0121.

การแพร่กระจายเชื้อ

ไวรัสเมอร์ส (MERS-CoV)

ไวรัสเมอร์ส

ต้นกำเนิดของไวรัสเมอร์ส

สาเหตุ

ไวรัสชนิดนี้ต้นกำเนิดจากประเทศซาอุดิอาระเบียและยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่ามีต้นกำเนิดจากคนหรือสัตว์หรือเชื้อใด แต่มีผลวิจัยระบุว่าอาจมีแพะเป็นพาหะนำเชื้อ และเป็นเชื้อไวรัสใกล้เคียงไวรัสในค้างคาวสายพันธุ์หนึ่ง ทั้งนี้วัสเมอร์สเป็นเชื้อไวรัสเดียวกับโรคซาร์ส (Severe Acute Respiratory Syndrome-SARS) ที่แพร่ระบาดอย่างหนักในเอเชียเมื่อปี พ.ศ. 2546

โรคเมอร์ส เป็น โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ที่มาจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ อาการของโรคนี้ มีความหลากหลาย ตั้งแต่ มีไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล คลื่นไส้อาเจียน ถ่ายเหลว จนกระทั่งหอบเหนื่อย และปอดอักเสบรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต จากอาการที่ไม่จำเพาะ การวินิจฉัยจึงต้องอาศัยการตรวจทางไวรัสวิทยา

โรคนี้สามารถติดต่อได้ทั้งจากการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยโดยตรง สัมผัสสารคัดหลั่งต่าง ๆ เช่น น้ำมูก น้ำลาย เสมหะของผู้ป่วยที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม หรือผ่านละอองฝอยที่เกิดจากการไอ จาม หายใจของผู้ป่วย โดยเฉพาะในระยะ 1 เมตร รวมถึงจากการสัมผัสสัตว์ที่เป็นแหล่งโรค เช่น อูฐ รวมทั้งการดื่มนมอูฐที่อาจปนเปื้อนเชื้อนี้

สามารถแพร่กระจายได้ทางเสมหะของผู้ป่วยจากการไอและจามการสัมผัสคลุกคลีกับผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดรวมทั้งยังสามารถแพร่กระจายเชื้อได้โดยเฉพาะในโรงพยาบาล

การวินิจฉัยโรค

อาการเบื้องต้นของผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสเมอร์ส

การป้องกัน/การดูแลตนเอง

อาการเบื้องต้นของผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสเมอร์สคล้ายไข้หวัดทั่วไป คือมีการไอ จาม มีไข้สูง หอบเหนื่อย และอาจมีอาการท้องเสียและอาเจียนร่วมด้วย ในบางรายมีอาการุนแรง เช่น ปอดอักเสบ ไตวาย ระบบหายใจล้มเหลว ส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิต โดยที่เชื้อไวรัสเมอร์สมีระยะฟักตัวประมาณ 14 วัน ก่อนแสดงอาการ ทว่าผู้ป่วยบางรายอาจไม่แสดงอาการให้เห็น ทำให้กลายเป็นพาหะนำโรคไปสู่ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว2 ในการรักษาผู้ป่วยโรคเมอร์ส แพทย์จะรักษาตามอาการ เนื่องจากยังไม่มียา วัคซีน หรือเครื่องมือใดๆสำหรับการรักษาโรคเมอร์สโดยตรง

ใส่หน้ากากอนามัย เมื่อมีการไอหรือจามต้องปิดปากและจมูกด้วยกระดาษชำระ หากไม่ทันอาจใช้แขนเสื้อของตนเองปิดแทน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ และทำความสะอาดมือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้อื่นและสิ่งของต่าง ๆ รวมทั้งเว้นระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 1 เมตร กรณีที่สงสัยว่าตนเองมาจากบริเวณที่มีความเสี่ยง หรือเกิดความไม่สบายใจ สามารถโทรศัพท์ติดต่อแจ้งเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่ใกล้บ้านท่านก่อนว่า ท่านอาจเป็นโรคเมอร์ส เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้เตรียมความพร้อมในการดูแลรักษา
นอกจากหลีกเลี่ยงการเดินทางไป หรือผ่านประเทศที่มีการระบาดแล้ว ควรปรับพฤติกรรมเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อโรคทางเดินหายใจ

  • ทำความสะอาดมือ บ่อย ๆ เป็นประจำ
  • ไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
  • หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้ป่วย ที่มีอาการไม่สบายคล้ายหวัด ผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจ หรือ ผู้ที่อาการไอ จาม
  • ปฏิบัติตามสุขอนามัย กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ
  • หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในบริเวณที่มีผู้คนหนาแน่น หรืออากาศถ่ายเทไม่สะดวก หากจำเป็นควรใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้ง

ข้อที่ 1 เสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อในร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอเนื่องจากการหดเกร็งของหลอดลม

ข้อที่ 2เสี่ยงต่อทางเดินหายใจบกพร่อง
เนื่องจากพยาธิสภาพขอโรค

ข้อที่ 3วิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะของโรคเนื่องจากเป็นเรื่องที่ติดต่อรุนแรง

วัตถุประสงค์เพื่อให้เนิ้อเยื่อในร่างกายได้รับบออกซิเจนอย่างเพียงพอ

การพยาบาล

1.ดูแลให้ได้รับออกซิเจน ตามแผนการรักษา คือ ให้ออกซิเจน canular 3 L/min เพื่อป้องกันการขาด

ออกซิเจน

2.จัดท่าให้นอนท่า fowler’s position เพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าท้องหย่อนตัวปอดขยายได้ดีขึ้นเพิ่มพื้นที่

ในการแลกเปลี่ยนก๊าซ

3.สังเกตอาการขาดออกซิเจนคือที่ผิวหนัง เล็บ เยื่อบุช่องปากริมฝีปากว่าเขียวหรือไม่การกดเล็บมือพอ

ให้เนื้อเล็บใต้นิ้วมือซีดแล้วปล่อยทันทีในคนปกติเนื้อใต้เล็บที่ซีดจะกลับแดงภายใน 1 วินาทีถ้าพบภาวะการ

ขาดออกซิเจนให้รีบรายงานแพทย์ให้การช่วยเหลือ

4.วัดสัญญาณชีพและติดตามการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย สังเกตและบันทึกการหายใจ เพื่อประเมิน

ภาวการณ์หายใจและให้ความช่วยเหลืออย่างถูกต้องถ้าพบว่าสัญญาณชีพเปลี่ยนแปลงเลวลงโดยเฉพาะอัตราการ

หายใจถ้าเพิ่มขึ้นต้องรีบรายงานแพทย์เพื่อให้ความวามช่วยเหลือต่อไป

วัตถุประสงค์1. เพื่อป้องกันภาวะเนื้อเยื่อ พร่องออกซิเจน

  1. เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ

เกณฑ์การประเมิน

1.ไม่มีอาการหอบเหนื่อย

2.oxygen sat > 95

3.ไม่มีภาวะขาดออกซิเจน เช่น ปลายมือปลายเท้าเขียว

การพยาบาล

ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน

ประเมิน v/s หรือ oxygen sat

ดูแลให้ได้รับออกซิเจน

ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง

จัดให้ผู้ป่วยนอนในท่าศีรษะสูง

ดูแลให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนนอนหลับ

วัตถุประสงค์ :เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วย

การพยาบาล

1.สร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อผู้ป่วยโดยปลอบโยนให้กำลังใจด้วยท่าทีที่เป็นมิตร เอาใจใส่ หมั่นตรวจเยี่ยม เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ

2.อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจถึงการดำเนินของโรค ความรุนแรงของโรค ตลอดจนการรักษาโรคที่เป็นอยู่ เพื่อคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของตน

3.เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและญาติซักถามข้อสงสัยและอธิบายเพิ่มเติมเพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ

4.ฝึกการผ่อนคลายให้แก่ผู้ป่วย โดยจัดท่าให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าที่สบาย ฝึกการหายใจเพื่อลดความกังวล

5.จัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบ สะอาด ปลอดโปร่ง เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายและพักผ่อนได้


ภาพ

EMERS-CoV

news1050img3

การพยาบาล

1.ดูแลให้ได้รับออกซิเจน ตามแผนการรักษา คือ ให้ออกซิเจน canular
3 L/min เพื่อป้องกันการขาดออกซิเจน

2.จัดท่าให้นอนท่า fowler’s position เพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าท้องหย่อนตัวปอดขยายได้ดีขึ้นเพิ่มพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซ

3.สังเกตอาการขาดออกซิเจนคือที่ผิวหนัง เล็บ เยื่อ บุช่องปากริมฝีปากว่าเขียวหรือไม่การกดเล็บมือพอให้เนื้อเล็บใต้นิ้วมือซีดแล้วปล่อยทันทีในคนปกติเนื้อใต้เล็บที่ซีดจะกลับแดงภายใน 1 วินาทีถ้าพบภาวะการขาดออกซิเจนให้รีบรายงานแพทย์และให้การช่วยเหลือ

4.วัดสัญญาณชีพและติดตามการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย สังเกตและบันทึกการหายใจ เพื่อประเมินภาวะการหายใจและให้ความช่วยเหลืออย่างถูกต้องถ้าพบว่าสัญญาณชีพเปลี่ยนแปลงเลวลงโดยเฉพาะอัตราการหายใจถ้าเพิ่มขึ้นต้องรีบรายงานแพทย์เพื่อให้ความช่วยเหลือต่อไป