Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลเด็กโรคมะเร็งระยะสุดท้ายของชีวิต, นางสาวอุไรวรรณ เต็มคงแก้ว…
การดูแลเด็กโรคมะเร็งระยะสุดท้ายของชีวิต
ความเข้าใจของเด็กเกี่ยวกับความตาย
วัยอนุบาลหรือวัยก่อนเรียน
คิดว่าตายแล้วสามารถกลับคืนมาได้ เหมือนการไปเที่ยวชั่วคราว หรือความตายเปรียบเหมือนการนอนหลับ ทำให้เด็กบางคนกลัวการนอน กลัวว่าหลับแล้วอาจจะตายแล้วไม่ตื่นอีกเลย ดังนั้นการพัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับความตายในเด็กวัยอนุบาล เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตามเด็กวัยนี้บางคนอาจเข้าใจความตายเป็นจุดสุดท้ายของชีวิตเกือบสมบูรณ์ โดยเฉพาะเด็กที่เคยเผชิญการตายของสัตว์เลี้ยงหรือผู้ใหญ่
วัยเรียน
เรียนรู้เกี่ยวกับการผันแปรของชีวิตมนุษย์ มองความตายที่มีต่อตนเองได้ชัดขึ้น เข้าใจความหมายของความตาย เรียนรู้ว่าตายแล้วจะกลับคืนมาอีกไม่ได้ เข้าใจเรื่องของเวลา อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เด็กอาจเรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ตนเองอาจจะมีชีวิต เติบโต หรือตายจากไป เด็กสามารถจินตนาการเรื่องความตาย และเข้าใจได้ว่าตัวเองก็อาจจะตายในวันหนึ่ง
วัยแรกเกิดและวัยทารก
ตอบสนองของ physiological reflex เพื่อต่อสู้ให้ตนเองมีชีวิตรอดทารกจะเชื่อมโยงกับคนรอบข้างโดยผ่านทางการสัมผัส กลิ่น เสียง เด็กจะร้องเมื่อหิว เจ็บ หรือมีอาการไม่สุขสบายต่างๆ เกิดขึ้นในร่างกาย และหากเด็กอยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิต พ่อ แม่ ตลอดจนบุคลากรทีมการดูแล ควรช่วยให้เด็กผ่านช่วงเวลาของความตายโดยไม่ทุกข์ทรมาน ไม่ปล่อยให้เด็กเผชิญความตายเพียงลำพัง
วัยรุ่น
ต้องการจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นและเกี่ยวข้องกับตัวเองด้วยตัวเอง ไม่ต้องการการบังคับ หรือควบคุม การตายสำหรับวัยรุ่น จึงเหมือนการลงโทษ การถูกกำหนดให้เป็นไปทั้งที่ตนเองไม่ต้องการ เด็กวัยรุ่นจะรู้สึกโกรธ เศร้าใจ โดยแสดงความรู้สึกต่อพ่อแม่ ผู้คนรอบข้าง หรือโชคชะตา เมื่อทำไปแล้วจะรู้สึกผิด เพราะรู้ดีว่าคนเหล่านี้ให้ความรัก ปรารถนาดี และเอาใจใส่ตนเองอย่างแท้จริง และความโกรธนั้นก็จะหันเข้าหาตนเองแทน
การดูแลทางกาย
การบำบัดความปวด (pain management) ความปวดเป็นสิ่งที่รอไม่ได้ บั่นทอนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเด็ก
การบำบัดภาวะเหนื่อยหอบ (respiratory management) อาการเหนื่อยหอบ หากเกิดจากการติดเชื้อ แพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะ อาจพิจารณารักษาทางยา หรือ ทำ minimal invasive procedure เพื่อประคับประคองอาการไม่ให้ทุกทรมานมากขึ้น
การให้ออกซิเจนที่ไม่ก่อให้เกิดความรำคาญแก่เด็ก เมื่อมีอาการทางระบบการหายใจ
ให้เลือดเมื่อซีด ให้เกล็ดเลือดเมื่อมีเลือดออก หรือหลีกเลี่ยงการเจาะเลือด การแทงน้ำเกลือ ที่จะก่อให้เกิดความปวดเฉียบพลันแก่เด็กโดยไม่จำเป็น
การรักษาภาวะไข้และการติดเชื้อ ในผู้ป่วยเด็กระยะสุดท้าย ภาวะไข้ อาจเกิดจากการติดเชื้อ
ผู้ป่วยเด็กระยะสุดท้าย อาจเบื่ออาหาร ต้องการอาหารลดลงเรื่อยๆ หรืออาจมีอาการ cachexia เนื่องจากเมตาโบลิสมเพิ่มแต่ความอยากอาหารลดลง ดังนั้นควรให้อาหารเท่าที่เด็กรับได้และต้องการ ไม่บังคับ
การกู้ชีวิต (CPR) เมื่อมีเหตุทำให้หัวใจหยุดเต้น หรือผู้ป่วยเด็กหยุดหายใจ ควรทำความต้องการของเด็กและครอบครัวที่ให้ไว้ล่าสุด
การดูแลด้านจิตสังคม
2.ประเมินปัญหาสังคมและเศรษฐานะ โรคมะเร็งใช้เวลารักษานาน หรือเมื่อโรคกลับมาระหว่างการรักษา ต้องเริ่มต้นรักษาใหม่ หากบิดามารดามีปัญหาเศรษฐกิจมากกว่าร้อยละ 90 ประเมินเพื่อทราบปัญหาความต้องการจะสามารถช่วยประคับประคองจิตใจของครอบครัว ให้มีกำลังใจในการมาติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยมีแหล่งสนับสนุนที่อาจแบ่งเบาภาระบางส่วนของครอบครัวได้เป็นครั้งคราว
3.ประเมินความต้องการของเด็กและครอบครัวเมื่อเข้ามารักษาในโรงพยาบาล
การให้การปรึกษาแก่ครอบครัวผู้ป่วยเด็กระยะสุดท้าย หลังแพทย์แจ้งข่าวร้ายว่าโรครักษาไม่หายต้องเปลี่ยนเป้าหมายเป็นการรักษาแบบประคับประคอง พยาบาลหรือทีมผู้รับผิดชอบดูแลควรประเมินความเข้าใจของพ่อแม่หรือผู้ดูแล หรือเด็ก(โต)เกี่ยวกับเรื่องโรค การดำเนินโรค วิธีการรักษาแบบประคับประคอง เพื่อประเมินว่าญาติผู้ดูแลหรือเด็กรับรู้ เข้าใจ อย่างไรบ้าง มีความคิดเห็นอย่างไร หรือคาดหวังต่อการรักษาอย่างไร อะไรคือสิ่งที่ยังเป็นกังวล อยากให้ช่วยเหลืออย่างไร เพื่อให้เกิดการวางแผนการดูแลร่วมกัน เข้าใจตรงกันระหว่างเด็ก ครอบครัว และทีมการดูแลรักษา
การติดตามเยี่ยมบ้าน (home visit) เพื่อประเมินปัญหาและความต้องการของผู้ป่วยเด็กและครอบครัวขณะอยู่ที่บ้าน มองเห็นบริบทโดยภาพรวมของครอบครัว และนำมาวางแผนดูแลต่อเนื่องได้อย่างเหมาะสม
การดูแลด้านจิตวิญญาณ
ดูแลรักษาควรเคารพ ใส่ใจ ประเมินปัญหาและความต้องการด้านจิตวิญญาณของเด็กและครอบครัว อาจจัดทำโปรแกรมการดูแลหรือให้บริการที่ตอบสนองความต้องการของเด็กและครอบครั;
เปิดโอกาสให้เด็กและครอบครัวสามารถเลือกสถานที่ที่จะเสียชีวิตได้ เช่น ขอกลับบ้าน ขออยู่ที่โรงพยาบาลจนวาระสุดท้าย ดังนั้นทีมการดูแลควรประเมินและตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของเด็กและครอบครัวตามความเหมาะสม
ส่งผู้ป่วยให้จากไปอย่างสมเกียรติภูมิของความเป็นมนุษย์ เช่น ได้รับ “การดูใจ” หรือ “บอกทาง” จากบุคคลที่ผูกพัน ได้อยู่อย่างสงบ ปราศจากสิ่งรบกวนใดๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ป่วยแต่ละราย
ให้ความรักและความเห็นอกเห็นใจ ช่วยให้ผู้ป่วยยอมรับความตายที่จะมาถึง ช่วยให้จิตใจจดจ่อกับสิ่งดีงาม ช่วยปลดเปลื้องสิ่งที่ค้างคาใจ ช่วยให้ผู้ป่วยปล่อยวางสิ่งต่างๆ สร้างบรรยากาศแห่งความสงบ และกล่าวคำอำลา โดยมีวิธีการสื่อสาร เข้าถึงความต้องการ ความรู้สึกของผู้ป่วยระยะสุดท้ายอย่างเหมาะสม
นางสาวอุไรวรรณ เต็มคงแก้ว 612601090