Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 5 5.3. ความผิดปกติของฮอร์โมน, นางสาวศุภลักษณ์ สุทธิวงษ์ เลขที่ 96 -…
บทที่ 5
5.3. ความผิดปกติของฮอร์โมน
โรคเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ (Gestational diabetes mellitus, GDM)
ความหมาย
หญิงตั้งครรภ์ที่พบความ
ผิดปกติของความคงทนต่อน้ำตาลกลูโคส ซึ่งตรวจพบครั้งแรกระหว่างการตั้งครรภ์ ในบางรายภาวะเบาหวานอาจจะยังคงอยู่หลังคลอดแสดงว่าอาจจะเป็นเบาหวานมาก่อนหน้านี้โดยไม่ทราบ
เป็นโรคเบาหวานที่เกิดขึ้นและวินิจฉัยได้ครั้งแรกขณะตั้งครรภ์ แบ่งได้ 2 ชนิดตามระดับกลูโคสในเลือดคือ
GDM A-1 คือ fasting plasma glucose น้อยกว่า 105 mg/dl หรือ 2-hour post prandial glucose น้อยกว่า 120 mg/dl
GDM A-2 คือ fasting plasma glucose มากกว่า 105 mg/dl หรือ 2-hour post prandial glucose มากกว่า 120 mg/dl
การจำแนกชนิดของเบาหวานขณะตั้งครรภ์
Type I diabetes or Insulin dependent diabetes mellitus (IDDM)
คือมีแนวโน้มที่จะผลิต ketone มีการทำลายเซลล์ตับอ่อน ซึ่งทำให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินน้อย หรือไม่ผลิตเลย
Type II diabetes or Noninsulin dependent diabetes mellitus (NIDDM)
เบาหวานชนิดนี้ไม่มีแนวโน้มที่จะเกิด ketosis type II แบ่งเป็น กลุ่มอ้วน และไม่อ้วน เบาหวานชนิดนี้ควบคุมด้วย
การดูแลรักษาหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
การดูแลขณะคลอด ได้แก่ การรักษาด้วยอินซูลินระหว่างคลอด การให้อินซูลินระหว่างการคลอดมีความ สำคัญเพื่อเป็นการควบคุมกลูโคสของหญิงตั้งครรภ์ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
การดูแลหลังคลอด ได้แก่ การรักษาด้วยอินซูลินระยะหลังคลอด การดูแลทารกแรกคลอด การเลี้ยงดูบุตรด้วยนมมารดา การคุมกำเนิด
การดูแลขณะตั้งครรภ์ ได้แก่ การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย การรักษาด้วยอินซูลิน การติดตามสุขภาพทารกในครรภ์ การกำหนดเวลาคลอด (Timing of delivery)
การให้คำแนะนำก่อนกลับบ้าน ได้แก่ โอกาสเกิดโรคเบาหวานในอนาคตซึ่งสามารถเป็นซ้ำในครรภ์ต่อไปพบสูงถึงร้อยละ 50 เน้นการควบคุมน้ำหนัก อาหารและการออกกำลังกาย
ถ้ามีอาการที่เกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงควรมาพบแพทย์ทันที ตรวจ 75 g OGTT 6-8 สัปดาห์หลังคลอดเพื่อตรวจดูว่าไม่ได้เป็น Overt DM และ ตรวจติดตามเป็นระยะทุก 2-3 ปีในรายที่ OGTT ผิดปกติต้องตรวจอย่างน้อยทุก 6 เดือน หลีกเลี่ยงยาที่ต้านอินซูลิน เช่น glucocorticoids, nicotinic acid เป็นต้น
แนวทางการวินิจฉัย
การคัดกรองขณะตั้งครรภ์
อายุมากกว่า 35 ปี
มีภาวะอ้วนโดยถือตามดัชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่ากับ 27 kg/m2
ประวัติโรคเบาหวานในครอบครัวชัดเจน
มีประวัติ GDM ในอดีต
ตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะ
ประวัติการคลอดผิดปกติ (แท้งหลายครั้ง ทารกตายคลอด พิการแต่กำเนิดโดยไม่ทราบสาเหตุ ครรภ์แฝดน้ำ ความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์ การตั้งครรภ์หลายครั้ง)
การตรวจวินิจฉัยเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์โดยการตรวจ Oral Glucose Tolerance Test (OGTT)
จะทำในรายที่ตรวจคัดกรองแล้วมีผลน้ำตาลตั้งแต่140mg/dlขึ้นไป การตรวจควรทำในช่วงเช้าหลังจากงดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
แนวทางคัดกรองตามแนวของ The International
การตรวจคัดกรองด้วย 50 กรัม Glucose challenge test
Class A1 หรือ glucose intolerance FBS ปกติ แต่มีค่าผิดปกติ 2 ใน 3 ค่าของค่าที่ 1,2,3ชั่วโมงหลังรับประทานกลูโคส
Class A2 หรือ overt DM ถ้าค่า FBS ผิดปกติ (ตรวจอย่างน้อย 2 ครั้ง)
ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย (Hypothyroidism)
การวินิจฉัย
อาการและอาการแสดง อาการอาจถูกบดบังด้วย อาการ hypermetabolic ของการตั้งครรภ์ อาการเฉพาะคือ น้ำหนักเพิ่ม ออกกำลังกายได้ลดลง
การตรวจร่างกาย ต่อมไทรอยด์สามารถตรวจพบได้ขนาดใหญ่ขึ้น หรือตรวจไม่พบความผิดปกติ
ประวัติ มีประวัติของโรคต่อมไทรอยด์ที่ได้รับการรักษามาก่อน
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยการเจาะหาระดับ FT4 ซึ่งจะพบว่าต่ำ และระดับของ TSH จะ
แนวทางการรักษา
โดยการให้ยา levothyroxine (L-thyroxine) ซึ่งเป็น T4 ขนาด 100-200 ไมโครกรัม/วัน วันละครั้ง นาน 3 สัปดาห์ แล้วจึงปรับขนาดยาตามระดับ TSH , T4 ยาชนิดนี้สามารถใช้ได้ปลอดภัยในสตรีตั้งครรภ์ และระยะให้นมบุตร
ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมาก หรือต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือคอพอกเป็นพิษในหญิงตั้งครรภ์
(Hyperthyroidism , Thyrotoxicosis)
แนวทางการรักษา
การรักษาโดยยา ถือเป็นการรักษาหลักในหญิงตั้งครรภ์ ยาที่ใช้จะเป็นยาในกลุ่ม thionamide ซึ่งได้แก่ propythiouracil (PTU) และ Methimazole (MMI, Tapazole) ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยการยับยั้ง การสังเคราะห์ไทรอยด์ฮอร์โมน และยับยั้งการเปลี่ยน T4 เป็น T3 ที่ระดับเซลล์
การผ่าตัด ไม่นิยมรักษาในสตรีตั้งครรภ์
อาการและอาการแสดง
ต่อมไทรอยด์มีขนาดใหญ่ขึ้น ลักษณะเป็นคอพอก(goiter)
อัตราการเต้นของหัวใจเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ เกิน 100 ครั้ง/นาที
อัตราการเต้นของชีพจรเร็ว โดยชีพจรขณะพักสูงกว่า 100 ครั้ง/นาที
น้ำหนักไม่เพิ่มขึ้นทั้ง ๆ ที่รับประทานอาหารเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น
มีอาการหิวบ่อยหรือกินจุ
ตาโปน (exophthalmos)
ขี้ร้อน หงุดหงิด ตกใจง่าย อารมณ์แปรปรวน
การวินิจฉัยโรค
การซักประวัติ เคยเป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษอยู่ก่อนการตั้งครรภ์ หรือเคยมีอาการและอาการแสดง
การตรวจร่างกาย พบอาการและอาการแสดงดังกล่าวแล้วข้าง ต้น แต่อาจไม่พบทุกอาการ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
Thyroid storm
อาการและอาการแสดง มีไข้ มากกว่า 103๐F หรือ 38.5๐C โดยไข้จะเริ่มหลังจากการคลอดหรือการผ่าตัดในเวลาไม่เกิน 2-3 ชั่วโมง มีหัวใจเต้นเร็ว ชีพจรอาจสูงถึง 140 ครั้ง/นาที
การรักษาเฉพาะ คือ การให้ยา ได้แก่ ยาต้านไทรอยด์ฮอร์โมน และ iodine (KI หรือ lugol’s solution)เพื่อลดการหลั่งฮอร์โมนให้
ภาวะฉุกเฉินทางอายุรกรรมมีผลต่ออัตราการตายของมารดาและทารก ส่วนใหญ่จะเกิดตามหลังภาวะเครียด
นางสาวศุภลักษณ์ สุทธิวงษ์ เลขที่ 96