Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
5.6 โรคติดเชื้อร่วมกับการตั้งครรภ์, นางสาวศุภลักษณ์ สุทธิวงษ์ เลขที่96 -…
5.6 โรคติดเชื้อร่วมกับการตั้งครรภ์
หูดหงอนไก่ (Condyloma accuminata and pregnancy)
การวินิจฉัย
การซักประวัติ ปัจจัยเสี่ยง ประวัติการสัมผัสผู้ติดเชื้อ อาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ
การตรวจร่างกาย สังเกตเห็นรอยโรค ซึ่งเป็นติ่งเนื้อบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกรอบทวารหนัก ปากช่องคลอด ซึ่งสามารถช่วยประเมินสภาพได้ค่อนข้างแน่ชัด
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยทำ pap smear พบการเปลี่ยนแปลงที่เซลล์เป็น koilocytosis (halo cell)
อาการและอาการแสดง
จะสามารถมองเห็นหูดขึ้นรอบ ๆ ทวารหนักและในทวารหนัก ลักษณะเป็นก้อนสีชมพู นุ่ม ผิวขรุขระ มีสะเก็ด มีขนาดที่แตกต่างกัน มักรวมกันเป็นก้อนใหญ่คล้ายดอกกระหล่ำ ตกขาวมีกลิ่นเหม็นและคัน ซึ่งในการตั้งครรภ์จะพบมีการเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว เนื่องจากบริเวณนี้ มีเลือดมาเลี้ยงมาก จึงทำให้เชื้อเจริญเร็วมาก
การรักษา
การรักษาด้วยสารเคมี เช่น จี้ด้วย trichloroacetic acid 80-90% สัปดาห์ละครั้ง ในหญิงตั้งครรภ์ห้ามใช้ podophyllin หรือ podofilox เนื่องจากมีรายงานการเกิด early fetal death in utero ได้ ส่วน imiquimod ก็ไม่แนะนำให้ใช้ในหญิงตั้งครรภ์
การจี้ไฟฟ้า แสงเลเซอร์พบว่าได้ผลดี และสามารถให้คลอดทางช่องคลอดได้ แต่พบ ภาวะแทรกซ้อนคือ แผลฝีเย็บแยกและเกิด fistula ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการที่เชื้อ HPV ทำให้การหายของแผลไม่ดี
การคลอดสามารถให้คลอดทางช่องคลอดได้ ยกเว้นหูดมีขนาดใหญ่ซึ่งทำให้ขัดขวาง
การติดเชื้อไวรัสซิกกา
(Zika fever)
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะศีรษะเล็กแต่กำเนิดของทารกในครรภ์ (Bureau of Emerging Infectious Diseases, 2017) โดยทารกที่มีศีรษะเล็ก คือทารกที่คลอดมาไม่เกิน 1 เดือน ภาวะศีรษะเล็กแต่กำเนิดอาจ เป็นเดี่ยว ๆ หรืออาจจะมีความเกี่ยวข้องกับอาการอื่น ๆ เช่น อาการชัก พัฒนาการล่าช้า ความผิดปกติในการ ดูดหรือการกลืน อาการเหล่านี้มีความแตกต่างกันของความรุนแรง และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต วิธีที่เชื่อถือได้ มากที่สุดเพื่อประเมินว่า ทารกมีภาวะศีรษะเล็กแต่กำเนิด คือ การวัดรอบศีรษะในทารกแรกเกิด 2 ครั้ง ครั้ง แรกเมื่อแรกเกิด และครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 24 ชั่วโมง
การตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ
1.การซักประวัติ อาการ การเดินทาง ลักษณะที่อยู่อาศัย
2.การทดสอบทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจหาแอนติบอดี IgM และ IgG ต่อไวรัสซิกา สำหรับการตรวจหา IgM สามารถตรวจพบได้ภายใน 3 วันนับแต่แสดงอาการ การตรวจหาภูมิคุ้มกัน (IgM) ด้วยวิธี ELISA หรือ Immunofluorescence
วิธีการตรวจดีเอ็นเอสามารถตรวจได้จากน้ำเหลือง
การตรวจหาพันธุกรรมของเชื้อด้วยวิธี Reverse Transcriptase Polymerase Chain Reaction
สำหรับการวินิจฉัยการติดเชื้อของทารกในครรภ์ สามารถตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยใช้สิ่งส่งตรวจ เช่น
น้ำคร่ำ
เลือดจากสะดือหรือรก
การรักษา
ยังไม่ยารักษาโรคไข้ซิกาโดยตรง การรักษาคือการให้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ดื่มน้ำในปริมาณ 2,000-3,000 ลิตรต่อวัน นอกจากการรักษาประคองไปตามอาการ เช่น การให้ยาพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาอาการปวด ลดไข้ แต่ห้ามรับประทานยาแอสไพรินหรือยากลุ่มลดการอักเสบ ์ (NSAIDs)
การป้องกัน
ป้องกันยุงกัดและทำลายแหล่งเพาะพันธ์ยุง ยุงลายที่เป็นพาหะมักออกหากินเวลากลางวัน
อาการและอาการแสดง
ไข้ซิกามีระยะฟักตัว 2-7 วัน มีอาการไข้ ปวดศีรษะ ออกผื่นที่ลำตัว และแขนขา ปวดข้อ ปวดในกระบอกตาเยื่อบุตาอักเสบ โรคไข้ซิกามักมีอาการไม่รุนแรง อาจวินิจฉัยผิดว่าเป็นไข้เลือดออกเนื่องจากมีอาการทั่วไปคล้ายๆกัน หายได้ในเวลาไม่กี่วัน แต่หากมีการติดเชื้อในหญิง ขณะตั้งครรภ์ทารกที่คลอดออกมาจะมีศีรษะเล็กผิดปกติ
โรคเอดส์ (Acquired immune defiency syndrome)
อาการและอาการแสดง
กลุ่มที่ 2
เป็นกลุ่มอาการคล้ายเอดส์ คือ ไข้ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย ผื่นตามตัว ปวดศีรษะ เจ็บคอ ผล CD4 ต่ำกว่า 500-200 cm3
กลุ่มที่ 3
เป็นกลุ่มอาการที่มีอาการสัมพันธ์กับเอดส์ คือ มีไข้สูงฉับพลัน
ไข้ต่ำ ๆ นานกว่า 2-3 เดือนปวดศีรษะ เจ็บคอ คลื่นไส้อาเจียน ต่อมน้ำเหลืองโตทั่วไป ท้องเดินเรื้อรัง น้ำหนักลด อาจตรวจพบเยื่อหุ้มสมองอักเสบชนิดไร้เชื้อร่วมด้วย
กลุ่มที่ 1
เป็นกลุ่มที่ไม่มีอาการทางคลินิก มีเพียงการตรวจ Elisa ให้ผลบวก
การรักษา
ให้ยา Antiretroviral แบ่งเป็น 3 กลุ่ม
1.ยากลุ่ม Nucleoside analog reverse transcriptase inhibitor เช่น AZT , ZDU, DDI, d4T, 3TC
2.ยากลุ่ม Non- Nucleoside analog reverse transcriptase inhibitor เช่น nevirapine, delavirdineและefavirenz
3.ยากลุ่ม Protease inhibitors เช่น indinavir, ritonavir, saquinavir, nelfinavir และamprenavir
การให้ยาต้านไวรัสขณะตั้งครรภ์ มีสูตรยาที่แนะนำ ดังต่อไปนี้
กรณีที่ 1 หญิงตั้งครรภ์ไม่เคยได้รับยาต้านไวรัสมาก่อน
สูตรแรก TDF + 3TC + EFV โดยแนะนำให้ยาต่อหลังคลอดทุกราย
สูตรที่ 2 AZT + 3TC + LPV/r หรือ TDF + 3TC + LPV/r ในกรณีที่ดื้อยากลุ่ม NNRTIs หรือจำเป็นต้องหยุดยาหลังคลอด
กรณี่ 2 หญิงตั้งครรภ์ ได้รับยาต้านไวรัสมาก่อนตั้งครรภ์ ไม่ต้องหยุดยา ให้พิจารณารักษาดังนี้
ควรใช้สูตรยาที่ทำให้ viral load ลดลง จนวัดไม่ได้จะดีที่สุด
หากพบว่า viral load มากกว่า 1000 copies / ml ทั้งที่กินยาสม่ำเสมอนาน 6 เดือน ให้ส่งปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทันที
การติดต่อ
1.การมีเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยงมากที่สุดคือ การร่วมเพศทางทวารหนัก ในปัจจุบันพบว่าการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทำให้เอดส์แพร่เชื้อมากที่สุด
2.จากมารดาสู่ทารก (vertical transmission) พบว่าในหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอดส์และไม่ได้รับการรักษา ทารกในครรภ์จะมีโอกาสติดเชื้อ 15-25%
3.ทางกระแสเลือด จากการรับเลือดหรืส่วนประกอบของเลือดที่มีเชื้อเอดส์ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันในผู้ติดยาเสพติด (IV drug users)
การวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย
มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต น้ำหนักลด เป็นต้น
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่
3.1 การตรวจคัดกรองโรคเอดส์คือการทดสอบที่เรียกว่า Enzyme–linked Immunosorbent assay (ELISA) ซึ่งทำได้ง่ายและมีความไวสูง
3.2 การตรวจยืนยันด้วยการตรวจ confirmatory test เช่น Western Blot (WB) และ Immunofluorescent assay
การซักประวัติ
เช่น ร่วมเพศกับผู้ติดเชื้อ หรือใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อ รวมทั้งมีอาการทางคลินิกของการติดเชื้อ HIV
นางสาวศุภลักษณ์ สุทธิวงษ์ เลขที่96