Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้, ที่มา, นายสุมิตร รองเพชร 6201108001023 …
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
ความหมาย
ศิริชัย กาญจนวาสีและคณะ (2551)การวิจัยเป็นวิถีชีวิตของมนุษย์ มนุษย์ใช้การวิจัยสําหรับแสวงหา ความรู้มาเป็นเวลานาน การวิจัยเป็นกิจกรรมที่ปฏิบัติอยู่ตลอดเวลาในชีวิตประจําวัน สําหรับการเรียนรู้และ แก้ไขปัญหา การวิจัยใช้ทําความเข้าใจปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่างๆ ตลอดจนใช้เป็นเครื่องมือสําคัญ สําหรับการสร้างและพัฒนาองค์ความรู้ของศาสตร์แขนงต่างๆ การวิจัยจึงอยู่ในฐานะของกระบวนการ สร้างสรรค์แสวงหา/พัฒนาองค์ความรู้หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ อย่างเป็นแบบแผนและเป็นระบบ
สุพักตร์ พิบูลย์ ( 2546)การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ หรือการวิจัยในชั้นเรียน ถือเป็นทางเลือก สําคัญในการยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนการสอนของครู หากครูผู้สอนสามารถวิจัย ตรวจสอบคุณภาพ ของสื่อ ชุดการสอน หรือกิจกรรมการเรียนการสอนได้ด้วยตนเอง ครูก็จะสามารถชี้นําตนเอง (SelfDirecting) สามารถพัฒนากระบวนการจัดการเรียนการสอนของตนเองได้อย่างต่อเนื่อง
บุญชม ศรีสะอาด (2543) การวิจัยเป็นกิจกรรมที่มีความสําคัญมากต่อมวลมนุษย์ ผลจากการวิจัยทํา ให้เกิดความรู้ความกระจ่างในปรากฏการณ์ต่างๆ วิทยาการทุกสาขาเจริญก้าวหน้า พรมแดนความรู้ขยายยอ อกไปอย่างไม่หยุดยั้ง ช่วยให้มนุษย์แก้ปัญหาต่างๆ ที่ประสบ ตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นซึ่งเป็น ธรรมชาติของมนุษย์โดยทั่วไป ผลการวิจัยทําให้เราสามารถสั่งสมความรู้ทั้งรอบตัวและภายในตัวมนุษย์ มี ผลงานสร้างสรรค์และสิ่งประดิษฐ์ที่มีคุณค่ามากมาย การวิจัยเป็นกิจกรรมที่ช่วยผู้วิจัยให้มีคุณลักษณะที่ดี มี ศักยภาพในการสร้างองค์ความรู้ มนุษย์มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ความสำคัญ
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 หมวด 4 แนวทางการจัดการศึกษา มาตรา 22 “การ จัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมี ความสําคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตาม ศักยภาพ”
หน่วยศึกษานิเทศ. ชุดฝึกอบรมด้วยตนเอง เรื่องการวิจัยในชั้นเรียน, ม.ป.ป. ได้กล่าวถึงคุณค่าและ ความสําคัญของการทําวิจัยในชั้นเรียนว่า การที่ครูสามารถทําวิจัยในชั้นเรียนได้ เป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี กับวงการการศึกษาเพราะคุณค่าหรือผลงานจากการคิดค้นนวัตกรรมการศึกษาขึ้นมาใช้ได้ผลนั้นจะก่อ ประโยชน์ต่อบุคลากรและหน่วยงานทางการศึกษา ดังนี้
ความสำคัญต่อนักเรียน
นักเรียนในชั้นเรียนมีความรู้ความสามารถพื้นฐานแตกต่างกัน บางคนเรียนรู้ได้เร็วก็ไม่สร้าง กับครูผู้สอน แต่นักเรียนที่เรียนช้าและครูยังใช้การสอนรูปแบบเดียวกันแล้วนักเรียนกลุ่มนี้จะเรียนตาม ทัน และอาจสร้างปัญหากับครู กับโรงเรียน และสังคมส่วนรวม การที่ครูไม่วางเฉยแต่ได้ใช้ความพยาย วิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาอย่างมีหลักการแล้วคิดหาทางแก้ปัญหาจนสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรร นักเรียนให้ดีขึ้น นักเรียนเกิดการใฝ่รู้ ใฝ่เรียน จนในที่สุดมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู่ในระดับเป็นที่น่า พอใจ และไม่มีปัญหาการเรียนอีกต่อไป
ความสำคัญต่อครู
ครูมีการวางแผนการทํางานอย่างเป็นระบบ คือการวางแผนทํางานประจํา ได้แก่วางแผนการสอน เลือกวิธีสอนที่เหมาะสม ประเมินการทํางานเป็นระยะโดยมีเป้าหมายชัดเจน จะทําอะไรกับใคร เมื่อไร ด้วย เหตุผลอะไร และทําให้ทราบผลการกระทําว่าบรรลุเป้าหมายเพียงใดได้อย่างไร โดยการทําวิจัยในชั้นเรียน ช่วยให้ครูได้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เพื่อหาทางแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสมในการคิดแก้ปัญหา บางครั้งนวัตกรรมชิ้นแรกอาจมีข้อบกพร่อง แต่เมื่อได้มีการปรับปรุงอยู่เสมอ ก็สามารถพัฒนาเป็นชิ้นงานที่ มีประโยชน์เป็นที่ยอมรับได้
ความสำคัญต่อโีรงเรียน ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มครูมากขึ้นทั้งในรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลภายในหมวดวิชา และระหว่างหมวดวิชา ตั้งแต่การร่วมกันคิดแก้ปัญหา การวิเคราะห์หาสาเหตุ การเขียนรายงาน เพราะครูใน
โรงเรียนมีความถนัด หรือชํานาญต่างๆกัน ถ้าได้ระดมสรรพกําลังจากความถนัดของแต่ละคนแล้วก็จะทําให้ งานวิจัยมีคุณภาพยิ่งขึ้น เช่น ครูคณิตศาสตร์มีความถนัดในการคํานวณ การนําเสนอข้อมูล การวิเคราะห์ ข้อมูล ครูบบรรณารักษ์ช่วยดูแลการเขียนบบณานุกรม ครูภาษาไทยช่วยตรวจสอบการสะกดคํา ครู ภาษาอังกฤษช่วยด้านการอ่าเอกสารตํารา/งานวิจัยจากต่างประเทศ เป็นต้น การที่ครูต้องศึกษาค้นคว้า เนื้อหาวิชาที่ตนรับผิดชอบและปฏิบัติหน้าที่อยู่ให้มากขึ้น จะช่วยให้การบริหารงานวิชาการในโรงเรียน เป็นไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ สามารถกําหนดสาเหตุ และชี้ประเด็นปัญหาได้ชัดเจน เพื่อการ แก้ไขปัญหาได้ตรงจุด ยกระดับมาตรฐานวิชาการ โรงเรียนให้สูงขึ้น เช่น นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์สูงขึ้น ไม่มี ปัญหาในการเรียน
ความสัมพันธ์หรือความเชื่อมโยงกันของการวิจัยทางการศึกษา
วิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้จึงเป็นกระบวนการวิจัยที่มุ่งพัฒนาหรือแก้ปัญหาการจัดการเรียน การสอนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดในชั้นเรียนและขณะที่สอน นําผลที่ค้นพบมาปรับปรุง การจัดการเรียนรู้ และพัฒนาสถานศึกษาไปสู่คุณภาพการศึกษาที่แท้จริงและยั่งยืน ดังนั้นการวิจัยเพื่อ พัฒนาการเรียนรู้ในส่วนของครูผู้สอนส่วนมากได้ยินคําว่า “การวิจัยในชั้นเรียน” (Classroom Action Research) เป็นการวิจัยที่ทําในบริบทของชั้นเรียนและมุ่งนําผลการวิจัยมาใช้ในการพัฒนาการเรียนการ สอนของตน เป็นการนํากระบวนการวิจัยไปใช้ในการพัฒนาครู ให้ไปสู่ความเป็นเลิศและมีความอิสระทาง วิชาการ การวิจัยในชั้นเรียนจึงเป็นการวิจัยลักษณะเชิงปฏิบัติ (Action Research) และควรใช้รูปแบบ การวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) ซึ่งเป็นการวิจัยที่มุ่งนําความรู้ทางวิชาการ หรือจากการสร้างทฤษฎีหรือแนวคิดใหม่ๆ ไปพัฒนาเป็นเทคนิคหรือวิธีการที่สามารถนําไปแก้ปัญหา และ ทดลองใช้จนได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แล้วจึงนําไปเผยแพร่ใช้ในวงกว้างเพื่อการพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพ ยิ่งขึ้น
การวิจัยในชั้นเรียน
สําหรับการวิจัยในชั้นเรียนมีขั้นตอนการดําเนินงานเช่นเดียวกันกับการวิจัยทั่วไป แต่ต่างกันที่การวิจัย ในชั้นเรียนมีเป้าหมายเพื่อการแก้ปัญหาและพัฒนาการเรียนการสอนให้เกิดประโยชน์สูงสุด มิใช่การมุ่งสร้าง องค์ความรู้เพื่อพัฒนาหรือขยายองค์ความรู้ในศาสตร์ของตนเอง (ซึ่งหากครูสามารถทําได้ถึงขั้นนี้นับว่าเป็น ประโยชน์สูงสุดต่อการจัดการศึกษา) ดังนั้นการวิจัยในชั้นเรียนจึงเป็นการทําวิจัยไปพร้อมๆ กับการจัดการ เรียนการสอนไม่แยกส่วนออกจากกัน นอกจากนั้นการวิจัยในชั้นเรียนไม่มีรูปแบบการดําเนินงานหรือรูปแบบ การเขียนรายงานวิจัยที่เป็นทางการมากนัก อาจจะทําเป็นวิจัยง่ายๆ 4-5 หน้า หรือจะทําเป็นงานวิจัย 5 บท ก็ ได้เช่นกัน
ลักษณะของการวิจัย
การวิจัยเป็นงานที่มีเหตุผลและมีเป้าหมาย
การวิจัยจะต้องมีเครื่องมือหรือเทคนิคในการเก็บรวบรวมข้อมูล ที่มีความเที่ยงตรง และเชื่อถือได้
การวิจัยเป็นการค้นคว้าที่ต้องอาศัยความรู้ ความชำนาญ และความมีระบบ
การวิจัยจะต้องมีการรวบรวมข้อมูลใหม่และ ความรู้ใหม่
การวิจัยเป็นการศึกษาค้นคว้าที่มุ่งหาข้อเท็จจริง
การวิจัยต้องอาศัยความเพียรพยายาม ความซื่อสัตย์ กล้าหาญ
การวิจัยจะต้องมีการบันทึกและเขียนการรายงาน การวิจัย อย่างระมัดระวัง
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
เพื่อใช้ในการอธิบาย ผลที่ได้จากการวิจัยจะสามารถบอกเหตุผลของสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ว่ามีสาเหตุมาจากสิ่งใดหรือได้รับอิทธิพลจาก ตัวแปรใดหรือปัจจัยใด รวมทั้ง ปัจจัยใดมีอิทธิพลมากน้อยกว่ากัน ซึ่งผู้วิจัยอาจทดลองใส่ปัจจัยลงไป ในสิ่งที่ศึกษาแล้วสังเกตการเปลี่ยนแปลงหรือปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น แล้วจะช่วยอธิบายได้ว่า การเปลี่ยนแปลงหรือปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเพราะสาเหตุใดหรือได้รับอิทธิพลจากสิ่งใด
เพื่อใช้ในการทำนาย ในบางครั้ง เราจำเป็นที่จะต้องทราบอนาคตของสิ่งที่ศึกษา ว่าเป็นเช่นไร อันจะช่วยให้มนุษย์สามารถที่เตรียมการ ปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคตได้ ซึ่งการวิจัยนี้อาจจะอาศัยข้อมูลที่เกิดขึ้น มาแล้วในอดีตจนถึงปัจจุบันแล้วทำการวิเคราะห์แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งอาจจะอาศัยวิธีการทางสถิติ หรืออาศัยประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ คน เป็นต้น
เพื่อใช้ในการบรรยาย ผลที่ได้จากการวิจัยสามารถที่จำบรรยายลักษณะของสิ่งที่ทำการศึกษาวิจัย นั้น ว่าเป็นเช่นไร อยู่ที่ใด มีกี่ประเภท มากน้อยเพียงใด มีสภาพเป็นอย่างไร มีพัฒนการหรือเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร หรือ มีปัญหาอะไร มีความพึงพอใจมากน้อยเพียงใด เป็นต้น
เพื่อใช้ในการควบคุม ในการดำเนินกิจกรรม อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งต้องการประสิทธิภาพและคุณภาพของงาน จำเป็นที่จะต้องเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลง และมีการปรับปรุงการดำเนินกิจกรรมนั้น ๆ อยู่เสมอ ซึ่งเพื่อ ให้สามารถได้ข้อมูลที่ถูกต้องทันเหตุการณ์และเพียงพอต่อการตัดสินใจ แก้ปัญหาและปรับปรุงงานนั้น ๆ จำเป็นจะต้องอาศัยกระบวนการวิจัยที่รอบรอบรัดกุมยิ่งขึ้น
เพื่อใช้ในการพัฒนา ในการวิจัยจะช่วยให้ทราบสภาพความเป็นอยู่ หรือสภาพการดำเนินการใด ๆ ว่ามีประสิทธิภาพ หรือมีปัญหา หรือความต้องการเพียงใด และสามารถทดลองแก้ปัญหาหรือปรับปรุงสภาพการดำเนินงานใด ๆ อยู่เสมอ ก็จะทำให้สภาพความเป็นอยู่ หรือสภาพดำเนินการใด ๆ ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพและส่งผลต่อคุณภาพของงานนั้น อันจะส่งผลต่อความสงบสุขของมนุษย์นั่นเอง
จรรยาบรรณของนักวิจัย
การทำการวิจัยจะต้องมีการรักษาผลประโยชน์แก่กลุ่มตัวอย่าง โดยเฉพาะการวิจัยที่ต้องใช้กลุ่มตัวอย่างในการทดลองที่ต้องเสี่ยงต่ออันตรายต่อร่างกายแล้ว ไม่ควรกระทำ ควรจะใช้สัตว์อื่นแทนมนุษย์ เช่น หนูในการทดลองยา เป็นต้น
การทำการวิจัยที่ต้องอาศัยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อมาทำการวิเคราะห์ ซึ่งบางครั้งเป็นข้อมูลที่ต้องการปกปิด หรือเป็นข้อมูลด้านลบของบุคคล ดังนั้น ผู้วิจัยจะต้องระมัดระวังไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล นอกจากจะเป็นผลการวิเคราะห์ในภาพรวมของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด
การทำการวิจัยที่ต้องใช้กลุ่มตัวอย่างเพื่อทำการศึกษาวิจัย กลุ่มตัวอย่างเหล่านั้นจะต้องรับรู้และยินยอมที่จะเป็นกลุ่มตัวอย่าง และมั่นใจว่าตนเองจะไม่ได้รับความเสียหายหรืออันตรายใด ๆ
การทำการวิจัยจะต้องมีความระมัดระวัง เพื่อให้กลุ่มตัวอย่างมีความปลอดภัยจากอันตรายต่าง ๆ ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจของบุคคลอื่นซึ่งการวิจัยจะครอบคลุมไปถึง
ผู้ทำวิจัยจะต้องมีความซื่อสัตย์และเป็นกลางในเรื่องที่ตนทำวิจัย ไม่ดำเนินการโดยความลำเอียง ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนของการเลือกกลุ่มตัวอย่าง การเก็บข้อมูลการวิจัยหรือตีความผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยจะต้องมีความรับผิดชอบในงานวิจัยของตน ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับกลุ่มตัวอย่าง หรือผลการวิจัยที่ปรากฏผลออกมาจะต้องเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ไม่เป็นการทำขึ้นเพื่อทำลายความสงบสุขของคนในสังคม หรือทำลายบุคคลหรือกลุ่มบุคคลหนึ่งบุคคลใด
ที่มา
http://muslimeensongkhla.com/
สืบค้นเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พศ.2563
https://edu.sru.ac.th/edu3/a4/a4.pdf
สืบค้นเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พศ.2563
www.kruchiangrai.net สืบค้นเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พศ.2563
kruamm.files.wordpress.com สืบค้นเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พศ.2563
bu.rmutk.ac.th สืบค้นเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พศ.2563
panchalee.wordpress.com สืบค้นเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พศ.2563
นายสุมิตร รองเพชร
6201108001023
คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา