Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychosocial theoty), นางสาวสัภยา นาคพิมาย …
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychosocial theoty)
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ริเริ่มโดย ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud: 1856-1939) นักประสาทวิทยาชาวออสเตรีย เป็นบิดาแห่งทฤษฎีจิตวิเคราะห์ โดยฟรอยด์มีความเชื่อว่าระดับจิตใจของมนุษย์มีความแตกต่างกันในแต่ละขั้น
ระดับของจิตใจ (Level of mind)
1) ระดับจิตสานึก (Conscious level) เป็นระดับของจิตใจที่มนุษย์รู้สึกตัว และตระหนักในตนเอง มีพฤติกรรมและการแสดงออกที่ตนรับรู้ แสดงออกอยู่ภายใต้การควบคุมด้วยสติปัญญา ความรู้ และการพิจารณา
2) ระดับจิตใต้สานึก (Subconscious/Preconscious level) เป็นระดับของจิตใจที่อยู่ในระดับกึ่งรับรู้ และไม่รับรู้ จิตใจในส่วนนี้จะช่วยขจัดข้อมูลที่ไม่จำเป็นออกไป และจะดำเนินการอยู่ตลอดเวลาในชีวิต
3) ระดับจิตไร้สานึก (Unconscious level) เป็นระดับของจิตใจที่อยู่ในส่วนลึกไม่สามารถจะนึกได้ในระดับจิตสำนึกธรรมดา บุคคลมักจะเก็บประสบการณ์ที่ไม่ดีและเลวร้ายในชีวิตที่ผ่านมาของตนไว้ในจิตไร้สานึกโดยไม่รู้ตัว และจะแสดงออกในบางโอกาส
โครงสร้างของจิตใจ (Structure of mind)
1) Id เป็นแรงผลักดันของจิตใจที่ติดตัวทุกคนมาแต่กำเนิด เป็นการแสวงหาความสุขโดยยึดความพึงพอใจเป็นหลัก (Pleasure principles) ฟรอยด์เรียกกระบวนการทางานของจิตใจส่วนนี้ว่า “กระบวนการคิดแบบปฐมภูมิ” (Primary thinking process) ซึ่งไม่ได้กลั่นกรองหรือขัดเกลาให้เหมาะสม
2) Ego เป็นส่วนของจิตใจที่ดำเนินการโดยอาศัยเหตุและผล เพื่อตอบสนองสิ่งที่ตนปรารถนา ตามหลักแห่งความเป็นจริง (Reality principle) ซึ่งส่วนนี้อยู่ในระดับจิตสานึก มีการพิจารณากลั่นกรอง เรียกกระบวนการคิดในลักษณะนี้ว่าเป็น “กระบวนการคิดแบบ
ทุติยภูมิ” (Secondary thinking process)
3) Superego เป็นส่วนของจิตใจที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับมโนธรรม (Conscience) คือ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่มีอยู่ในจิตใจของบุคคล เกิดจากการอบรมสั่งสอนของบิดา มารดาหรือผู้เลี้ยงดู
กลไกการป้องกันทางจิต (Defense mechanism)
1) การชดเชย (Compensation) เป็นการกระทำเพื่อลบล้างจุดบกพร่อง จุดอ่อน หรือปมด้อยของตน
2) การเปลี่ยนแปลงความรู้สึกเป็นพฤติกรรม (Conversion) เป็นการ เปลี่ยนความขัดแย้งในจิตใจเกิดเป็นอาการทางกาย
3) การปฏิเสธ (Denial) เป็นการปฏิเสธที่จะยอมรับบางสิ่งบางอย่างซึ่งเป็นความจริงโดยการเพิกเฉย
4) การแทนที่ (Displacement) เป็นการถ่ายเทอารมณ์ที่มีต่อบุคคลหนึ่งไป ยังบุคคลอื่น หรือวัตถุสิ่งของอื่น
5) การโทษตัวเอง (Introjection) เป็นการตำหนิ กล่าวโทษตนเอง
6) การโทษผู้อื่น (Projection) เป็นการโยนอารมณ์ หรือเป็นการโยนความผิดให้ผู้อื่น
7) การแยกตัว (Isolation) เป็นการไม่ตอบสนองต่อการกระทำที่นำความคับข้องใจมาให้
8) การถดถอย (Regression) เป็นการแสดงออกโดยเกิดขึ้นเมื่อประสบภาวะความไม่มั่นคงทางจิตใจ
9 ) การเก็บกด (Repression) เป็นการเก็บกดอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด
10) การเก็บกด (ระดับจิตสานึก) (Suppression) เป็นการลืมบางสิ่ง บางอย่างโดยเจตนา
11)การลบล้างความรู้สกึผิด (Undoing) เป็นการกระทำในสิ่งที่ดีเพื่อลบล้าง ความผิดที่เกิดจากการกระทำของตนเอง
12) การอ้างเหตุผล (Rationalization) เป็นการหาเหตุผลที่สังคมยอมรับมาอธิบาย
13) การหาทางทดแทน (Sublimation) เป็นการปรับเปลี่ยนความรู้สึกหรือสิ่งที่สังคมยังไม่ยอมรับ ไปเป็นวิธีการที่สังคมยอมรับ
14) การกระทาตรงข้ามกับความรู้สึก (Reaction formation) เป็นการท่ีบุคคลมีพฤติกรรมการแสดงออกตรงข้ามกับความคิดความรู้สึกที่แท้จริงของตน
15) การเลียนแบบ (Identification) เป็นการรับเอาความคิด ทัศนคติ ค่านิยม ในชีวิตหรือบุคคลที่นิยมชมชอบมาเก็บและจดจำไว้จน กลายเป็นส่วนหน่ึงของบุคลิกภาพของตนเอง
สัญชาตญาณ (Instinct)
1) สัญชาตญาณทางเพศ (Sexual of life instinct: Libido) ทำหน้าที่แสวงหาความพอใจตามที่ตนเองต้องการ ส่วนที่สำคัญที่สุด คือ แรงขับทางเพศ ซึ่งมีมาตั้งแต่แรกเกิด อวัยวะต่างๆที่ไวต่อการสัมผัส ได้แก่ บริเวณปาก ทวารหนัก และอวัยวะเพศ
2) สัญชาตญาณแห่งความก้าวร้าว (Aggressive of instinct: Mortido) ทำหน้าที่ผลักดันให้มนุษย์แข่งขันกัน ชิงดีชิงเด่นกัน เอาชนะกัน มีลักษณะพลังงานในทางทำลาย
พัฒนาการทางบุคลิกภาพ (Psychosexual development)
1) ระยะปาก (Oral stage) อายุ 0-1 ปี เป็นช่วงที่เด็กจะมีความสุขอยู่กับการใช้ปากในการดูดไม่ว่าจะเป็นการดูดนมมารดา ดูดนิ้ว การกัด การเคี้ยว หรือนำสิ่งต่างๆ เข้าปาก
2) ระยะทวารหนัก (Anal stage) อายุ 1-3 ปี เด็กเริ่มเรียนรู้ถึงแรงกดดันที่ ต้องการจะขับถ่ายและเริ่มมีความสามารถที่จะควบคุมการขับถ่ายได้
3) ระยะพัฒนาการทางเพศ (Phallic stage) อายุ 3-6 ปี ในช่วงนี้เด็กจะให้ความสนใจทางด้านเพศมาก เป็นระยะสาคัญที่เกิดปม oedipal complex ในเด็กผู้ชาย electra complex ในเด็กผู้หญิง โดยเด็กจะสนใจบิดามารดาเพศตรงข้าม และเกิดการเลียนแบบ
4) ระยะแฝง(Latency stage) อายุ6-12 ปีเป็นช่วงที่เด็กจะพัฒนา ความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นที่เป็นเพื่อนเพศ
เดียวกัน
5) ระยะวัยเจริญพันธุ์ (Genital stage) อายุ 12 ปีขึ้นไป เป็นระยะที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสรรีวิทยาทางด้านเพศ มีการพัฒนาความสัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพศ
การประยุกต์ใช้ในการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช
ช่วยให้พยาบาลสามารถแยกแยะสาเหตุของปัญหาทางจิตของผู้ป่วยได้ การวิเคราะห์ เกี่ยวกับกลไกการป้องกันทางจิตที่ไม่เหมาะสมของผู้ป่วยจิตเวช จะเป็นแนวทางในการช่วยให้ผู้ป่วยได้ ใช้กลไกการป้องกันทางจิตที่เหมาะสมต่อไป
นางสาวสัภยา นาคพิมาย
รหัส61122230027 เลขที่ 24
นักศึกษาชั้นปีที่ 3