Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หัวข้อ 2.6: การพยาบาลผู้ป่วยโรคจิตเภท (Nursing Care for Person with…
หัวข้อ 2.6: การพยาบาลผู้ป่วยโรคจิตเภท
(Nursing Care for Person with Schizophrenia)
อาการหลงผิด (Delusion)
1.1 Persecutory delusions เป็นลักษณะที่พบบ่อยที่สุด โดยหมายถึงลักษณะของอาการหลงผิดที่เชื่อว่าตนเองนั้นจะโดนปองร้าย ทำให้อับอาย หรือกลั่นแกล้งจากบุคคลอื่น ๆ
1.2 Referential delusions หมายถึง อาการหลงผิดที่เชื่อว่า ท่าทาง คำพูดของบุคคลอื่น หรือสภาพแวดล้อมต่าง ๆ นั้นมีความหมายสื่อถึงตนเอง
1.3 Grandiose delusions หมายถึง อาการหลงผิดที่เชื่อว่าตนเองมีความสามารถเหนือกว่าผู้อื่นอย่างมาก หรือเป็นคนสำคัญและมีชื่อเสียงอย่างมาก
1.4 Erotomanic delusions หมายถึง อาการหลงผิดที่เชื่อว่ามีผู้อื่นมาหลงรักตนเอง
1.5 Nihilistic delusions หมายถึง อาการหลงผิดที่เชื่อว่ามีสิ่งเลวร้ายหรือหายนะนั้นได้เกิดขึ้น กับตัวเอง หรือจะต้องเกิดขึ้นกับตัวเอง
1.6 Jealousy delusions หมายถึง อาการหลงผิดที่เชื่อว่าคู่ครองนอกใจ
1.7 Somatic delusions หมายถึง อาการหลงผิดที่มีเนื้อหาเจาะจงกับอาการทางร่างกายหรืออวัยวะใดๆ
1.8 Thought withdrawal หมายถึง อาการหลงผิดที่เชื่อว่าความคิดของตนเองนั้นถูกท าให้หายไปโดยพลังอำนาจบางอย่าง
1.9 Thought insertion หมายถึง อาการหลงผิดที่เชื่อว่ามีพลังอำนาจบางอย่างใส่ความคิดที่ไม่ใช่ของตนเองเข้ามา
1.10 Thought Controlled หมายถึง อาการหลงผิดที่เชื่อว่าพลังอำนาจบางอย่างควบคุมความคิด และบงการให้ตนเคลื่อนไหวหรือคิดตามนั้น
อาการประสาทหลอน (Hallucination)
มีการรับรู้ทางระบบประสาทใด ๆ ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่มีสิ่งเร้า (external Stimuli) โดยส่วนใหญ่แล้วอาการหลอนที่มีความสำคัญทางคลินิกนั้นมักจะมีลักษณะที่ชัดเจนและผู้ป่วยมักจะไม่สามารถควบคุมอาการหลอนได้
อาการหลอนสามารถเกิดได้กับทุกระบบประสาทสัมผัส แต่ในกลุ่มโรคจิตเภทนั้นจะพบอาการ
อาการหลอนหูแว่ว(auditory hallucination)
แว่วมักมีลักษณะเป็นคำพูด (voice) ของบุคคลอื่น (third person)
คำพูดในหูแว่วอาจมีเนื้อหาด่าทอ (voice
Cursing) ข่มขู่ (voice threatening)
กระบวนความคิดและภาษาที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ (Disorganized thinking/speech)
สังเกตได้จากคำพูด (speech) ระหว่างการสัมภาษณ์
พฤติกรรมการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติหรือยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ (Grossly disorganized or abnormal motor behavior)
อาการสามารถแสดงออกได้ในหลายรูปแบบ อาจจะเป็นพฤติกรรมที่เอาแต่ใจเหมือนเด็กซึ่งไม่เหมาะสมกับอายุอย่างมาก
อาการด้านลบ (Negative symptoms)
5.1 การแสดงอารมณ์ที่ลดลง (Decreased emotional expression) ซึ่งสังเกตจากการแสดงออก
ทางสีหน้า สำเนียงขึ้นลงของเสียง การใช้ภาษากายในการสื่อสาร
5.2 แรงกระตุ้นภายในที่ลดลง (Avolition/Amotivation) ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยอาจนั่งเฉย ๆ อยู่เป็นระยะเวลานาน ไม่แสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมกิจกรรมใด ๆ
5.3 ปริมาณการพูดที่ลดลง (Alogia)
5.4 การมีความสุขจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่เคยชอบหรือสนใจลดลง
(Anhedonia)
5.5 การเข้าสังคมที่ลดลง (Asociality)
หลักการและแนวทางการบ าบัดรักษาผู้ป่วยโรคจิตเภท
การให้ความช่วยเหลือและรีบรักษาในระยะแรกเริ่ม เน้นการสืบค้นการเจ็บป่วยในระยะแรกเริ่มและส่งต่อผู้ป่วยไปยังผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตในเขตพื้นที่ใกล้บ้านเพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างครอบคลุม
การรักษาในระยะเฉียบพลัน เน้นการอยู่ในโรงพยาบาลระยะสั้น สนับสนุนดูแลและแก้ปัญหาให้ผู้ป่วยเมื่อมีอาการวิกฤตทางจิตเวชรวมทั้งการดูแลช่วยเหลือเมื่อกลับไปอยู่ที่บ้านและในชุมชน
การส่งเสริมการฟื้นฟูสภาพ ในระยะฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยควรได้รับการดูแลต่อเนื่องเมื่อกลับไปอยู่ที่บ้านในชุมชน
การพัฒนาระบบคุณภาพการดูแลผู้ป่วยจิตเภททุกระยะ ต้องมั่นใจว่าผู้ป่วยได้รับการประเมินจากระบบการช่วยเหลือดูแลครอบคลุมผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาวิชาชีพ
การรักษาทางชีวภาพ (biological treatments)
1.1 การรักษาด้วยยา (pharmacological interventions) มีความจ าเป็นและสำคัญมากโดยเฉพาะการรักษาด้วยยาต้านโรคจิตซึ่งเป็นมาตรฐานในการรักษาผู้ป่วยจิตเภท
การรักษาด้านจิตสังคม (psychosocial treatments)
2.1 การจัดการรายกรณี (case management)
2.2 การบำบัดโดยการให้ความรู้ในการจัดการตนเอง (self-management education)
2.3 การบำบัดโดยใช้ทักษะการแก้ปัญหา (problem solving therapy)
2.4 การบำบัดการรู้คิด-ปรับพฤติกรรม (cognitive behavior therapy)
2.5 การให้การบำบัดกับครอบครัว (family interventions)
2.6 การฝึกทักษะทางสังคม (Social skills training)
2.7 ศิลปะบำบัด (arts therapies)
2.8 การบำบัดรูปแบบอื่นๆ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วยจิตเภท
การบำบัดทางการพยาบาลผู้ป่วยโรคจิตเภท
ขั้นตอนที่ 1 การประเมินสภาพปัญหา การค้นหาและประเมินสภาพปัญหาของผู้ป่วยครอบคลุมการซักประวัติผู้ป่วยและผู้ดูแล การตรวจสภาพจิต การตรวจร่างกาย การตรวจทางห้องปฏิบัติการและนำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์ระดับและสาเหตุของพฤติกรรม
1.1 การประเมินสภาพร่างกายโดยทั่วไปของผู้ป่วย
1.2 การประเมินความคิดของผู้ป่วย
1.3 การประเมินการรับรู้ของผู้ป่วย
1.4 การประเมินพฤติกรรมของผู้ป่วยเพื่อดูอาการทางจิตที่สามารถสังเกตได้
1.5 ประเมินด้านสัมพันธภาพ ประเมินผู้ป่วยด้านการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
1.6 ประเมินด้านอื่นๆ
ขั้นตอนที่ 2 การวินิจฉัยทางการพยาบาล เมื่อประเมินสภาพปัญหาครอบคลุมในประเด็นดังกล่าวข้างต้น ขั้นตอนต่อมาคือการวินิจฉัยทางการพยาบาล
ขั้นตอนที่ 3 การวางแผนการพยาบาล จัดลำดับความสำคัญของปัญหาเพื่อนำมาวางแผนให้การพยาบาลตามลำดับความเร่งด่วนของการดูแลช่วยเหลือ แผนการพยาบาล
ขั้นตอนที่ 4 การปฏิบัติการพยาบาล เป็นการใช้เครื่องมือของพยาบาลจิตเวชในการดูแลผู้ป่วยจิตเภทโดยเฉพาะการใช้ตนเองเพื่อการบำบัดและสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด
ขั้นตอนที่ 5 การประเมินผลการพยาบาล เป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการพยาบาล มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินว่าการวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อใดหรือปัญหาใดได้รับการแก้ไขแล้ว
การปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยโรคจิตเภทยังสามารถแบ่งระยะของการดูแล
ระยะเฉียบพลัน (Acute phase) ระยะนี้ผู้ป่วยมักได้รับการรักษาในโรงพยาบาล โดยเฉพาะหากพบว่าผู้ป่วยมีพฤติกรรมที่อาจเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น
ระยะที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการดีขึ้น (Stabilization please) เป็นระยะที่อาการดีขึ้นแต่ยังคงมีความเสี่ยงต่อการมีอาการทางจิตมากขึ้น
ระยะที่อาการสงบแต่อาจมีอาการทางลบหลงเหลืออยู่ (Maintenance phase) เป็นระยะของการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยและครอบครัวเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตในชุมชนได้ตามปกติและส่งเสริมให้ ผู้ป่วยร่วมมือกับการรักษา