภายในเกิดความเสียหาย หากมีอาการรุนแรง ร่างกายจะเกิดอาการช็อกและหมดสติได้ สำหรับผู้ใหญ่ ให้ระวังสัญญาณที่บ่งบอกว่าร่างกายกำลังเผชิญกับภาวะขาดน้ำ เช่น กระหายน้ำอย่างมาก ปัสสาวะน้อยกว่าปกติและมีสีเข้ม ผิวแห้ง อ่อนเพลีย และวิงเวียนศีรษะ เป็นต้น ส่วนในทารกและเด็กเล็ก จะพบว่ามีอาการปากและลิ้นแห้ง ร้องไห้ไม่มีน้ำตา ไม่ปัสสาวะเลยภายใน 3 ชั่วโมงหรือนานกว่านั้น ตาลึกโบ๋ มีไข้สูง และมีอาการกระสับกระส่ายหรือหงุดหงิด ซึ่งการรักษาภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ในเบื้องต้นทำได้โดยดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ รวมถึงรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมแร่ธาตุและวิตามินแก่ร่างกาย ดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ หรือดื่มน้ำผสมผงน้ำตาลเกลือแร่โออาร์เอส โดยทารกและเด็กเล็กเป็นวัยที่ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ แต่สามารถดื่มผงน้ำตาลเกลือแร่โออาร์เอสสำหรับเด็กได้