Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 6 การพยาบาลเด็กที่มีความพิการแต่กำเนิด, อ้างอิง : วิภารัตน์ ยมดิษฐ์…
บทที่ 6 การพยาบาลเด็กที่มีความพิการแต่กำเนิด
วันทารกและเด็กพิการแต่กำเนิดโลก
คือ
วันที่ 3 มี.ค.ของทุกปี
โดยความพิการแต่กำเนิด แบ่งได้ เป็น 2 ส่วน
ความพิการทางด้านโครงสร้างของร่างกาย
ปากแหว่งเพดานโหว่
แขนขาขาด
คลอดออกมาแล้วเป็นโรคหัวใจ
ความพิการของการทำงานในหน้าที่และภาวะร่างกาย
กลุ่มโรคโลหิตจาง
ธาลัสซีเมีย
มีภาวะต่อมไทรอยด์บกพร่อง
ความพิการในทารกแต่กำเนิดที่พบบ่อยที่สุด 4 อันดับแรก
แขนขาพิการ
ปากแหว่งเพดานโหว่
โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
กลุ่มอาการดาวน์
มารดายังมีส่วนช่วยไม่ให้ทารกเกิดความพิการแต่กำเนิดได้ด้วย
การให้วัคซีนมารดาที่กำลังตั้งครรภ์
ลดภาวะปัจจัยเสี่ยง
งดสูบบุหรี่
งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การรับประทานโฟเลตในช่วงก่อนตั้งครรภ์
ความพิการแต่กำเนิด
เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในทารกแรกเกิด
พบได้ถึงร้อยละ 20 ในทารกที่เสียชีวิต
แบ่งเป็น
major anomalies
จำเป็นต้องได้รับการรักษา
เช่น
ปากแหว่งเพดานโหว่
โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
ภาวะหลอดประสาทไม่ปิด (neural tube defects)
minoranomalies
ความผิดปกติที่ไม่มีผลให้การทำงานของอวัยวะเสียไป
เช่น
ติ่งบริเวณหน้าหู(preauricular skin tag)
การพับผิวหนังของเปลือกตาบน (epicanthal fold)
ปาน
การจำแนกความพิการแต่กำเนิดตามกลไกการเกิด
Deformation
เกิดจากการที่มีแรงกระทำจากภายนอกทำให้อวัยวะ
ผิดรูปไปในระหว่างการเจริญพัฒนาของอวัยวะนั้น
เช่น
มีภาวะถุงน้ำคร่ำรั่วระหว่างตั้งครรภ์ทำให้เกิด oligohydramnios sequence
ทารกที่อยู่ในน้ำคร่ำน้อย พื้นที่มีจำกัดทำให้เกิดภาวะผิดรูปของแขนขา
เท้าปุก (clubfoot)
ข้อติด (joint contracture)
มีภาวะเนื้องอกมดลูก (myoma uteri) ในมดลูกกดเบียดศีรษะทารกให้ผิดรูป
Disruption
ภาวะที่โครงสร้างของอวัยวะหรือเนื้อเยื่อผิดปกติ
สาเหตุภายนอกรบกวนกระบวนการเจริญพัฒนาอวัยวะที่ไม่ใช่พันธุกรรม
เช่น
ทารกขาดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนปลาย
การบาดเจ็บของอวัยวะหรือเนื้อเยื่อ
แม่ได้รับยาหรือสารเคมีที่มีผลต่อการพัฒนาอวัยวะของทารก
มีการฉีกขาดของ amnion ทำให้เกิด amniotic band ผูกรัดแขนขาของทารกเกิด limbs defect
Malformation
ลักษณะของอวัยวะที่ผิดรูปร่างไป
เกิดจาก
จากพันธุกรรม
สิ่งแวดล้อม
กระบวนการเจริญพัฒนาภายในที่ผิดปกติ
เช่น
ปากแหว่ง (cleft-lip)
เพดานโหว่ (cleft - palate)
นิ้วแยกกันไม่สมบูรณ์ (syndactyly)
นิ้วเกิน (polydactyly)
ติ่งบริเวณหน้าหู (preauricular skin tag)
เท้าปุก (clubfoot)
Dysplasia
เป็นความผิดปกติในระดับเซลล์ของเนื้อเยื่อพบในทุกส่วนของร่างกาย
เช่น
กลุ่มโรค skeletal dysplasia
เกิดจากความผิดปกติของกระดูกที่มีสาเหตุจากพันธุกรรม
achondroplasia
แขนขาสั้น
ศีรษะโต
เด็กจะมีลักษณะตัวเตี้ย
สันจมูกแบน
สาเหตุของความพิการแต่กำเนิด
ไม่ทราบแน่ชัดแต่อาจเกี่ยวเนื่องกับปัจจัยต่อไปนี้
พันธุกรรม
เช่น
โรคปากแหว่ง เพดานโหว่
ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะจากมารดาในระหว่างตั้งครรภ์
ขาดอาหาร ขาดวิตามิน
ทำให้เกิดความพิการ เช่น ปากแหว่ง เพดานโหว่
มารดากินยาหรือเสพสารเสพติด
ยาแก้อาเจียน
กลุ่มยาดองเหล้าและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
โอกาสที่เด็กจะพิการถึงร้อยละ 32
เจริญเติบโตช้า
อาจจะมีความพิการผิดปกติที่หน้า หัวใจ ข้อ และอวัยวะเพศ
ปัญญาอ่อน
ศีรษะเล็ก
โรคติดเชื้อ
เช่น
โรคหัดเยอรมันขณะตั้งครรภ์ได้ไม่เกิน16 สัปดาห์
แท้ง
คลอดออกมาพิการผิดปกติ
ความพิการที่พบบ่อยคือ
ตับและม้ามโต
หัวใจพิการ
มีเลือดออกตามผิวหนัง
ตาบอด
หูหนวก
สมองพิการ
เด็กมีขนาดตัวเล็ก
ปัญญาอ่อน
มีศีรษะเล็กหลิม
มีผลทำให้เด็กในครรภ์ตาย
มารดาได้รับสารเคมีจากสิ่งแวดล้อม
เช่น สารปรอท
ทำให้เกิดอาการแพ้พิษสารปรอท ที่เรียกว่า โรคมินามาตะ
ทารกที่คลอดออกมาอาจมีความพิการทางสมอง และมีอาการชักได้
รังสีเอ๊กซ์ หรือรังสีแกมม่า รวมทั้งสารกัมมันตรังสีทางการแพทย์
ความพิการที่จะพบได้
ลูกตาเล็ก
มีความผิดปกติของกระดูกสันหลังและแขนขา
ศีรษะเล็ก
ความผิดปกติของการตั้งครรภ์ หรือ ภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์
รกเกาะผิดที่ทำให้เกิดเลือดออกระหว่างตั้งครรภ์
การคลอดที่ยากลำบาก
ครรภ์เป็นพิษ
มารดามีอายุมากเกินไป
บุตรมีโอกาสเกิดความพิการได้มาก
การพยาบาลทารกและเด็กที่มีความพิการแต่กำเนิด
ปากแหว่ง-เพดานโหว่ (Cleft-lip , Cleft-palate)
ประเด็นคำถามที่ต้องการคำตอบ
1.ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของเด็กปากแหว่งเพดานโหว่ในระยะก่อนผ่าตัดคือเรื่องใด มีวิธีการป้องกนอย่างไร
เสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจ / หูชั้นกลาง / การอุดกั้นทางเดินหายใจ
วิธีป้องกัน
เตรียมลูกสูบยางแดงไว้ดูดเสมหะ
สังเกตอาการ หายใจผิดปกติ ไอ ไข้
รักษาช่องปากให้สะอาดไม่ให้มีอะไรอุดกั้น
ดูแลให้นมอย่างถูกวิธี
ถ้าน้ำหนักไม่ขึ้นในขณะชั่งทุกวัน รายงานแพทย์ทันที
5.หลังผ่าตัดทารกจะดูดขวดนมได้เมื่อใด
หลังจากครบกำหนดผ่าตัด 1เดือน
2.การผ่าตัดปากแหว่ง่ ควรทำเมื่อใด/ การผ่าตัดเพดานโหว่ควรทำเมื่อใด
การผ่าตัดปากแหว่ง : ควรทำภายใน 48 ชม.หลังคลอดที่สมบูรณ์หรือรออายุ 8-12 week เพราะในช่วงนี้ริมฝีปากเต็ม จะทำให้การผ่าตัดง่ายขึ้น
การผ่าตัดเพดานโหว่ : ควรทำตอนอายุ 6-18 เดือน ในสภาพร่างกายที่แข็งแรงไม่มีการติดเชื้อใดๆ
4.หลังผ่าตัดทารกควรนอนท่าใด
นอนหงาย หรือ ตะแคงด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อลดการเสียดสีแผล และการแยกฉีกขาดของแผล
3.หลังผ่าตัดการดูแลเพื่อป้องกนแผลแยกทำอย่างไร
2.ทำความสะอาดแผลด้วย NSS ตามด้วยยาป้ายแผลโดยเฉพาะ
3.ให้น้ำหลังรับประทานอาหารเหลวทุกครั้ง เพื่อช่องปากสะอาดไม่มีกลิ่น
1.สังเกตแผลมีเลือดออกไหม สิ่งคัดหลั่ง กลิ่น หรือมีการปวดบวมบริเวณแผล
4.สังเกตการติดเชื้อหาก มีอาการติดเชื้อรีบพบแพทย์ทันที
การพยาบาลเด็กปากแหว่งเพดานโหว่
การดูแลหลังผjาตัดเพดานโหว่ถึงอายุ 4-5 ปี
อายุประมาณ 4-5 ปี ส่งทำ Nasendoscope โดยแพทย์ ENT ร่วมกับspeech therapist
งด ดูด เป่า ประมาณ 3 – 4 สัปดาห์
อายุประมาณ 2 ปีครึ่ง - 3 ขวบ แพทย์จะพิจารณาผ่าตัดแก้ไขภาวะความผิดปกติจมูก
ผู้ป่วยควรได้รับการสอนฝึกพูดเสมอและได้รับการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ
การพยาบาลหลังผ่าตัด
บิดามารดา ขาดความรู้ความเข้าใจการดูแลทารกหลังผ่าตัดปากแหว่งเพดานโหว่เมื่อกลับไปอยู่บ้าน
มีโอกาสขาดน้ำและสารอาหารเนื่องจากข้อจำกัดในการดูดกลืนหลังผ่าตัด
เสี่ยงต่อการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจจากการสำลัก
เสี่ยงต่อการเกิดแผลแยก/ เลือดออก/ ติดเชื้อ
เสี่ยงต่อการหายใจไม่มีประสิทธิภาพหลังได้รับยาระงับความรู้สึก
ไม่สุขสบายเนื่องจากแผลผ่าตัด
การพยาบาลระยะก่อนผ่าตัด
บิดา มารดา ผู้ดูแลเด็กขาดความรู้เกี่ยวกับโรคและวิธีการดูแลรักษา
มีโอกาสขาดสารน้ำสารอาหาร
เสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจ
บิดา มารดา วิตกกังวลเกี่ยวกับความพิการแต่กำเนิด
เป้าหมายของการพยาบาล
ร่วมกับการจัดการความผิดปกติและความพิการ
การดูแลให้เด็กมีการเจริญเติบโตและพัฒนาการปกติหรือใกล้เคียงปกติมากที่สุด
การผ่าตัดแก้ไขเพดานโหว่ palatoplasty , palatorrhaphy
ขั้นตอนแรกแพทย์จะปรึกษาทันตแพทย์ เพื่อใส่เพดานเทียม (obtulator)
เพดานเทียมจะเปลี่ยนทุก 1 เดือน
เพื่อปิดเพดานช่องโหว่ให้ทารกสามารถดูดนมได้โดยไม่สำลัก
อายุประมาณ 5 ปี ปรึกษาทันตแพทย์จัดฟัน
ขั้นต่อมาผ่าตัดเพดาน
สภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคติดเชื้อทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลัน
นิยมทำผ่าตัดแก้ไขความพิการก่อนเด็กเริ่มหัดพูด อายุประมาณ 6-18 เดือน
เพื่อให้มีการพูดให้ชัดเจนใกล้เคียงปกติมากที่สุด
ขั้นต่อมาการผ่าตัดแก้ไขจมูก
ทำเมื่ออายุประมาณ 3 ปี และตามด้วยการฝึกพูด
การรักษาปากแหว่ง
น้ำหนักตัว 10 ปอนด์ ฮีโมโกลบิน 10 กรัมเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป
กฎเกิน 10 คือจะทำผ่าตัดเมื่อเด็กอายุ 10 สัปดาห์ขึ้นไป
อาจทำภายใน 48 ชม. หลังคลอดเด็กสมบูรณ์ดีหรือรอตอนเด็กที่มีอายุอย่างน้อย 8-12 สัปดาห์
อายุที่เหมาะสมสำหรับการทำผ่าตัดเด็กปากแหว่งขึ้นอยู่กับแพทย์
ปัญหาที่เกิดร่วมกับความผิดปกติ
เกิดการสำลักเพราะไม่มีเพดานรองรับ
หายใจลำบาก
พูดไม่ชัดเนื่องจากเพดานปากเชื่อมติดกับเพดานจมูก
อาการและอาการแสดง
อาจติดเชื้อในหูชั้นกลางทำให้มีปัญหาการได้ยินผิดปกติ
การดูดกลืนจะผิดปกติ
หายใจลำบาก
เกิดการสำลักเพราะไม่มีเพดานรองรับ
การวินิจฉัย
สามารถตรวจได้เมื่ออายุครรภ์ 13-14 สัปดาห์ ด้วย ultrasound
การตรวจร่างกาย
การซักประวัติเพื่อหาสาเหตุทางกรรมพันธุ์
อุบัติการณ์
ปากแหว่งเพดานโหว่ หรือเพดานโหว่อย่างเดียวพบในทารกเพศชายมากกว่าเพศหญิง
เพดานโหว่อย่างเดียวพบได้ประมาณ 33 %
ปากแหว่งสอง (bilateral cleft lip) ร่วมกับเพดานโหว่
พบได้ประมาณ 46 %
ปากแหว่งอย่างเดียวอาจเป็นข้างเดียว (unilateral cleft lip) ไม่มีเพดานโหว่
พบในทารกเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
พบได้ ประมาณ 21%
เพดานโหว่(Cleft-palate)
เกิดได้ระยะทารกอยู่ในครรภ์มารดาช่วง 12 สัปดาห์
มีความผิดปกติบริเวณเพดานหลังแยกออกจากกัน
ปากแหว่ง (Cleft-lip)
ซึ่งเพดานส่วนหน้าจะเจริญสมบูรณ์ ช่วง 4-7 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์
มีความผิดปกติบริเวณริมฝีปาก เพดานส่วนหน้าแยกออกจากกัน
รูเปิดท่อปัสสาวะอยู่ต่ำกว่าปกติ (hypospadias)
ประเด็นคำถามที่ต้องการคำตอบ
การรักษา hypospadia โดยการผ่าตัดควรทำเมื่อใด เพราะเหตุใด
6-18เดือน ไม่ควรเกิน2ปี เนื่องจาก เด็กเริ่มมีการเรียนรู้หากไม่แก้ไขอาจมีผลต่อสภาพจิตใจได้
คำแนะนำในการดูแลหลังผ่าตัดเมื่อกลับไปอยู่บ้านทำอย่างไร
ดูแลแผลผ่าตัดไม่ให้เปียก อาบน้ำโดยเช็ดตัว ห้ามแช่อ่างน้ำ
ดูแลสายสวนทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ และให้ถุงปัสสาวะอยู่ต่ำกว่ากระเพาะปัสสาวะ และทำความสะอาดองคชาต วันละ2ครั้ง เช้า-เย็น
ทำความสะอาดหลังอุจจาระ ทุกครั้งเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
หลังจากเอาสายสวนปัสสาวะออก ให้สังเกตปริมาณ สี ลักษณะของปัสสาวะว่าออกลำบากไหม เพราะอาจมีการตีบตันได้ให้มาตรวจทันที
ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดมีอะไรบ้าง
3.มีรูบริเวณรอยต่อระหว่างรูเปิดปัสสาวะ
4.องคชาตโค้งงอ
2.เกิดการตีบตันของรูเปิดท่อปัสสาวะ
5.เกิดการติดเชื้อได้
1.เลือดออก
การพยาบาล
คำแนะนำการปฏิบัติตัวเมื่อกลับไปอยู่บ้าน
อธิบายให้เด็ก บิดามารดา/ผู้ปกครองเข้าใจ ถึงความสำคัญในการมาพบแพทย์ต นัดหรือมาก่อน นัดหากมีความผิดปกติเกิดขึ้น
อธิบายให้เด็ก บิดามารดา/ผู้ปกครองเข้าใจ ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
ภายหลังการเอาสายสวนปัสสาวะออก ให้สังเกตปริมาณปัสสาวะ
อธิบายอาการติดเชื้อ เช่น มีไข้ แผลแดงอักเสบ ปัสสาวะขุ่นมีตะกอนและ ควรมาพบแพทย์ทันที
บิดามารดา/ผู้ปกครองต้องกระตุ้นให้เด็กดื่มน้ำมากๆ ทุกวัน
ทำความสะอาดให้เด็กภายหลังการถ่ายอุจจาระทุกครั้ง
ห้ามเด็กเล่นทราย ขี่จักรยานหรือนั่งคร่อม ของเล่น ว่ายน้ำ
แนะนำและสาธิตให้บิดามารดา/ผู้ปกครอง ทราบวิธีการดูแลความสะอาด องคชาตที่คาสายสวนปัสสาวะ ไว้โดยใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ
ดูแลแผลผ่าตัดไม่ให้เปียก ทำความสะอาด ร่างกายเด็กด้วยการเช็ด ห้ามอาบน้าในอ่าง สวมเสื้อผ้าหลวมๆ
การพยาบาลหลังผ่าตัด
ให้บิดามารดา/ผู้ปกครองอยู่ดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด
จัดให้เด็กนอนในท่าสบาย ยึดสายที่ต่อจาก uretra หรือสาย cystostomy ให้อยู่บริเวณหน้าท้องหรือต้นขา
ประเมินบริเวณสาย cystostomy ไม่ให้เกิดการติดเชื้อ cystostomy
ประเมินความปวดของเด็กให้ยาแก้ปวดตามแผนการรักษาของแพทย์
ใช้เทคนิคปลอดเชื้อในการทำแผลและการเทปัสสาวะออกจากถุงปัสสาวะ
เก็บปัสสาวะส่งตรวจเพาะเชื้อตามแผนการรักษาอย่างเคร่งครัด
การพยาบาลก่อนผ่าตัด
อธิบายขั้นตอนการเตรียมการก่อนผ่าตัด
ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เช่น
ความรู้สึกเด็กที่ต้องพบกับสิ่งแปลกใหม่หลังผ่าตัด
การปวดหลังผ่าตัด การได้รับยาระงับความรู้สึก
ผลของการผ่าตัด
ประเมินความวิตกกังวล
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
5.เกิดการติดเชื้อ
4.องคชาตยังโค้งงอแก้ไขได้ด้วยการผ่าตัด
1.เลือดออก
3.มีรูตรงบริเวณรอยต่อระหว่างรูเปิดท่อปัสสาวะเก่ากับท่อปัสสาวะสร้างใหม่
2.เกิดการตีบตันของรูเปิดท่อปัสสาวะ
การรักษา
การผ่าตัดแก้ไขรูเปิดท่อปัสสาวะอยู่ต่ำกว่าปกติ
2.ผ่าตัดแบบ 2 ขั้นตอน(two-staged repair)
1.ผ่าตัดแบบขั้นตอนเดียว(one-stage repair)
การผ่าตัดในกรณี
เวลาที่เหมาะในการทำผ่าตัดจะอย่ในช่วง อายุ 6-18 เดือน แต่ไม่ควรเกิน2ปี
เด็กที่มีความผิดปกติมากต้องรักษาโดยการผ่าตัดตกแต่งท่อปัสสาวะ
เด็กที่มีรูเปิดของท่อปัสสาวะต่ำกว่าปกติเล็กน้อยแต่เวลาถ่ายปัสสาวะไม่พุงเป็นลำตรง
เด็กที่มีรูเปิดของท่อปัสสาวะต่ำกว่าปกติเพียงเล็กน้อยไม่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด
Hypospadias
แบ่งตามตำแหน่งดังนี้
Anterior or distal or mild รูเปิดท่อปัสสาวะมาเปิดทางด้านหน้า หรือบริเวณส่วนปลายขององคชาต
Posterior or proximal or severe รูเปิดท่อปัสสาวะอยู่ที่ใต้องคชาต
Middle or moderate รูเปิดท่อปัสสาวะอยู่กลางขององคชาต
ผลกระทบ
ปัสสาวะไม่พุงเป็นลำไปด้านหน้า แต่กลับไหลไปตามถุงอัณฑะหรือด้านหน้าของต้นขา
องคชาตดูแตกต่างจากปกติทำให้เด็กสูญเสียความมั่นใจ
องคชาตคดงอเมื่อมีการแข็งตัว ถ้างอมากอาจทำให้ร่วมเพศไม่ได้ในอนาคต
รูเปิดท่อปัสสาวะอยู่ด้านบน(epispadias)
อาจพบร่วมกับความผิดปกติอื่นๆ เช่น
absence of prostate gland
exstrophy of urinay bladder
เป็นความผิดปกติที่รูท่อปัสสวะไปเปิดที่ด้านบนขององคชาต
อัตราการเกิด 1 ใน 300 ในทารกเพศชาย
ทำให้เกิดปัญหาทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ
TE fistula
ประเด็นคำถามที่ต้องการคำตอบ
4.การดูแล Gastrostomy ทำอย่างไร
3.กรณีใช้สายให้อาหารทางหน้าท้องชนิดลูกโป่ง ควรหมั่นตรวจสอบว่าตำแหน่งของสายที่ระดับผิวหนังอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง เนื่องจากสายอาจเลื่อนเข้าไปในกระเพาะมากเกินไป
4.ต้องดูแลให้ระดับบ่าท่อที่อยู่ทางหน้าท้องอยู่ที่ขีด 6 เซนติเมตร และควรหมุนตัวสายทุก 2-3 วัน เพื่อป้องกันการฝังตัวของหัวเปิดในช่องกระเพาะอาหาร
2.ไม่ควรหักหรือพับงอสายให้อาหารนานเกินไป อาจทำให้สายแตกหักหรือพับงอ ทำให้เกิดการอุดตันได้
5.ไม่ควรใช้อาหารที่มีความร้อนเพราะจะทำให้อายุการใช้งานน้อยลง ซึ่งปกติจะใช้ได้นาน 6 - 8 เดือน
1.ทำความสะอาดสาย Gastrostomy ด้านนอกและข้อต่อด้วยสบู่และน้ำสะอาด ส่วนสายสวนชนิดระดับผิวหนังใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำสะอาดเช็ด
1.อาการอาการแสดงที่บ่งชี้ว่าหลอดอาหารตีบคืออะไร
อาเจียน สำลักเอาอาหารเข้าสู่ทางเดินหายใจ
น้ำลายไหลมาก
กลืนอาหารไม่ลง
3.การให้นมTE fistula ทำอย่างไร
ทำ Gastrostomy เพื่อให้อาหาร หลังผ่า 4วันถ้าไม่มีรอยรั่ว เริ่มให้นมที่ละน้อยๆช้าๆ 1 สัปดาห์หลังผ่า หากเด็กปกติดี off Gastrostomy
2.อาการอาการแสดงที่บ่งชี้ว่าหารมีรูรั่วคืออะไรลอด
สำลัก ไอ เขียว หรือหยุดหายใจได้
ท้องป่อง อืด พบอากาศในกระเพาะอาหาร
น้ำลายฟูมปาก
การพยาบาล
การพยาบาลหลังผ่าตัด
อาจเกิดการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัดและแผล Gastrostomy
ดูแลให้ยา Antibiotic ตามแผนการรักษา
ล้างมือก่อนและหลังให้การพยาบาล
สังเกตการติดเชื้อ
ทำแผลอย่างน้อยวันละ2ครั้ง
อาจเกิดภาวะปอดแฟบจากการอุดตันของท่อระบายทรวงอก
บันทึก ลักษณะ สี จำนวนของ discharge
จัดท่านอนศีรษะสูง
ระวังสายหัก พับงอ/นวดคลึงสายบ่อยๆ
ตรวจสอบการทำงานของ ICD
การวินิจฉัยปัญหาและการพยาบาล
อาจเกิดภาวะแทรกซ้ อนหลังผ่าตัดต่อหลอดอาหาร(แผลแยก)
ดูแลให้ได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำ , Antibiotic ตามแผนการรักษา
ห้ามใส่สาย NG tube หรือสายsuction ดูดเสมหะในคอ และไม่ควรนอนเหยียดคอ
ดูแลให้การทำงานของ ICD มีประสิทธิภาพ
กระตุ้นให้เด็กร้องบ่อยๆเพื่อให้ปอดขยายได้ดีสังเกตภาวะขาดออกซิเจน
การพยาบาลก่อนผ่าตัดแก้ไขหลอดอาหาร
อาจได้รับสารน้ำและสารอาหารไม่เพียงพอเนื่องจากไม่สามารถรับประทานอาหารทางปากได้
ดูแลให้สารอาหาร นม น้ำทาง Gastrostomy tube
ดูแลให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษา
อาจเกิดภาวะปอดอักเสบหายใจลำบากหรือหยุดหายใจเนื่องจากสำลักน้ำลายหรือน้ำย่อยเข้าหลอดลม
ให้ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
ให้ออกซิเจนกรณีมีภาวะพร่องออกซิเจน
จัดท่านอนที่เหมาะสม
On NG tube ต่อContinuous suction
พลิกตะแคงตัวบ่อยๆ
การรักษา
ระยะสอง
Thoracotomy and division of the fistula with Esophageal anastomosis
ระยะแรก
Gastrostomy
อาการและอาการแสดงของโรค
ทารกแรกเกิดน้ำลายไหลมาก อาเจียน ไอ
การสำลักส่วนใหญ่จะมีโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ความผิดปกติของลำไส้เล็ก ไส้ตรง และรูทวาร ร่วมด้วย
สำลักเอาอาหารและเมือกเข้าสู่ทางเดินหายใจ
ผู้ป่วยอาจตายเนื่องจากขาดอาหาร น้ำ เกลือแร่
อาจพบอากาศในกระเพาะอาหาร
Imperforate anus/Anorectal malformation
ประเด็นคำถามที่ต้องการคำตอบ
1.สังเกตการไม่มีรูทวารหนักทารกหลังคลอดอย่างไร
ไม่พบรูเปิดทางทวารหนัก
ไม่มีการเคลื่อนไหวของลำไส้
5.วิธีการฝึกการควบคุมกล้ามเนื้อช่วยในการขับถ่ายทำอย่างไร
ฝึกกลั้นอุจจาระเพื่อใช้กล้ามเนื้อที่มีอยู่อย่างเต็มที่ โดยฝึกหนีบบอล ออกกำลังกายโดยวิ่ง หรือว่ายน้ำ
2.การดูแลcolostomy ทำอย่างไร
4.ทิ้งอุจจาระถ้ามีปริมาณอุจจาระในถุง ¼-1 / 3 ของถุง
5.สังเกตการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังรอบ ๆ ทวารเทียมถ้ามีการอักเสบรอยถลอกรายงานแพทย์
3.กรณีมีการรั่วซึมต้องเปลี่ยนถุงใหม่และสังเกตการรั่วซึมของอุจจาระทุก 2 ชั่วโมง
2.เด็กที่มีถุงรองรับอุจจาระทางทวารเทียมเลือกขนาดของปากถุงให้ครอบปิดกระชับพอดี กับขนาดทวารเทียมไม่แน่นเกินไป
1.หลังผ่าตัดสัปดาห์แรก รูเปิดยังไม่หายและการหายของแผลยังไม่ดีพอ ทำความสะอาด ด้วยน้ำเกลือล้างแผล เมื่อแผลหายดีแล้วทำความสะอาดด้วยน้ำสะอาด ซับผิวหนังรอบรูเปิดด้วยสำลีหรือผ้า สะอาดที่อ่อนนิ่ม
4.หลังผ่าตัดทำรูทวารหนัก ป้องกันการตีบแคบได้อย่างไร
ถ่างขยายรูทวารหนักสม่ำเสมอ โดยใช่เทียนไขเหลาเท่าขนาด Hegar ถ่างขยาย
ให้ยาเพื่อปรับสภาพอุจจาระ
ฝึกขับถ่าย ฝึกกล้ามเนื้อที่ช่วยในการควบคุมการถ่ายอุจจาระ
3.อายุที่เหมาะสมในการฝึกการขับถ่าย
1-2 ปีครึ่ง
การพยาบาลระยะก่อนและหลังผ่าตัดตกแต่งทวารหนัก(anoplasty)
ปัญหาที่อาจพบได้หลังผ่าตัด
กลั้นอุจจาระไม่ได้
ท้องผูก
ทวารหนักตีบจากกลไกการหดรั้งตัวของแผล
บิดา มารดา ขาดความรู้ความเข้าใจในการดูแลแผลผ่าตัดบริเวณทวารหนัก
บิดามารดาวิตกกังวลเรื่องความผิดปกติ และต้องได้รับการรักษา
เสี่ยงต่อการติดเชื้อที่แผลผ่าตัดทวารหนัก
เสี่ยงต่อการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ
การพยาบาลการพยาบาลหลังผ่าตัดเปิดcolostomy
แนะนำการมาตรวจตามนัด
สังเกตภาวะแทรกซ้อนของทวารเทียม
สังเกตและบันทึกอุจจาระ
แนะนำอาหารย่อยง่ายมีโปรตีนสูง แคลอรี่สูง มีกากใยมาก หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำแก๊ส
หลังผ่าตัดสัปดาห์แรก รูเปิดยังไม่หายและการหายของแผลยังไม่ดีพอ ทำความสะอ ด้วยน้ำเกลือล้างแผลเมื่อแผลหายดีแล้วทำความสะอาดด้วยน้ำสะอาด ซับผิว
สังเกตการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังรอบๆทวารเทียม ถ้ามีการอักเสบ รอยถลอก รายงานแพทย์
เด็กที่มีถุงรองรับอุจจาระทางทวารเทียม เลือกขนาดของปากถุง ให้ครอบปิดกระชับ พอดีกับขนาดทวารเทียม
ทิ้งอุจจาระถ้ามีปริมาณอุจจาระในถุง¼-1/3ของถุง
กรณีมีการรั่วซึมต้องเปลี่ยนถุงใหม่ และสังเกตการรั่วซึมของอุจจาระทุก2ชั่วโมง
การพยาบาลในระยะขยายทวารหนัก
ให้ความรู้บิดามารดาเกี่ยวกับการดำเนินของโรค
แนะนำให้บิดามารดาให้อาหารตามวัยของเด็กที่มีประโยชน์มีกากใยสูง
สอนการดูแลในการถ่างขยายรูทวารหนัก
ความสัมพันธ์อายุกับ hegar metal dilator
อายุ 14 ปีขึ้นไป เบอร์ hegar 17
อายุ 1-3 เดือน เบอร์ hegar 12
อายุ 4-14 ปี เบอร์ hegar 16
อายุ 4-8 เดือน เบอร์ hegar 13
อายุ 1-3 ปี เบอร์ hegar 15
อายุ 9-12 เดือน เบอร์ hegar 14
การรักษา
ความผิดปกติ intermediate และ high
การผ่าตัดปิดทวารเทียมทางหน้าท้อง
การผ่าตัดตบแต่งทวาร(anoplasty)
การทำทวารหนักเทียมทางหน้าท้องเพื่อระบายอุจจาระออก(colostomy)
ความผิดปกติlow type มีการรักษา 3 วิธี
การผ่าตัดตบแต่งทวารหนัก(anoplasty)
การผ่าตัดanal membrane ออกในรายที่สังเกตเห็นขี้เทาทางทวารหนัก
การถ่างขยายทวารหนัก โดยใช้ hegar metal dilators
เป้าหมายการรักษาพยาบาล เพื่อผู้ป่วยสามารถถ่ายอุจจาระได้
การวินิจฉัย
MRI ตรวจความผิดปกติร่วมของไขสันหลัง
CT scan ตรวจกระดูก กล้ามเนื้อ อวัยวะภายใน
ultrasound เพื่อตรวจการไหลเวียนและดูอวัยวะภายใน
การตรวจรังสีวินิจฉัย Xray เพื่อประเมินระดับลำไส้ตรง
การตรวจร่างกาย
อาการและอาการแสดง
1.ไม่มีการถ่ายขี้เทาภายใน 24 ชั่วโมง
7.ตรวจพบมีกากอาหารค้างอยู่ในระบบทางเดินอาหาร
2.ไม่พบรูเปิดทางทวารหนักหรือพบเพียงรอยช่องเปิดของทวารหนักเท่านั้น
6.ปวดเบ่งอุจจาระ
3.ไม่มีเสียงเคลื่อนไหวของลำไส้หากมีการอุดตันของลำไส้เป็นเวลานาน
5.แน่นท้องท้องอืด
4.กระสับกระส่ายอืดอัด ไม่สบายเนื้อสบายตัว
ชนิดของความผิดปกติ
Rectal atresia ลำไส้ตรงตีบตัน
Anal agenesis รูทวารหนักเปิดผิดที่ แบ่งเป็น
High type
Intermediate type
Low type
Imperforate anal membrane มีเยื่อบางๆปิดกั้นรูทวารหนัก
Anal stenosis รูทวารหนักตีบแคบ
พยาธิสรีรภาพ
ทารกเพศหญิงถ่ายขี้เทาออกทางท่อปัสสาวะหรือทางช่องคลอด
ทารกเพศชายมีอาการถ่ายขี้เทาออกทางท่อปัสสาวะ
ทารกมีอาการท้องผูก/ถ่ายอุจจาระลำบาก/หรือไม่ถ่ายอุจจาระ
สาเหตุ
ไม่ทราบแน่ชัด
อุบัติการณ์
เพศหญิงพบความผิดปกติทวารหนักเป็นแบบลำไส้ตรงมีรูทะลุกับเวสติบูลา
เพศชายพบความผิดปกติของลำไส้ตรงกับท่อปัสสาวะ
เกิดขึ้นในอัตราส่วน14000 ของเด็กเกิดมีชีวิตทั้งหมด
เป็นความพิการผิดรูปของทวารหนักและrectum
Omphalocele /Gastroschisis
ประเด็นคำถามที่ต้องการคำตอบ
4.ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดปิดผนังหน้าท้องเด็ก ต้องระวังภาวะใด มี อาการแสดงอย่างไร
Abdominal compartment syndrome:ท้องอืดอย่างรุนแรง ปัสสาวะออกน้อยลง central venous pressure สูงขึ้น ความดันในช่องอกสูงขึ้น
1.Gastroschisis กับOmphalocele แตกต่างกันอย่างไร
Omphalocele: จะมีผนังช่องท้องไม่สมบูรณ์ ทำให้ช่องท้องไม่เปิด
Gastroschisis: ผนังช่องท้องจะสมบูรณ์กว่า Omphalocele เพราะมีการเกิดของลำไส้ กระเพาะ
3.การฟัง bowl sound หลังผ่าตัดปิดผนังหน้าท้องเด็ก มีวัตถุประสงค์
เพื่อประเมินการทำงานของลำไส้ว่ามีการดูดซึมปกติไหม และเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนได้
2.เด็กดูแลในระยะดันลำไส้กลับในช่องท้องเด็กต้องจัดท่านอนอย่างไร
จัดท่านอนราบ เพื่อลดแรงดันในช่องท้อง
การพยาบาล
การรักษาในระยะหลังผ่าตัด
การดูแลเพื่อลดแรงดันในช่องท้อง
การใส่สายระบายในช่องท้อง(Percutaneous catheter drainage)
ฟอกไตเพื่อดึงน้ำออกจากร่างกาย
ได้รับยาขับปัสสาวะ/ยากระตุ้นการทำงานของลำไส้
ใส่สายสวนกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่
จัดท่าผู้ป่วยนอนราบศีรษะสูงไม่เกิน30องศา
ให้ยาระงับปวดให้เหมาะสม
สังเกตอาการระวังการเกิดAbdominal compartment syndrome
ACS ส่งผลกระทบกับผู้ป่วยหลายระบบ
การที่ความดันในช่องท้องเพิ่ม สูงขึ้น>20 mmHg
ดูแลเด็กที่ได้รับการรักษาโดยใช้เครื่องช่วยหายใจประมาณ24-48ชั่วโมง
ติดตามการทำงานของลำไส้
ดูแลให้ได้รับสารน้ำสารอาหารตามแผนการรักษา
การพยาบาลในขณะรอการผ่าตัดเย็บปิดผนังหน้าท้อง
ดูแลให้ได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำ
นอนตะแคงข้างเพื่อลดโอกาสที่เลือดจะมาไส้ไม่สะดวกเลี้ยง
ประคองลำไส้ไม่ให้พับตกลงมาข้างๆตัวได้(เสริมกับชั้นของroll gauze)
keep warm โดยอาจเป็นradiant warmer หรือไว้ในincubator
การพยาบาลระยะก่อนผ่าตัด
ดูแลให้systemic antibiotics ตามแผนการรักษา
ดูแลให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษา
keep warm โดยอาจเป็นradiant warmer หรือไว้ในincubator
พยายามปั้นประคองกระจุกลำไส้ให้ตั้งโดยการใช้ผ้า gauze ม้วนพันประคองไว้ไม่ให้ล้มพับ
ระวังการ contaminate โดยต้องใช้sterile technique
การรักษา
การรักษาโดยการผ่าตัด
การผ่าตัดปิดหน้าท้องเป็นขั้นตอน(stagedclosure)
การผ่าตัดปิดผนังหน้าท้องตั้งแต่ระยะแรก (primary closure)
สำหรับ omphalocele ขนาดใหญ่ไม่มากอาจใช้แผ่นsilastic ปิดทับ ถุงomphalocele พันด้วยผ้ายืด elastric wrap
จุดประสงค์เพื่อปิดผนังหน้าท้อง ลดภาวะแทรกซ้อน
การวินิจฉัย/อาการ/อาการแสดง
ตรวจ ultrasound
ความผิดปกติของโครโมโซมมีประมาณร้อยละ20-50
Omphalocele
อาจมีความผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย
รองลงมาเป็นความผิดปกติของระบบประสาท
ความผิดปกติของหัวใจได้มากถึงร้อยละ30-50
ลำไส้จะออกมาอยู่ในสายสะดือได้เป็นปกติในช่วงอายุครรภ์ 8-12 สัปดาห์
มีอุบัติการเพิ่มขึ้นในมารดาที่มีอายุมาก
พบได้ประมาณ1:4,000 ของการคลอด
gastroschisis ผนังช่องท้องพัฒนาสมบูรณ์สะดือแตกตอนไส้เลื่อน
Omphalocele ผนังหน้าท้องพัฒนาไม่สมบูรณ์
อ้างอิง : วิภารัตน์ ยมดิษฐ์.การพยาบาลเด็กที่มีความพิการแต่กำเนิด.วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ราชบุรี.
น.ส.ปุณยาพร เช้าฮุ้น รุ่น36/1 เลขที่ 76 รหัส 612001077