การแพร่กระจายเชื้อ
ไวรัสเมอร์ส (MERS-CoV)
ไวรัสเมอร์ส
ต้นกำเนิดของไวรัสเมอร์ส
สาเหตุ
ไวรัสชนิดนี้ต้นกำเนิดจากประเทศซาอุดิอาระเบียและยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่ามีต้นกำเนิดจากคนหรือสัตว์หรือเชื้อใด แต่มีผลวิจัยระบุว่าอาจมีแพะเป็นพาหะนำเชื้อ และเป็นเชื้อไวรัสใกล้เคียงไวรัสในค้างคาวสายพันธุ์หนึ่ง ทั้งนี้วัสเมอร์สเป็นเชื้อไวรัสเดียวกับโรคซาร์ส (Severe Acute Respiratory Syndrome-SARS) ที่แพร่ระบาดอย่างหนักในเอเชียเมื่อปี พ.ศ. 2546
โรคเมอร์ส เป็น โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ที่มาจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ อาการของโรคนี้ มีความหลากหลาย ตั้งแต่ มีไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล คลื่นไส้อาเจียน ถ่ายเหลว จนกระทั่งหอบเหนื่อย และปอดอักเสบรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต จากอาการที่ไม่จำเพาะ การวินิจฉัยจึงต้องอาศัยการตรวจทางไวรัสวิทยา
โรคนี้สามารถติดต่อได้ทั้งจากการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยโดยตรง สัมผัสสารคัดหลั่งต่าง ๆ เช่น น้ำมูก น้ำลาย เสมหะของผู้ป่วยที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม หรือผ่านละอองฝอยที่เกิดจากการไอ จาม หายใจของผู้ป่วย โดยเฉพาะในระยะ 1 เมตร รวมถึงจากการสัมผัสสัตว์ที่เป็นแหล่งโรค เช่น อูฐ รวมทั้งการดื่มนมอูฐที่อาจปนเปื้อนเชื้อนี้
สามารถแพร่กระจายได้ทางเสมหะของผู้ป่วยจากการไอและจามการสัมผัสคลุกคลีกับผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดรวมทั้งยังสามารถแพร่กระจายเชื้อได้โดยเฉพาะในโรงพยาบาล
การวินิจฉัยโรค
อาการเบื้องต้นของผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสเมอร์ส
การป้องกัน/การดูแลตนเอง
อาการเบื้องต้นของผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสเมอร์สคล้ายไข้หวัดทั่วไป คือมีการไอ จาม มีไข้สูง หอบเหนื่อย และอาจมีอาการท้องเสียและอาเจียนร่วมด้วย ในบางรายมีอาการุนแรง เช่น ปอดอักเสบ ไตวาย ระบบหายใจล้มเหลว ส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิต โดยที่เชื้อไวรัสเมอร์สมีระยะฟักตัวประมาณ 14 วัน ก่อนแสดงอาการ ทว่าผู้ป่วยบางรายอาจไม่แสดงอาการให้เห็น ทำให้กลายเป็นพาหะนำโรคไปสู่ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว2 ในการรักษาผู้ป่วยโรคเมอร์ส แพทย์จะรักษาตามอาการ เนื่องจากยังไม่มียา วัคซีน หรือเครื่องมือใดๆสำหรับการรักษาโรคเมอร์สโดยตรง
ใส่หน้ากากอนามัย เมื่อมีการไอหรือจามต้องปิดปากและจมูกด้วยกระดาษชำระ หากไม่ทันอาจใช้แขนเสื้อของตนเองปิดแทน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ และทำความสะอาดมือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้อื่นและสิ่งของต่าง ๆ รวมทั้งเว้นระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 1 เมตร กรณีที่สงสัยว่าตนเองมาจากบริเวณที่มีความเสี่ยง หรือเกิดความไม่สบายใจ สามารถโทรศัพท์ติดต่อแจ้งเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่ใกล้บ้านท่านก่อนว่า ท่านอาจเป็นโรคเมอร์ส เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้เตรียมความพร้อมในการดูแลรักษา
นอกจากหลีกเลี่ยงการเดินทางไป หรือผ่านประเทศที่มีการระบาดแล้ว ควรปรับพฤติกรรมเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อโรคทางเดินหายใจ
- ทำความสะอาดมือ บ่อย ๆ เป็นประจำ
- ไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
- หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้ป่วย ที่มีอาการไม่สบายคล้ายหวัด ผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจ หรือ ผู้ที่อาการไอ จาม
- ปฏิบัติตามสุขอนามัย กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ
- หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในบริเวณที่มีผู้คนหนาแน่น หรืออากาศถ่ายเทไม่สะดวก หากจำเป็นควรใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้ง
ข้อที่ 1 เสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อในร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอเนื่องจากการหดเกร็งของหลอดลม
ข้อที่ 2เสี่ยงต่อทางเดินหายใจบกพร่อง
เนื่องจากพยาธิสภาพขอโรค
ข้อที่ 3วิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะของโรคเนื่องจากเป็นเรื่องที่ติดต่อรุนแรง
วัตถุประสงค์เพื่อให้เนิ้อเยื่อในร่างกายได้รับบออกซิเจนอย่างเพียงพอ
การพยาบาล
1.ดูแลให้ได้รับออกซิเจน ตามแผนการรักษา คือ ให้ออกซิเจน canular 3 L/min เพื่อป้องกันการขาด
ออกซิเจน
2.จัดท่าให้นอนท่า fowler’s position เพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าท้องหย่อนตัวปอดขยายได้ดีขึ้นเพิ่มพื้นที่
ในการแลกเปลี่ยนก๊าซ
3.สังเกตอาการขาดออกซิเจนคือที่ผิวหนัง เล็บ เยื่อบุช่องปากริมฝีปากว่าเขียวหรือไม่การกดเล็บมือพอ
ให้เนื้อเล็บใต้นิ้วมือซีดแล้วปล่อยทันทีในคนปกติเนื้อใต้เล็บที่ซีดจะกลับแดงภายใน 1 วินาทีถ้าพบภาวะการ
ขาดออกซิเจนให้รีบรายงานแพทย์ให้การช่วยเหลือ
4.วัดสัญญาณชีพและติดตามการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย สังเกตและบันทึกการหายใจ เพื่อประเมิน
ภาวการณ์หายใจและให้ความช่วยเหลืออย่างถูกต้องถ้าพบว่าสัญญาณชีพเปลี่ยนแปลงเลวลงโดยเฉพาะอัตราการ
หายใจถ้าเพิ่มขึ้นต้องรีบรายงานแพทย์เพื่อให้ความวามช่วยเหลือต่อไป
วัตถุประสงค์1. เพื่อป้องกันภาวะเนื้อเยื่อ พร่องออกซิเจน
- เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
เกณฑ์การประเมิน
1.ไม่มีอาการหอบเหนื่อย
2.oxygen sat > 95
3.ไม่มีภาวะขาดออกซิเจน เช่น ปลายมือปลายเท้าเขียว
การพยาบาล
ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน
ประเมิน v/s หรือ oxygen sat
ดูแลให้ได้รับออกซิเจน
ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง
จัดให้ผู้ป่วยนอนในท่าศีรษะสูง
ดูแลให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนนอนหลับ
วัตถุประสงค์ :เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วย
การพยาบาล
1.สร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อผู้ป่วยโดยปลอบโยนให้กำลังใจด้วยท่าทีที่เป็นมิตร เอาใจใส่ หมั่นตรวจเยี่ยม เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ
2.อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจถึงการดำเนินของโรค ความรุนแรงของโรค ตลอดจนการรักษาโรคที่เป็นอยู่ เพื่อคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของตน
3.เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและญาติซักถามข้อสงสัยและอธิบายเพิ่มเติมเพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ
4.ฝึกการผ่อนคลายให้แก่ผู้ป่วย โดยจัดท่าให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าที่สบาย ฝึกการหายใจเพื่อลดความกังวล
5.จัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบ สะอาด ปลอดโปร่ง เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายและพักผ่อนได้
ภาพ
การพยาบาล
1.ดูแลให้ได้รับออกซิเจน ตามแผนการรักษา คือ ให้ออกซิเจน canular
3 L/min เพื่อป้องกันการขาดออกซิเจน
2.จัดท่าให้นอนท่า fowler’s position เพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าท้องหย่อนตัวปอดขยายได้ดีขึ้นเพิ่มพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซ
3.สังเกตอาการขาดออกซิเจนคือที่ผิวหนัง เล็บ เยื่อ บุช่องปากริมฝีปากว่าเขียวหรือไม่การกดเล็บมือพอให้เนื้อเล็บใต้นิ้วมือซีดแล้วปล่อยทันทีในคนปกติเนื้อใต้เล็บที่ซีดจะกลับแดงภายใน 1 วินาทีถ้าพบภาวะการขาดออกซิเจนให้รีบรายงานแพทย์และให้การช่วยเหลือ
4.วัดสัญญาณชีพและติดตามการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย สังเกตและบันทึกการหายใจ เพื่อประเมินภาวะการหายใจและให้ความช่วยเหลืออย่างถูกต้องถ้าพบว่าสัญญาณชีพเปลี่ยนแปลงเลวลงโดยเฉพาะอัตราการหายใจถ้าเพิ่มขึ้นต้องรีบรายงานแพทย์เพื่อให้ความช่วยเหลือต่อไป