Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลโรคหัวใจและหลอดเลือด, นางสาวกนกวรรณ จันทร์น้อย เลขที่1 รหัส…
การพยาบาลโรคหัวใจและหลอดเลือด
Cardiac Muscle cells
Myocardial Cells เป็นเซลล์โครงร่างของหัวใจ ถูกกระตุ้นโดยกระแสไฟฟ้าได้
Pacemaker cells เป็น Electrical cells สามารถผลิตไฟฟ้า และส่งต่อไปเซลล์อื่นได้
4 Characteristics of cardiac cells
1.Automaticity สร้างกระแสไฟฟ้าได้
2.Excitability ตอบสนองต่อไฟฟ้าที่มากระตุ้นได้
3.Conductivity เป็นสื่อนำไฟฟ้า ส่งต่อจากเซลหนึ่งไปยังเซลอื่นได้
4.Contractility ตอบสนองต่อไฟฟ้าที่มากระตุ้นโดยการหดและยืดตัว
Cardiac action potential
เกิดจากการไหลเข้าออกของ electrolyte 3 ตัวหลัก คือ Na+, K+, และ Ca++
Depolarization
เป็นสภาวะภายในเซล ที่มีประจุไฟฟ้าเป็นบวกเพิ่มมากขึ้นจากการไหลของNa+, Ca++ เข้าเซลล์
ECG Waveform
เมื่อไฟฟ้าวิ่งผ่านเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ จะเกิด Depolarization และ Repolarization เกิด ECG Waveform ประกอบด้วย P Wave, QRS Complex, T Wave, U Wave
Characteristic of normal ECG
P wave
Atrial deporalization
กว้าง< 0.12 sec (3ช่อง)
Upright ใน I,II,V4-V6, aVF
Invert ใน aVR
QRS complex
ventricular depolarization
กว้าง 0.06-0.12sec
Q ปกติไม่เกิน 1 mm
QRSสูง 10 - 25 mm
T wave
ventricular repolarization
upright ใน lead I,II,V3-V6
invert ใน aVR
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
(Cardiac arrhythmias)
เป็นอาการที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ อาจเต้นเร็วหรือช้าเกินไป ทำให้การสูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่างๆของร่างกายไม่มีประสิทธิภาพ และอาจส่งผลให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหลอดเลือดสมองอุดตันได้
สาเหตุ
สาเหตุที่หัวใจ
โรคของกล้ามเนื้อหัวใจ
โรคของลิ้นหัวใจ ตีบ รั่ว
หัวใจโต หัวใจล้มเหลว
สาเหตุภายนอกหัวใจ
ภาวะเสียสมดุลอิเล็คโตรลัยท์ เช่น K, Mg, Ca, Na
ภาวะ hypoxia หรือ hypercapnia
การกระตุ้น ANS ทั้ง sympathetic และ parasympathetic
ได้รับยาบางชนิด ชา กาแฟ บุหรี่
การพักผ่อนไม่เพียงพอ
โรคอื่นๆ เช่น ไทรอยด์เป็นพิษ
อาการ
อาการอาจขึ้นกับชนิดของจังหวะหัวใจที่ผิดปกติ
ถ้าหัวใจเต้นเร็วหรือเต้นไม่สม่ำเสมอ ผู้ป่วยอาจจะมาด้วยอาการใจสั่น
กรณีหัวใจเต้นช้า ผู้ป่วยจะมาด้วยอาการ เวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม หรือหมดสติ
บางครั้งผู้ป่วยอาจมาด้วยอาการเหนื่อย เนื่องจากจังหวะการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ รบกวน การทำงานของหัวใจ ทำให้มีอาการเหนื่อยได้
แนวทางการรักษา
ให้ยาควบคุมการเต้นของหัวใจ ได้แก่ Digitalis, Amiodarone, propanol
การใส่สายสวนหัวใจ เพื่อให้การรักษาโดยการจี้ บริเวณวงจรไฟฟ้าที่ผิดปกติ วิธีนี้ใช้กับผู้ป่วยที่มีจังหวะหัวใจที่เต้นเร็ว รัว
การรักษาโดยฝัง เครื่องกระตุ้นหัวใจ หรือ Pacemaker ในกรณีหัวใจเต้นช้า
การฝังเครื่องกระตุกหัวใจ หรือ Internal Defibrillator เพื่อที่จะรักษาผู้ป่วย
ในกรณีที่มีจังหวะผิดปกติที่อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ เครื่องก็จะปล่อยกระแสไฟฟ้าช็อกให้หัวใจกลับมาให้เป็นปกติได้
หัวใจเต้นผิดจังหวะที่สำคัญ
Sinus tachycardia
Sinus bradycardia
สาเหตุของ sinus bradycardia
เกิดขึ้นขณะนอนหลับ หรือ ในคนหนุ่มสาวที่มีสุขภาพแข็งแรง
ผู้ป่วยที่มี myocardial infarction ในส่วน inferior หรือ posterior
Parasympathetic ถูกกระตุ้นเช่น อาเจียน กลั้นหายใจ การเบ่งอุจจาระ
ผู้ป่วยที่มีความดันในกะโหลกศีรษะสูง
ร่างกายขาดออกซิเจน อุณหภูมิร่างกายต่ำ K+สูง หรือ hypothyroid
ได้รับยากลุ่ม calcium channel blocker, beta blocker, digitalis, amiodarone
Atrium fibrillation
Atrium flutter
ไฟฟ้าเกิดมาจากRt. Atrium และไหลหมุนวนกลับ (re-entry circuit)
เกิด Atrium depolarization มี wave form คล้ายฟันเลื่อย (Flutter wave)
ไม่มี p wave, แต่เป็น Flutter wave
Atrial rate 250-450 ครั้ง/นาที
จังหวะของ atrium สม่ำเสมอ แต่จังหวะของ ventricle ไม่แน่นอน
ปัญหาของ Atrial Flutter
เกิดจาก Ventricular rate ที่เร็วมาก ทำให้หัวใจบีบตัวเร็ว ไม่มีเวลาเพียงพอให้เลือดไหลจากหัวใจห้องบนลงมาห้องล่าง จึงทำให้ปริมาตรเลือดในหัวใจห้องล่างก่อนหัวใจบีบตัวมีน้อย ส่งผลให้เลือดถูกบีบออกจากหัวใจน้อยลง เกิด Low cardiac output
Ventricular tachycardia
จุดกำเนิดอยู่ที่ ventricle
ไม่พบ P wave
QRS กว้าง
Rate 150-250 ครั้ง/นาที
Ventricular fibrillation
ลักษณะ ventricle เต้นพริ้ว ไม่สามารถบีบเลือดออกจากหัวใจได้
ไม่พบ p wave มีเพียง fibrillation wave
คลำชีพจรไม่ได้
การรักษา
ทำ defibrillation 100-200 จูล ทันที
ร่วมกับการทำ CPR อย่างต่อเนื่อง
epinephrin 1 mg IV ซ้ำได้ทุก 3 – 5 นาที
ปัญหาทางการพยาบาลผู้ป่วยหัวใจเต้นผิดจังหวะ
1.เสี่ยงต่อ Low Cardiac Output เป็นผลจากการบีบตัวของหัวใจ ไม่มีประสิทธิภาพ
การแก้ไขภาวะ low cardiac output
V = Volume ทำให้ผู้ป่วยมี volume เพียงพอ โดยให้ IV fluid/blood
H = Heart แก้ไขให้จังหวะการเต้นของหัวใจเป็นปกติที่สุด โดยการใช้ยากลุ่ม anti-arrhythmia เช่น Amiodarone หรือ ทำ cardioversion
R = Rate แก้ไขอัตราการเต้นของหัวใจ (60-120) โดยให้ยา digitalis, beta-blocker,
S = Stroke ช่วยทำให้หัวใจบีบเลือดออกดีขึ้น
4.1 ใช้ยาขยายหลอดเลือด เพื่อลด Systemic Vascular Resistance เช่น Nitroprusside, Nitroglycerine
4.2 ใช้ยากลุ่ม Inotropics เพื่อเพิ่มแรงบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ เช่น Dobutamine, Dopamine, Norepinephrine
2.เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นผลมาจากเลือดในหัวใจห้องบนจับตัวกันเป็นลิ่มเลือดนำไปสู่การเกิด Emboli
3.เสี่ยงต่อการเกิด Cardiac arrest
Coronary Artery Disease
โรคที่เกิดจากหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบหรือตัน
ส่วนใหญ่เกิดจากไขมันสะสมอยู่ในผนังของหลอดเลือด ทำให้เยื่อบุผนังหลอดเลือดชั้นในหนาตัวขึ้น
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้ เช่น อายุ เพศ ประวัติครอบครัว เชื้อชาติ
กลุ่มอายุที่ป่วยสูงสุด
อายุ> 70 ปี 50.31 %
อายุ 60-69 ปี 26.46 %
อายุ 50-59 ปี 15.89 %
อายุ40-49 ปี 5.61 %
อัตราส่วนผู้ป่วยเพศหญิงต่อเพศชาย 1 : 1.3
ปัจจัยเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนได้ เช่น ความดันโลหิตสูง Cholesterolสูง ไขมัน HDLต่ำ น้ำตาลในเลือดสูง ภาวะอ้วนและ การสูบบุหรี่
พฤติกรรมเสี่ยงที่สำคัญ
1.พฤติกรรมสูบบุหรี่: เคยสูบบุหรี่ 12.54% ไม่เคยสูบบุหรี่ 81.75 %
2.โรคประจำตัว: HT 73.79 % DM 37.77 % ไขมันในเลือดสูง 54.84 %
3.มีภาวะแทรกซ้อน เช่น CHF 31.12% Arrthytmia 21.27%
กลุ่มอาการโรคหลอดเลือดหัวใจ
1.กลุ่มอาการเจ็บหน้าอกคงที่ (Stable angina) ผู้ป่วยมีอาการเจ็บหน้าอกเป็นๆหายๆไม่รุนแรง ระยะเวลา 3-5 นาที หายโดยการพัก หรือ อมยาขยายเส้นเลือดหัวใจ
2.กลุ่มอาการหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (Acute coronary syndrome) ผู้ป่วยมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรงเฉียบพลัน หรือเจ็บขณะพัก (Rest angina) และเจ็บนานมากกว่า 20 นาที
3.อาการนำที่พบบ่อย คือ เจ็บเค้นอก ใจสั่น เหงื่อออก เหนื่อยขณะออกแรง เป็นลม หมดสติ หรือ เสียชีวิตเฉียบพลัน
กลุ่มอาการหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
(Acute coronary syndrome ; ACS)
Non ST elevation acute coronary syndrome
ถ้าอาการไม่รุนแรง อาจมีภาวะ Unstable angina
คลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็น ST depression และ/หรือ
T wave inversion
หากมีอาการนาน> 30 นาที จะเกิดกล้ามเนื้อหัวใจ
ตายเฉียบพลันชนิด NSTEMI, Non-Q MI
ST elevation acute coronary syndrome
เกิดการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน
พบ ST segment elevate อย่างน้อย 2 leads ต่อเนื่องกัน หรือเกิด LBBB ขึ้นมาใหม่
หากไม่ได้รับการเปิดเส้นเลือดอย่างรวดเร็ว จะทำให้เกิด Acute ST elevation myocardial infarction (STEMI or Acute transmural MI or Q-wave MI)
การวินิจฉัยโรค
การซักประวัติอาการเจ็บหน้าอก
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
การตรวจ cardiac markers ได้แก่ troponin, cardiac enzyme
การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (coronary angiography; CAG)
การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนของหัวใจ (echo cardiography)
แนวทางการรักษา
กลุ่ม NSTEMI และ unstable angina
ควรให้ยาต้านเกร็ดเลือด 2 ชนิด ร่วมกัน เช่น ให้aspirin ร่วมกับ clopidogrel
ให้ยาlow molecular weight heparin เช่น Enoxaprin เป็นเวลา 3-5 วัน ร่วมกับยากลุ่มnitrates, beta-blockers เพื่อบรรเทาอาการเจ็บหน้าอก
พิจารณาให้ยากลุ่ม narcotics หรือ analgesics ในรายจำเป็นตามข้อบ่งชี้
ติดตามอาการเปลี่ยนแปลง และคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นระยะ หากยังเจ็บหน้าอกมากหรือมี cardiogenic shock, หัวใจล้มเหลว, หัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง ควรพิจารณาขยายหลอดเลือดหัวใจ หรือส่งผู้ป่วยไปยังสถานพยาบาลที่มีความพร้อม
เป้าหมาย
เปิดหลอดเลือดที่ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายภายใน 6 ชั่วโมงหรืออย่างช้าไม่เกิน 12 ชั่วโมง หลังจากมี chest pain
กลุ่ม STEMI
ควรรักษาผู้ป่วยด้วยยาต้านเกล็ดเลือดทุกราย
พิจารณาเปิดเส้นเลือดหัวใจที่อุดตันอย่างเร่งด่วน ด้วยวิธีให้ยาละลายลิ่มเลือด (thrombolytic agent)ภายใน 30 นาที หรือ primaryPCI ภายในเวลา120 นาที
ยาละลายลิ่มเลือด มี 2 กลุ่ม คือกลุ่ม fibrin non-specific agents เช่น Streptokinase และ กลุ่ม fibrin specific agents เช่น Alteplase (tPA) ยากลุ่มหลังมีข้อดีกว่าคือ ไม่ทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านฤทธิ์ยา ไม่ทำให้BPลดต่ำลง
ข้อบ่งชี้การให้ยาละลายลิ่มเลือด คือผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรงเฉียบพลันชนิด ST-segment elevation เป็นภายในเวลา 12 ชั่วโมง
ควรพิจารณาให้การรักษาด้วยยา heparin และ ยาบรรเทา อาการเจ็บเค้นอกตามข้อบ่งชี้เป็นรายๆ
การใช้ยาละลายลิ่มเลือด (Streptokinase)
ข้อห้ามในการใช้ยาละลายลิ่มเลือด
มีประวัติ hemorrhagic stroke
มีประวัติ nonhemorrhagic stroke ใน 1 ปีที่ผ่านมา
ตรวจพบเลือดออกในอวัยวะภายใน เช่น ทางเดินอาหาร
ได้รับบาดเจ็บรุนแรง / เคยผ่าตัดใหญ่ภายในเวลา 4 สัปดาห์
สงสัยว่าอาจมีหลอดเลือดแดงใหญ่แทรกเซาะ
BP > 180/110 mmHg ที่ไม่สามารถควบคุมได้
มีภาวะเลือดออกง่ายผิดปกติหรือได้รับยากลุ่ม warfarin (INR > 2)
ได้รับการกู้ชีพ (CPR) นานเกิน 10 นาที
ตั้งครรภ์
ข้อควรระวัง
ห้ามให้ยา streptokinase ซ้ำ ในผู้ป่วยที่เคยได้รับยา streptokinase มาก่อน
ปัญหาทางการพยาบาลโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
เจ็บแน่นหน้าอก เนื่องจากปริมาณเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจลดลง
ปริมาตรเลือดที่หัวใจส่งออกต่อนาทีลดลง เนื่องจากการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ
อาจเกิดภาวะ Cardiogenic shock จากปริมาตรการไหลเวียนลดลง
มีโอกาสเกิดภาวะ แทรกซ้อนเนื่องจากได้รับยาละลายลิ่มเลือด
เกิดความวิตกกังวล ต่ออาการและการดำเนินของโรคซึ่งคุกคามต่อชีวิต
นางสาวกนกวรรณ จันทร์น้อย เลขที่1 รหัส 612501001 :<3:
:warning:
:warning:
:warning: