Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
5.4ความผิดปกติของการหายใจ - Coggle Diagram
5.4ความผิดปกติของการหายใจ
ความผิดปกติของการหายใจ
อาจรู้สึกการหายใจจะเป็นช่วงสั้นๆคล้ายหายใจติดขัด (Dyspnea) การเปลี่ยนแปลงในระบบนี้สัมพันธ์กับความต้องการออกซิเจนที่เพิ่มสูงขึ้นของทั้งหญิงตั้งครรภ์และทารก ซึ่งเป็นผลจากโปรเจสเตอโรนเป็นหลักการเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาค
การเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาคของระบบทางเดินหายใจ
ช่วงที่มีการตั้งครรภ์กระบังลมจะถูกมดลูกดันให้เลื่อนสูงขึ้นประมาณ 4 ซม. ทำให้ทรวงอกมีการขยาย
ทางด้านกล้างเส้นผ่านศูนย์กลางทรวงอกเพิ่ม 2 ซม. และ เส้นรอบวงเพิ่ม 6 ซม.
เมื่ออายุครรภ์ 24 สัปดาห์ การหายใจจะเปลี่ยนจากการใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องเป็นกล้ามเนื้อช่องอกทำให้รู้สึกหายใจลำบากมีการเพิ่มขึ้นของปริมาณออกซิเจนที่ร่างกายต้องใช้ ร้อยละ 20โดยเพิ่มไปที่มดลูกและทารกในครรภ์คิดเป็นร้อยละ 50 หัวใจและไตร้อยละ 30 กล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจ
ร้อยละ 18 และที่เหลือไปยังเนื้อเยื่อเต้านม
หอบหืดในหญิงตั้งครรภ์
อาการและอาการแสดง
เกิดในช่วง 24 -36 สัปดาห์ และ 10% จะเกิดในช่วงระหว่างการเจ็บครรภ์คลอดโดยส่วนใหญ่หญิงตั้งครรภ์จะมีอาการไอเรื้อรัง (มากกว่า 8 สัปดาห์) หายใจลำบากหรือแน่นหน้าอก
หายใจมีเสียง wheezing การหายใจออกลำบากกว่าการหายใจเข้าใช้กล้ามเนื้อที่คอและไหล่ในการช่วยหายใจ
หายใจเร็วมากกว่า 35 ครั้ง/นาที ชีพจรเร็วมากกว่า 120 ครั้ง/นาที เหงื่อออกมาก
การวินิจฉัย
1.จากการซักประวัติอาการและอาการแสดง และสิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการ เช่นมีอาการไอเรื้อรังโดยเฉพาะไอหลังเป็นไข้หวัด ประวัติโรคภูมิแพ้ ประวัติการเจ็บป่วยของสมาชิกในครอบครัวที่เป็นโรคหอบหืด
2.การตรวจร่างกาย จะได้ยินเสียง wheezing หรือ rhonchi ที่ปอดทั้ง2ข้าง ตรวจครรภ์อาจพบความสูงของยอดมดลูกไม่สัมพันธ์กับอายุครรภ์
3.ตรวจเสมหะย้อมเชื้อ ตรวจเอกซ์เรย์ทรวงอก
ผลของโรคต่อการตั้งครรภ์
ด้านมารดา เช่น ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (preeclampsia) ตกเลือด มารดาเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากการจับหืด (asthmatic attack)
ด้านทารก เช่น คลอดก่อนกำหนด คลอดน้ำหนักตัวน้อย (low birth weight) ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ ตายปริกำเนิดทารกพิการแต่กำเนิด พร่องออกซิเจน มีโอกาสเป็นโรคหอบหืดได้รอยละ 50
ผลของการตั้งครรภ์ต่อโรค
ช่วงท้ายของการตั้งครรภ์จะพบว่ามีปริมาตรของอากาศที่เหลือค้างในปอดจากการหายใจออกตามปกติทำให้เนื้อที่ในปอดบางส่วนไม่สามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้สมบูรณ์ ซึงจะทำให้อาการของโรคหอบหืดเป็นมากขึ้น
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
-ในการมารับบริการตรวจครรภของสตรีมีครรภ์ทุกครั้ง ให้ประเมินสภาวะความแข็งแรงของหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
-ตรวจวัดความดันโลหิต และตรวจโปรตีนในปัสสาวะ ตลอดจนอาการบวม
-หลีกเลี่ยงสารที่แพ้ที่ทำให้มีอาการหอบหืด อย่าอยู่ในที่ที่มีอากาศร้อนหรือเย็นเกินไป
-รับประทานยาหรือพนยาตามแผนการรักษา
-รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง ดื่มน้ำมากๆพักผ่อนให้เพียงพอ
-ติดตามการนับและบันทึกลูกดิ้น
ระยะคลอด
-จัดท่านอนศีรษะสูงหรือนอนฟุบบนโต๊ะคร่อมเตียง และให้ออกซิเจนทันทีเมื่อมีอาการหอบ
-ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา และในขณะให้ยาต้องสังเกตอาการ เช่น BPลดลงอยางรวดเร็ว ปวดศีรษะ ใจสั่น ให้หยุดยาและรีบรายแพทย์ทันที
-ประเมินลักษณะการหายใจ ชีพจร สีเล็บ เยื่อบุตาและผิวหนังวามีสีเขียวหรือไม่ แสดงถึงภาวะการขาดออกซิเจนในสวนปลาย
ระยะหลังคลอด
-ดูแลให้มารดาหลังคลอดได้รับยารักษาโรคหอบหืดอย่างต่อเนื่อง และใช้ยาได้อย่างปลอดภัยในขณะที่ให้นมบุตร
-ดูแลมารดาหลังคลอดเหมือนมารดาหลังคลอดปกติทั่วไป เน้นการป้องกันการตกเลือดหลังคลอด
-ส่งเสริมการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา ในน้ำนมมารดามี IgA สูง จะชวยลดโอกาสเสี่ยงตอการเกิดโรคภูมิแพ้
ที่เกิดจากมารดาเป็นโรคหอบหืดได้ร้อยละ 10
วัณโรคปอดในหญิงตั้งครรภ์
แบ่งประเภทของการติดเชื้อวัณโรค
ผู้ที่น่าจะเป็นวัณโรค (presumptive TB) หมายถึง ผู้ที่มีอาการหรืออาการแสดงเข้าได้กับวัณโรค เช่น
ไอทุกวันเกิน 2 สัปดาห์ ไอเป็นเลือด น้ำหนักลดผิดปกติ มีไข้ เหงื่อออกมากผิดปกติตอนกลางคืน เป็นต้น
ผู้ติดเชื้อวัณโรคระยะแฝง (latent TB infection) หมายถึง ผู้ที่ได้รับเชื้อและติดเชื้อวัณโรคแฝงอยู่ใน
ร่างกาย แต่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันสามารถต่อสู้กับเชื้อ สามารถยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อวัณโรคได้ ไม่มีอาการผิดปกติ
ผู้ป่วยวัณโรค หรือวัณโรคระยะแสดงอาการ (TB disease หรือ Active TB) หมายถึง ผู้ที่ได้รับเชื้อและ
ติดเชื้อวัณโรคแฝงอยู่ในร่างกาย แต่ภูมิคุ้มกันไม่สามารถยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อวัณโรคได้ ผู้ป่วยจะสามารถแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ผ่านระบบทางเดินหายใจจากการพูด คุย หรือจาม ของเหลวในร่างกายหรือเนื้อเยื่อในตำแหน่งที่เป็นโรค
อาการและอาการแสดง
อาการไอ ซึ่งในระยะแรกจะไอแห้งๆต่อมาจึงมีเสมหะลักษณะเป็นมูกปนหนองจะไอมากขึ้นเวลาเข้านอน
หรือตื่นนอนตอนเช้า อาการไอมักจะเรื้อรังนากว่า 3 สัปดาห์ มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำนักตัวค่อยๆลดลง
ซีด ครั่นเนื้อครั่นตัวมีไข้ตอนบ่าย เหงื่อออกตอนกลางคืนอาจมีอาการแน่นหน้าอกโดยไม่มีอาการไอ
การวินิจฉัย
1.ซักประวัติอาการและอาการแสดง
การตรวจ Tuberculin skin test เป็นการตรวจเพื่อการวินิจฉัยโดยการฉีดสารสกัดโปรตีนที่ได้จาก
วัณโรค เรียกว่า purified protein derivative (PPD) ฉีดเข้าใต้ชั้นผิวหนังหลังจากนั้น 48-72 ชั่วโมง จึงอ่านผลลักษณะ ผิวหนังนูนคล้ายลมพิษ บวมแดงหรือเป็นตุ่มเล็กๆ ซึ่งวิธีนี้ไม่แนะนำให้ใช้ตรวจในหญิงตั้งครรภ์และหญิงที่ให้นมบุตร
3.ตรวจเอกซ์เรย์ปอด
4.การส่งตรวจเสมหะ
-การตรวจย้อมหาเชื้อวัณโรค (acid fast bacilli staining)
-การเพาะเชื้อ (culture for mycobacterium tuberculosis)
-การตรวจหาสารพันธุกรรมที่เชื้อวัณโรค (PCR หรือ polymerase chain reaction)
ผลของโรคต่อการตั้งครรภ์
ผลของโรคต่อมารดา เช่น แท้งเอง การคลอดก่อนกำหนด ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ
ผลของโรคต่อทารก เช่น การเสียชีวิตในครรภ์ การคลอดก่อนกำหนด ทารกน้ำหนักตัวน้อย ภาวะพร่อง
ออกซิเจนแต่กำเนิด ทารกติดเชื้อวัณโรคแต่กำเนิด
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
-แนะนำรับประทานยาตามแผนการรักษาของแพทย์องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ใช้ยาสูตร2HRZE/4HR กับผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ทุกราย
-แนะนำรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เน้นปลา นม ไข่ เพิ่มอาหารที่มีธาตุเหล็กและวิตามินสูง
-งดเว้นสิ่งเสพติด เช่น เหล้า บุหรี่ จะส่งผลให้อาการของโรคทรุดลง
-จัดสิ่งแวดล้อมในบ้านให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก เปิดหน้าต่างให้มีแสงสว่างเข้าถึง
-สวมผ้าปิดปากป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ไม่ไอจาม รดผู้อื่น
-ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า
-แนะนำมาฝากครรภ์ตามนัดเพื่อประเมินการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์และประเมินภาวะสุขภาพทารกในครรภ
ระยะคลอด
-ดูแลให้อยู่ในห้องแยกให้ผู้คลอดพักผ่อนให้เพียงพอหลีกเลี่ยงร่างกายอ่อนเพลีย
-ดูแลให้ได้รับสารน้ำและยาตามแผนการรักษาของแพทย์
ประเมินสุขภาพทารกในครรภ์และความก้าวหน้าของการคลอด
ระยะหลังคลอด
-หลังคลอดแยกทารกออกจากมารดาจนกระทั้งการเพาะเชื้อจากเสมหะของมารดาได้ผลลบ
-กรณีที่ไม่สามารถแยกทารกจากมารดาได้แนะนำให้มารดาไม่ไอ จามหรือหายใจรดทารก ควรสวมผ้าปิดปากปิดจมูกป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
-ทารกแรกเกิดควรได้รับการตรวจ Tuberculin skin test เมื่อแรกเกิด พร้อมกับให้ยา INHและ rifampicin ทันทีหลังคลอด
-ทารกได้รับการฉีด BCG เพื่อป้องกันวัณโรคชนิดแพร่กระจายหลังคลอด
โรคติดเชื้อโคโรน่า (Covid-19)
เนื่องจากเชื้อเป็นไวรัสชนิดใหม่ยังไม่มีข้อมูลว่าหญิงตั้งครรภ์มีโอกาสติดเชื้อ COVID-19 มากกว่าคนทั่วไปหรือไม่ เพศหญิงมีโอกาสเป็นโรคเท่าๆกับเพศชาย
การดูแลหญิงตั้งครรภ์ หญิงหลังคลอด กลุ่มปกติ
หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดผู้ที่มีอาการไอ เป็นไข้ หรือผู้ที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง และในสถานที่ที่มีผู้คนแออัดหรือรวมกลุ่มกันจำนวนมาก
รักษาระยะห่าง ในการอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นด้วยการอยู่ห่างกันอย่างน้อย 1-2 เมตร
หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสบริเวณดวงตา ปาก และจมูก
รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่เสมอ หรือปรุงอาหารให้สุกร้อนทั่วถึง
แยกภาชนะรับประทานอาหารและงดใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาดนานอย่างน้อย 20 วินาที ทุกครั้งที่มีการไอจาม สัมผัสสิ่งแปลกปลอม ก่อน รับประทานอาหาร หรือออกจากห้องน้ำ หากไม่มีสบู่ ให้ใช้ 7๐% alcohol gel
ในขณะไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย ถ้ามีอาการไอ จาม ให้ใช้ต้นแขนด้านบนปิดปากทุกครั้ง
มารดาทุกคนที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหรือมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หากมีอาการป่วย เล็กน้อยควรพักผ่อน อยู่ที่บ้าน ถ้ามีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ หายใจเหนื่อย ควรรีบไปพบแพทย
หญิงตั้งครรภ์สามารถฝากครรภ์ได้ตามนัด
การดูแลหญิงตั้งครรภ์ หญิงหลังคลอด ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง
แยกตนเองออกจากครอบครัวและสังเกตอาการจนครบ 14 วัน งดการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น
งดการออกไปในที่ชุมชนสาธารณะโดยไม่จําเป็น และงดการพูดคุย หรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่นในระยะใกล้
กว่า 2 เมตร
กรณีครบกำหนดนัดฝากครรภ์ ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ทราบว่าตนเองอยู่ระหว่างการเฝ้าระวัง 14 วันเพื่อ พิจารณาเลื่อนการฝากครรภ์ และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าท
กรณีเจ็บครรภ์คลอดต้องไปโรงพยาบาลทันที และแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ทราบว่าตนเองตนเองอยู่ระหว่าง
การเฝ้า ระวัง 14 วัน
การดูแลทารกแรกเกิด ในกรณีมารดาเป็นผู้ที่สงสัยติดเชื้อหรือติดเชื้อ COVID 19
บุคลากรทางแพทย์ควรอธิบายถึงความเสี่ยง ความจำเป็นและประโยชน์ของการแยกมารดา-ลูก และ
การเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาให้มารดาเข้าใจและเป็นผู้ตัดสินใจเอง
แนวทางการปฏิบัติในการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา เมื่อคำนึงถึงประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา
และยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการในการแพร่เชื้อไวรัส ผ่านทางน้ำนม ดังนั้นทารกจึงสามารถกินนมมารดาได้
ทารกที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อ COVID-19 จัดเป็นผู้มีความเสี่ยง จะต้องมีการแยกตัวออกจากทารก
อื่น และต้องสังเกตอาการเป็นเวลา 14 วัน
ยังไม่มีหลักฐานการติดต่อผ่านทางรกหรือผ่านทางน้ำนม
ข้อแนะนำการปฏิบัติสำหรับมารดา
กรณีมารดาที่ติดเชื้อ COVID-19 มีอาการรุนแรง หากยังสามารถบีบน้ำนมได้ ให้ใช้วิธีบีบน้ำนมและให้ ผู้ช่วยเป็นผู้ป้อนนมแก่ลูก หากไม่สามารถบีบน้ำนมเองได้ อาจพิจารณาใช้นมผงแทนข้อปฏิบัติในกรณีให้ทารกกินนมจากเต้า
กรณีมารดาเป็นผู้ที่สงสัยว่าจะติดเชื้อ หรือมารดาที่ติดเชื้อ COVID-19 แต่อาการไม่มาก
สามารถกอดลูกและให้นมจากเต้าได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมารดาและครอบครัว
ต้องปฏิบัติตามแนวทางป้องกันการติดเชื้ออย่างเคร่งครัด
ข้อปฏิบัติในการบีบน้ำนมและการป้อนนม
ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและ สบู่ นานอย่างน้อย 20 วินาที หรือแอลกอฮอล์เข้มข้น 70%ขึ้นไป
สวมหน้ากากอนามัย ตลอดการทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับการเตรียมนม การบีบน้ำนม และการให้นม
อาบน้ำหรือเช็ดทำความสะอาดบริเวณเต้านมและหัวนมด้วยน้ำและสบ
งดการสัมผัสบริเวณใบหน้าของตนเองและทารก เช่น การหอมแก้มทารก
หาผู้ช่วยเหลือหรือญาติที่มีสุขภาพแข็งแรงที่ทราบวิธีการป้อนนมที่ถูกต้องและต้องปฏิบัติ
ตามวิธีการ ป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด โดยวิธีการนำน้ำนมมารดามาป้อนด้วยการใช้ช้อน หรือถ้วยเล็ก
ล้างทำความสะอาดอุปกรณ์เช่น ที่ปั๊มนม ขวดนม ด้วยน้ำยาล้างอุปกรณ์ และทำการนึ่งเพื่อฆ่าเชื้อหลังเสร็จสิ้นกิจกรรม