Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคเกี่ยวกับหัวใจ, นางสาวกนกวรรณ จันทร์น้อย เลขที่1 รหัส 612501001 :<3:…
โรคเกี่ยวกับหัวใจ
ภาวะหัวใจวาย (Heart Failure)
ภาวะหัวใจวาย (Heart failure) หรือ Congestive heart failure เป็นภาวะที่หัวใจทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สามารถบีบลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย ทำมีผลกระทบต่อร่างกายของผู้ป่วย
ภาวะหัวใจวายมักเป็นผลมาจากโรคต่าง ๆ ของหัวใจและระบบไหลเวียนโดยตรง หรือโรคเรื้อรังอื่น ๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery disease), โรคความดันโลหิตสูง (hypertension) หรือโรคไต เป็นต้น
สาเหตุ
1.โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery disease)
2.หัวใจทำงานหนักเกินไป (Abnormal loading condition)
3.กล้ามเนื้อหัวใจมีการทำหน้าที่ผิดไป (Abnormal muscle function) ซึ่งอาจเป็นผลมาจากระบบไฟฟ้าหัวใจหรือความผิดปกติของกล้ามเนื้อและโครงสร้าง
4.ความผิดปกติของห้องหัวใจล่างซ้ายจากเหตุต่าง ๆ ทำให้มีความจำกัดในการคลายตัวเพื่อรับเลือดจากห้องบนซ้าย (Limited fill)
5.โรคร่วมเรื้อรังอื่น ๆ เช่น MI, HT, DM, COPDฯลฯ
6.โรคที่เกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจ ติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ หรือลิ้นหัวใจถูกทำลาย
7.โรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจ
8.หัวใจเต้นผิดปกติ (Arrythmia)
9.ความผิดปกติของหัวใจ เช่น Cardiomyopathy
10.สารพิษต่าง ๆ เช่น สารเสพติด
11.โรคเกี่ยวกับปอด
12.หยุดหายใจขณะหลับ (Sleep apnea)
พยาธิสภาพ
1.กล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างอ่อนแรงทำให้ไม่สามารถรับเลือดจากร่างกายเข้าสู่หัวใจและบีบเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้เพียงพอ
2.มีความผิดปกติทำให้เกิดการเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้เวลาในการรับเลือดน้อยลง (Filling time)
3.การเพิ่มของปริมาตรเลือดที่หัวใจบีบออกจากหัวใจแต่ละครั้ง
4.การหดตัวของหลอดเลือดแดง
5.การเพิ่มแรงบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ
6.การคั่งของน้ำและเกลือในร่างกาย
7.ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขยายโตขึ้น โดยเฉพาะห้องหัวใจล่างซ้าย (LVH) มักมีกล้ามเนื้อหนา และแข็ง
อาการของภาวะหัวใจวาย
1.ซีด เขียวคล้ำ (Cyanosis) จากการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนปลายไม่ดี (Peripheral insufficiency)
2.บวมจากความดันเลือดส่วนปลายเพิ่มขึ้น (Edema)
3.ความทนต่อการทำกิจกรรมลดลง เหนื่อยง่าย (Activity intolerance)
4.มึนศีรษะ วิงเวียน สับสน
5.คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ท้องบวมน้ำ ตับโต (Right ventricular heart failure)
6.หายใจเหนื่อยกลางคืน (Paroxysmal Nocturnal dyspnea) นอนราบไม่ได้ (Orthopnea)
7.ปัสสาวะน้อยลง
การตรวจร่างกาย
1.คลำพบ Heaving และ Thrill
2.เคาะพบตับโต ในกรณีหัวใจข้างขวาวาย
3.พบตำแหน่ง PMI เปลี่ยนแปลงไป จากหัวใจที่โตขึ้น
4.Pulse Irregular
5.เสียงหัวใจเต้นผิดปกติ ฟังพบ S3 Gallop และ Murmur
6.ฟังปอดพบ Crepitation จากภาวะน้ำท่วมปอด
7.ท้องบวม (Ascitis) และน้ำหนักตัวเพิ่ม ต้องมีการชั่งน้ำหนักและวัดรอบเอวทุกวัน
8.หลอดเลือดที่คอโป่ง (Neck vein engorgement) วัดหลอดเลือดดำที่คอ ถ้าสูงกว่า 4 cms จาก Sternal angle แสดงว่ามีหัวใจล่างขวาวาย
9.อาการบวมที่ส่วนต่ำของร่างกายเช่น หน้าแข็ง ข้อเท้า และก้นกบ อาการบวมแบ่งออกเป็น 4 grade (1+, 2+, 3+, 4+)
10.หัวใจห้องข้างขวาวายจะมีผลกับการทำงานของตับและการไหลเวียนของหลอดเลือดส่วนปลาย
11.หัวใจห้องซ้ายวายมีผลกระทบกับการทำงานของปอดและระบบหายใจ
การประเมินทางห้องปฏิบัติการ
Blood for electrolyte ผู้ป่วยหัวใจวายล้มเหลวมักมีอิเลคโตรไลค์ในเลือดไม่สมดุล
BUN, Cr และCrCl เพื่อดูการทำงานของไต
Urine analysis พบ โปรตีนรั่วและความถ่วงจำเพาะสูงขึ้น
Hb และ Hct ดูความภาวะโลหิตจางที่เป็นให้เกิดภาวะหัวใจวายได้
ABG ดูภาวะขาดออกซิเจน และภาวะกรดด่างในเลือด
ตรวจเอนไซม์ตับ และบิลิรูบิน ดูการทำงานของตับ
PT ดูการทำงานของตับในหัวใจวายระยะแรกๆ
ตรวจฮอร์โมน Thyroxine เพื่อดูการทำงานของต่อมไทรอยด์
ตรวจฮอร์โมน BNP (Brain natriuretic peptides) ถ้าพบสูงแสดงว่ามีภาวะหัวใจวาย
การตรวจพิเศษ
CXR เพื่อดูรูปร่างและขนาดของหัวใจ น้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด
Echocardiogram มีประโยชน์มากที่สุดในการวินิจฉัยภาวะหัวใจวาย เพราะสามารถประเมินการบีบตัวคลายตัวของหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจ การทำงานของห้องหัวใจ ความดันหัวใจ ขนาดหัวใจ ฯลฯ
EKG ดูความหนาของห้องหัวใจล่าง เยื่อหุ้มหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ฯลฯ หัวใจวายจะพบ QRS complex กว้างผิดปกติ
การวินิจฉัย
1.อาการทางคลีนิค จากการประวัติเช่น อาการเหนื่อย ทำงานไม่ได้นาน (Activity intolerance) หอบ ฯลฯ
2.ตรวจร่างกาย อาจพบ บวม เขียว Murmur, decreased breath sound, crepitation, S3 gallop
3.การตรวจพิเศษอื่น ๆ ได้แก่ EKG, Echocardiogram, cardiac catheterization
การพยากรณ์โรค
Acute CHF มีการตอบสนองต่อการรักษาดี และผลลัพธ์การรักษาได้ผลเชิงบวก
Chronic CHF มักพบว่ามีอวัยวะสำคัญถูกทำลายและมีภาวะแทรกซ้อน
การป้องกัน
ควบคุมระดับความดันโลหิตและปัจจัยสี่ยงอื่นๆ ที่มีผลต่อการกำเริบของโรคหัวใจ
การรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของอวัยวะต่าง ๆ
หัวใจห้องล่างซ้ายวาย (Left ventricular failure)
พยาธิสรีรภาพ
หัวใจห้องล่างซ้ายวายมักเกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้าย (Left ventricle) ไม่สามารถบีบเลือดที่มีออกซิเจน น้ำตาลและสารอาหารต่าง ๆ ไปเลี้ยงร่างกายได้ ทำให้มีอาการของเซลที่ได้รับเลือดไม่เพียงพอได้แก่ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย และชีพจรลดลง
อาการเหนื่อยง่ายจากหัวใจห้องล่างซ้ายวายเกิดจากการที่มีแรงต้านทานระหว่างหัวใจห้องบนซ้ายกับปอดและเนื้อเยื่อบริเวณโดยรอบในปอดทำให้เกิดหายใจลำบาก มีเสียง Crepitation ในปอด
มีปัสสาวะออกน้อย เนื่องจากร่างกายมีการเก็บน้ำไว้
หัวใจเต้นเร็วหรือไม่สม่ำเสมอ
สาเหตุ
จากภาวะความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคลิ้นหัวใจโดยเฉพาะลิ้นหัวใจ Aortic หรือ Mitral valve
ทำให้การบีบตัวของหัวใจล่างซ้ายไม่ดี ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจลดลง ทำให้เนื้อเยื่อได้รับเลือดไม่พอ มีการคั่งของเลือดในปอด รบกวนการทำงานของระบบหายใจ ทำให้มีอาการเนื่อยหอบ หายใจลำบาก
อาการ
มีอาการใจสั่น หอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก หายใจลำบากตอนกลางคืน (Paroxysmal nocturnal dyspanea/PND) ไอ หายใจลำบากเมื่อนอนราบ (Orthopnea) และมักพบหายใจลำบากในตอนกลางคืน ปัสสาวะออกน้อย ซีดเขียวคล้ำ ชีพจรเบา
มักตรวจพบหัวใจโต (Cardiomegaly)
อาการแทรกซ้อนที่บ่อยคือ น้ำท่วมปอดเฉียบพลัน (Acute pleural effusion) ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจถึงตายได้ ผู้ป่วยจะมีอาการเหนื่อยหอบรุนแรง ไอมาก บางครั้งเสมหะเป็นฟองสีชมพู นอนราบไม่ได้ หายใจมีเสียงวี๊ด ฟังปอดพบ Crepitation ฟังหัวใจ พบ S3 Gallop
อาการอื่น ๆ ที่อาจมีร่วมด้วยคือ เสียงแหบ และ ไอเป็นเลือด
หัวใจห้องล่างขวาวาย (Right ventricular failure)
เป็นภาวะที่หัวใจห้องล่างขวา ทำหน้าที่ลดลง ไม่สามารถบีบเลือดไปที่ปอดได้ ทำให้มีเลือดคั่งอยู่ในระบบไหลเวียน ส่งผลให้เลือดดำคั่งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายและมีอาการบวมที่แขนขา และท้อง
ผู้ป่วยที่หัวใจห้องล่างขวาวายมักมีหลอดเลือดที่คอโป่ง (JVD) จากการที่เลือดที่ไปเลี้ยงสมองและศีรษะไม่สามารถไหลกลับสู่หัวใจห้องบนขวาได้
น้ำหนักขึ้นจากการที่มีน้ำคั่งในร่างกาย ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน
สาเหตุ
กล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างขวาขาดเลือด หลอดเลือดปอดมีความดันโลหิตสูง หรือหัวใจล่างซ้ายวาย
อาการ
บวมที่ส่วนล่างของร่างกายทั้ง 2 ข้างกดบุ๋ม การบวมทั้งตัวอาจมีได้ในระยะสุดท้ายของหัวใจวาย มีตับ ม้ามโตและปวดแน่นท้องหรือเจ็บแปลบที่ท้องด้านขวาส่วนบน จากการที่มีเลือดคั่งที่ตับ มีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ท้องอืด
น้ำหนักตัวเพิ่ม มือ และนิ้วบวม
บวมที่ส่วนต่ำของร่างกาย เช่น ข้อเท้าก้นกบ และอวัยวะเพศ
ความดันโลหิตสูงเนื่องจากประมาณน้ำคั่งในร่างกายมาก
ความดันเลือดดำส่วนกลางสูง
Hepatojugular reflux ได้ผลบวก (ใช้มือกดตับนาน 1/2-1 นาที สังเกตเส้นเลือดที่คอโป่งหรือไม่)
ตรวจร่างกายพบหลอดเลือดดำที่คอโป่งพอง
การรักษา
ลดการทำงานของหัวใจ (Decreased work load of the heart) เช่น การลดกิจกรรม ให้พักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ
เพิ่มความสามารถในการบีบตัวของหัวใจห้องล่าง เพื่อเพิ่มปริมาตรเลือดที่หัวใจบีบออกจากหัวใจแต่ละครั้ง และแก้ไขปัญหาของอวัยวะเป้าหมายที่เกี่ยวข้องได้แก่ ไต เพื่อลดการคั่งของเลือด
การให้ออกซิเจน เพื่อเพิ่มออกซิเจนในเลือดและกล้ามเนื้อหัวใจ
ดูแลให้ยา เพื่อลด Preload และ afterload ของหัวใจ
5.การให้ยาเพิ่มประสิทธิภาพการบีบตัวของหัวใจ
6.การให้ยาขยายหลอดเลือด ได้แก่ ยากลุ่มไนโตรกลีเซอรีนและไนเตรต มีผลให้หลอดเลือดดำคลายตัวและมีฤทธิ์ทำให้ลดความต้องการออกซิเจนของกล้ามเนื้อหัวใจ
7.การบำบัดด้วยยาขยายหลอดเลือดแดง เช่น โซเดียมไนโตรปรัสไซด์ มีผลการขยายหลอดเลือดดำและแดง ลดการทำงานของหัวใจ
8.การปรับพฤติกรรม ได้แก่ การจำกัดน้ำ จำกัดเกลือ ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนัก และจำกัดแอลกอฮอล์
9.การบำบัดด้วยเครื่องมือ เช่น ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ ฯลฯ การผ่าตัดหัวใจรักษาที่สาเหตุ เช่น Coronary artery bypass, heart transplant
หลอดเลือดโป่งพอง Aneurysm
Aneurysm เป็นภาวะที่ผนังหลอดเลือดแดงหรือดำอ่อนแอ หรือการสะสมของไขมัน ทำให้ผนังหลอดเลือดบริเวณนั้นโป่งตึงรูปร่างคล้ายถุง (sac form) อาจพบใน สมอง ช่องท้อง ช่องอก ที่พบบ่อยคือ AAA ซึ่งอาจแตกได้ในกรณีที่มีความดันโลหิตสูง ทำให้ผู้ป่วยมีภาวะช็อคจากการเสียเลือดและมีโอกาสเสียชีวิต 50-90%
ตำแหน่งที่หลอดเลือดโป่งพองจะมีเลือดไหลมาเติมช่องว่างให้เต็ม โป่งตึง เสี่ยงแตก และตกเลือด
ปัจจัยเสี่ยงในผู้สูงอายุ และกลุ่ม Marfan syndrome สูบบุหรี่ HT โรคปอดเรื้อรัง
อาการ
ผู้ป่วยมักมาโรงพยาบาลด้วยอาการ คลำก้อนได้ที่หน้าท้องใต้ลิ้นปี่ ปวดท้องเรื้อรัง มีก้อนเต้นที่ท้องสัมพันธ์กับชีพจร ถ้ามีแรงดันในช่องท้อง การกดหรือกระแทกรุนแรง อาจทำให้เกิดการแตกได้
การรักษา
ถ้าหลอดเลือดแดงใหญ่ไม่โตมากให้เฝ้าระวังอาการ แต่ถ้าก้อนโตมากต้องพิจารณาผ่าตัดซึ่งมีภาวะแทรกซ้อนในระยะแรก คือ เสียชีวิต จาก เสียเลือด DIC, ARDS, renal failure ภาวะแทรกซ้อนระยะยาวคือ Graft, aorto-enteric fistula thrombosis และ infection
ถ้ามีอาการ แน่นหน้าอก ปวดหลัง หน้ามืด เป็นลมหรือไอเป็นเลือดให้ระวังการปริแตกของ Anuerysm ผู้ป่วยที่มาด้วยก้อนแตก ต้องผ่าตัดโดยด่วน มีอัตราการตายสูง
การพยาบาล
ควบคุมความดันโลหิต
งดบุหรี่
หลีกเลี่ยงการเบ่งถ่าย
ดูแลก่อนผ่าตัดและหลังผ่าตัด หลังผ่าตัดซ่อมแซมเส้นเลือดระมัดระวังไม่ให้หัวใจและเส้นเลือดแดงใหญ่ทำงานหนัก
สังเกตภาวะแทรกซ้อน
ลิ้นหัวใจไมตรัลตีบ (Mitral valve stenosis)
เกิดจากลิ้นหัวใจไมตรัลตีบแคบจากโครงสร้างของหัวใจที่ผิดปกติที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายหรือติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ลิ้นหัวใจเปิดได้ไม่เต็มที่ ทำให้การไหลของเลือดจากเอเตรียมซ้ายสู่เวนตริเคิลซ้ายไม่สะดวก
สาเหตุ
ไข้รูมาติกเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด การติดเชื้อรูมาติกในวัยเด็ก
พยาธิสภาพ
การอักเสบของลิ้นหัวใจทำให้เกิดความแข็ง หนา หดรัด ดึงรั้งของลิ้นหัวใจ ทำให้รูเปิดแคบลง เลือดไหลไม่สะดวกทำให้เกิดเลือดไหลวน ความดันในเอเตรียมซ้ายสูงขึ้น และหลอดเลือดแดงที่ปอดความดันสูงขึ้น ถ้าเป็นรุนแรงมากขึ้นจะทำให้มี Arial fibrillation เกิดลิ่มเลือดในเอเตรียมซ้าย และหัวใจล้มเหลว
อาการ
เหนื่อยล้า หายใจลำบากเวลาออกแรง นอนราบไม่ได้ หอบเหนื่อยกลางคืน ไอเป็นเลือด ตับโต ขาบวมกดบุ๋ม Atria fibrillation เขียว และ murmur
ประเมินสภาพ
ซักประวัติ อาการ อาการแสดง
ตรวจร่างกาย
ตรวจ EKG, Myocardial nuclear perfusion imaging, Echocardiogram, เอกซเรย์ปอด และการสวนหัวใจ
การรักษา
1.การใช้ยา ได้แก่ยาขับปัสสาวะและควบคุมโซเดียม
2.การผ่าตัด ขยายลิ้นหัวใจ (valve repair) ถ้าเป็นมากอาจต้องเปลี่ยนลิ้นหัวใจ (valve replacement)
3.การปรับพฤติกรรม ควบคุมอาหาร จำกัดเกลือ งดบุหรี่ สุรา การทำฟัน การออกแบบกิจกรรมที่เหมาะสมกับระยะของโรค
ลิ้นหัวใจไมตรัลรั่ว (Mitral valve regurgitation)
Mitral regurgitation เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจ บางครั้งเรียกว่า mitral valve regurgitation, mitral insufficiency หรือ mitral incompetence
มักเกิดขึ้นเมื่อลิ้นหัวใจไมตรัล (mitral valve) ปิดไม่สนิท ทำให้มีเลือดไหลย้อนกลับไปที่หัวใจเอตรียมซ้าย ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อและร่างกายไม่เพียงพอ ผู้ป่วยมักรู้สึกหนื่อยและมีอาการหอบ
สาเหตุ
มีหลายสาเหตุ ได้แก่ การติดเชื้อ การที่มีการเสื่อมของเนื้อเยื่อ ลิ้นหัวใจฉีกจากโรคบางโรค และการขยายตัวของหัวใจห้องล่าง
พยาธิสภาพ
ลักษณะคล้ายกับลิ้นไมตรัลตีบ แต่ต่างกันที่จากการที่ปิดไม่สนิททำให้เลือดไหลย้อนจากเวนตริเคิลซ้ายไปเอเตรียมซ้าย
ปริมาณเลือดที่รั่วมากน้อยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการรั่วและแรงต้านทานของหลอดเลือด
อาการ
ในระยะแรกไม่มีอาการ เมื่ออาการรุนแรงขึ้นจะพบหายใจลำบากขณะมีกิจกรรม เมื่อพักอาการจะหายไป ใจสั่น นอนราบไม่ได้ บวมกดบุ๋ม หลอดเลือดดำที่คอโป่งพอง อ่อนเพลียมาก ถ้ามีอาการรั่วเรื้อรังจะเกิดหัวใจห้องขวาวายตามมา
ประเมินสภาพ
จากประวัติ อาการแสดง ตรวจร่างกาย EKG, Myocardial nuclear perfusion imaging, Echocardiogram, เอกซเรย์ปอด และการสวนหัวใจ
การรักษา
ระยะไม่มีอาการ ถ้าเกิดจากไข้รูมาติก ให้ยาปฏิชีวนะป้องกันการกลับเป็นซ้ำ จำกัดกิจกรรม จำกัดเกลือและน้ำ
ระยะที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง ให้ยาขับปัสสาวะ digitalis ยาขยายหลอดเลือด ยากลุ่มไนเตรท, ACEI จำกัดเกลือ, แก้ไขภาวะหัวใจล้มเหลว
ระยะรุนแรง มักรักษาโดยการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ (valve replacement) เมื่อจำเป็น ลิ้นหัวใจเทียม (Mechanical valve) มี 2 แบบ ชนิดเป็นโลหะ (เกิดลิ่มเลือดได้มาก) และธรรมชาติ (เกิดลิ่มเลือด)
ลิ้นหัวใจเอออร์ตาตีบ (Aorta valve stenosis)
การอุดกั้นทำให้เกิดแรงต้านทานการบีบเลือดออกและความดันเวนตริเคิลซ้ายสูงขึ้นเพราะต้องส่งเลือดผ่านลิ้นหัวใจที่ตีบแคบ
เป็นภาวะที่ลิ้นเอออร์ต้าตีบแคบ เปิดไม่เต็มที่ ก่อให้เกิดการอุดกั้นการไหลของหลอดเลือดออกจากเวนตริเคิลซ้ายเข้าสู่เอออร์ต้า ในช่วงที่หัวใจบีบตัว
สาเหตุ
ส่วนใหญ่เกิดจากลิ้นหัวใจพิการแต่กำเนิด และความเสื่อมของลิ้นหัวใจจากหินปูนเกาะลิ้นหัวใจเมื่ออายุสูงขึ้น ติดเชื้อลิ้นหัวใจ หรือเป็นไข้รูมาติค ทำให้ลิ้นหัวใจหนา หดรัด มีหินปูนเกาะ
พยาธิสภาพ
อาการจะค่อยเป็นค่อยไปใช้เวลาหลายปี จนลิ้นหัวใจมีรูตีบเล็กจึงปรากฎอาการ
อาการ
เจ็บหน้าอกแบบ Angina หายใจลำบาก หมดสติเมื่อออกแรง อ่อนเพลีย ล้า นอนราบไม่ได้ มีเหนื่อยหอบกลางคืน เสียงหัวใจผิดปกติแบบ Harsh Crescendo-decrescendo ในช่วงหัวใจบีบตัว
ประเมินสภาพ
เหมือนโรคลิ้นหัวใจอื่นๆ การตรวจที่สำคัญและค่อนข้างแม่นยำคือ EKG, Myocardial nuclear perfusion imaging, Echocardiogram, เอกซเรย์ปอด และการสวนหัวใจ
การรักษา
ระยะแรกรักษาตามอาการ โดยให้ยาและปรับพฤติกรรม
ในระยะรุนแรง การผ่าตัดเป็นการรักษาที่ดีที่สุด ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการเจ็บหน้าอก Anginaและหมดสติ ต้องได้รับการแก้ไขทันที ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขจะมีอัตราการตายสูงขึ้น
ลิ้นหัวใจเอออร์ตารั่ว (Aorta valve regurgitation)
เป็นภาวะที่ลิ้นเอออร์ติก ปิดเชื่อมได้ไม่สมบูรณ์ขณะหัวใจคลายตัว ทำให้เลือดจากเอออร์ต้ารั่วย้อนกลับเข้ามา ในเวนตริเคิลซ้าย
สาเหตุ
เกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจและการติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจและหัวใจ ส่วนใหญ่เกิดจากไข้รูมาติค เชื้อแบคทีเรีย หรือ ซิฟิลิส
พยาธิสภาพ
มักเกิดจากเยื่อบุหัวใจอักเสบติดเชื้อ หลอดเลือดเอออร์ต้าฉีกขาด การบาดเจ็บของทรวงอก
อาการ
ใจสั่น หายใจลำบาก นอนราบไม่ได้ หายใจเหนื่อยตอนกลางคืน ล้า มีอาการเจ็บหน้าอก Angina หัวใจเต้นเร็ว มีเสียงฟู่แบบ Decrescendo ช่วงหัวใจคลายตัว
การประเมินสภาพ
เหมือนกับภาวะลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบแบบอื่น ๆ
การดูแลรักษา
ระยะแรกและปานกลางรักษาตามอาการร่วมกับปรับพฤติกรรม
ระยะรุนแรง การรักษาที่ได้ผลที่สุดคือการผ่าตัดใส่ลิ้นหัวใจเทียม (Valve replacement) (แบบโลหะและธรรมชาติ) การดูแลหลังผ่าตัดและการให้ยาเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดอัตราการตายและพิการจากการผ่าตัด
เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (Pericarditis)
เป็นภาวะที่เกิดจากการอักเสบติดเชื้อที่เยื่อหุ้มหัวใจ ผู้ป่วยมักจะมาด้วยอาการสำคัญคือ เจ็บหน้าอก ฟังเสียงหัวใจได้เสียง friction rub ตรวจคลื่นหัวใจผิดปกติ
สาเหตุ
1.ติดเชื้อ ได้แก่ เชื้อไวรัส แบคทีเรีย วันโรค เชื้อรา พยาธิ ไข้รูมาติก การติดเชื้อในร่างกาย หรือจากการไม่ติดเชื้อ ได้แก่ กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ภาวะยูรีเมีย
2.ปฏิกิริยาออโต้อิมมูนของร่างกาย ได้แก่โรค SLE, ไข้รูมาติค และหลังเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย 1-4 สัปดาห์ (Dessler’s syndrome)
3.การใช้ยา Procainamide, Hydralazine หรือ Phenytoin
4.การได้รับบาดเจ็บ (Trauma)
5.สารพิษ (Toxic agent) เช่น Lithium, cocaine, alcohol
6.การได้รับรังสี (radiation)
7.สารเคมี (chemicals)
พยาธิสภาพ
เกิดการอักเสบที่เยื่อหุ้มหัวใจ ซึ่งอาจเกิดฉียบพลันหรือเรื้อรัง
อาการ
ไข้ (Fever)
เจ็บหน้าอก (Chest pain) ร้าวไปแขน ไหล่ และคอ
หนาวสั่น (Chill)
ฟังหัวใจได้ยินเสียง rub หรือ Grating sound
หัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia)
ใจสั่น (Palpitation)
หายใจลำบาก (Dyspnea)
อ่อนล้า (Fatigue)
การประเมินสภาพ
1.ประวัติความเจ็บป่วย เช่น การรับประทานยาบางอย่าง อุบัติเหตุทรวงอก การฉายแสง การติดเชื้อ การถอนฟัน และการผ่าตัดทรวงอก เป็นต้น
2.อาการและอาการแสดงที่สำคัญคือ เจ็บหน้าอก (Precordial pain) เสียงเสียดสีของเยื่อหุ้มหัวใจ (Pericardial friction rub) หายใจลำบาก (Dyspnea) และอาการอื่นๆ เช่น ไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เหงื่อออก ไอ ปวดตามข้อ น้ำหนักลด เป็นต้น
3.ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ น้ำในเยื่อหุ้มหัวใจ (Pericardial effusion) และ หัวใจถูกกดทับ (Cardiac temponade)
4.การตรวจทางห้องปฎิบัติการ
CBC และ ESR ซึ่งมีค่าสูงมากขึ้นในกรณีมีการติดเชื้อที่เยื่อหุ้มหัวใจ
LE preparation และ ASO titer
Tuberculin test
BUN, Cr
5.การตรวจพิเศษอื่น ๆ
EKG คลื่นไฟฟ้าหัวใจมีการเปลี่ยนแปลงของ ST และ T นอกจากนี้ความสูงของ QRS complex ลดลงจากการมีน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจ บางครั้งอาจพบ Sinus trachycardia หรือ Fluster ได้
Film chest ถ้าเป็นน้อย ๆ จะไม่พบ แต่ถ้ามีน้ำมากกว่า 500 มล. จะพบหัวใจโตขึ้น
การรักษา
1.การใช้ยา NSAID, cochicin อาจให้ตัวเดียวหรือร่วมกัน สำหรับ Coricosteroid ให้เมื่อมีข้อบ่งชี้เท่านั้น
2.การระบาย (Drainage)
2.1 การเจาะน้ำออกจากเยื่อหุ้มหัวใจ (Pericardiocentesis)
2.2 การผ่าตัด (Open drainage) ได้แก่ pericardiectomy, pericardiocentesis, pericardial window placement, and pericardiotomy
3) การดูแลระบบไหลเวียนเลือดเพื่อเพิ่ม Cardiac output
3.1 ให้น้ำเกลือเพื่อเพิ่มปริมาตรเลือด
3.2 ให้ยากระตุ้นหัวใจ (Positive inotropic agent)
3.3 ติดตามวัดประเมินความดันโลหิตดำ ชีพจร (ดูภาวะ Paradoxical pulse) Echocardiogram
3.4 รักษาที่ต้นเหตุของ Cardiac temponade
การพยาบาล
1.ประเมินความผิดปกติระบบไหลเวียน โดยประเมินซ้ำเป็นระยะ ๆ
2.ติดตามการทำงานของหัวใจ
เตรียมและให้การพยาบาลก่อนและหลังการทำหัตถการ
การดูแลระบบไหลเวียนเลือดเพื่อเพิ่ม Cardiac output
5.ให้น้ำเกลือเพื่อเพิ่มปริมาตรเลือด
6.ดูแลให้ยากระตุ้นหัวใจ (Positive inotropic agent) ตามแผนการรักษา
7.ติดตามวัดประเมินความดันโลหิตดำ ชีพจร (ดูภาวะ Paradoxical pulse) Echocardiogram
8.ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis)
สาเหตุ
เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจเสียหายจากเชื้อโรคเช่น เชื้อไวรัส ได้แก่ Coxackiea, Coxackie b, Influeneae, Admovirws, CMV, EBV เป็นต้น
ส่วนเชื้อ Bacteria และเชื้อราก็พบได้ ในแง่ของสาเหตุของโรคอื่นๆ ก็พบได้จากโรคเนื้อเยื้อเกี่ยวพัน (Connective tissue disease) เช่นโรคลูปัส และอาจเกิดจากยาบางชนิดก็ได้
อาการ
อาการเหมือนไข้หวัดใหญ่ (Flu-live symptom) มีไข้ หนาวสั่น เหงื่อออกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อาเจียน และท้องเสีย และร่วมกับ อ่อนเพลียจนหมดเรี่ยวแรง
เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจเต้นช้า
ในระยะยาว อาจมีภาวะแทรกซ้อนต่อการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ จนเป็นภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรังได้
การวินิจฉัย
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG -electrocardiogram)
เอกซเรย์ปอด
เอนไซม์กล้ามเนื้อหัวใจ
การตรวจหัวใจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ
การตรวจหัวใจด้วยเครื่องแม่เหล็กหัวใจ (Cardiac magnetic resonance imaging)
ตัดตัวอย่างกล้ามเนื้อหัวใจไปตรวจภาวะการอักเสบของหัวใจ (Endomyocardial biopsy)
การรักษา
1.การช่วยเหลือการทำงานของหัวใจ โดยใช้เครื่องช่วยการทำงานของหัวใจ แบบพิเศษ (Intraaortic balloon pump หรือ Extracorporeal membrane oxygenation) รวมทั้งการให้ออกชิเจนเพื่อพยุงช่วยเหลือปอดและหัวใจ
2.การให้ยาคุ้มกันหรือยาต้านการอับเสบ การให้ยาดังกล่าวในผู้ป่วยที่ผล biopsy ยืนยันค่าเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจอับเสบจริง แล้วพบว่าอาการดีขึ้น
3.การให้ยารักษาภาวะกล้ามเนื้อหัวใจทำงานลดลง เช่น ยากลุ่มขยายหลอดเลือด (Vasodilator) เช่น ไนโตรกลีเซอรีน หรือ โซเดียมไนโตรปลัสไซด์
4.การรักษาโดยไม่ใช้ยา ได้แก่ การสังเกตการทำงานของหัวใจและระบบไหลเวียน การควบคุมน้ำ และการให้ออกซิเจนอย่างเพียงพอ
5.การผ่าตัด เช่น การผ่าตัดใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ หรือการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ เป็นต้น
เยื่อบุห้องหัวใจอักเสบ (Endocarditis)
เกิดจากการอักเสบติดเชื้อของเยื่อบุหัวใจชั้นใน (Endothelium) และลิ้นหัวใจ ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอาจถึงแก่ชีวิตได้ซึ่งเกิดได้ทั้งเฉียบพลัน และเรื้อรัง มีผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ มักเกิดภายหลังโรคติดเชื้อ เช่น ไวรัส แบคทีเรีย ริกเกตซีย เชื้อรา หรือ พยาธิ
สาเหตุ
ที่ทำให้เยื่อหุ้มหัวใจชั้นในอักเสบได้แก่ แบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อราที่พบส่วนใหญ่เป็นเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมักเข้าสู่กระแสเลือดได้ จากทางเข้าหรือแผลเปิดส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ซึ่งสาเหตุสำคัญคือ ไข้รูมาติค ไข้หวัดใหญ่ เยื่อหุ้มหัวใจชั้นในอักเสบ
อาการ
ในรายที่ไม่รุนแรง ไม่มีอาการแสดง อาการทั่วไปจะเริ่มจาก อ่อนเพลีย ไข้ เม็ดเลือดขาวสูง คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว เจ็บหน้าอกหายใจลำบาก ถ้ามีอาการมากขึ้นจะมีภาวะหัวใจวายร่วมด้วย
ในรายที่มีอาการรุนแรงจะตรวจพบความผิดปกติของ T-wave
ประเมินสภาพ
1.ประวัติความเจ็บป่วย
2.การตรวจร่างกาย
3.การตรวจพิเศษอื่น ๆ
การรักษา
ให้ยาเพิ่มการบีบรัดตัวของหัวใจ เช่น Digitalis
ให้ยาขับปัสสาวะ
ให้ยาต้านการติดเชื้อจนครบเนื่องจากต้องให้ยาเป็นระยะเวลายาวนาน
ติดตามการทำงานของหัวใจ
ดูแลช่วยเหลือกิจกรรมเนื่องจากผู้ป่วยมีภาวะ Activity intolerance
ให้ข้อมูลการปฏิบัติตน การออกกำลังกาย การรับประทานยา การมีเพศสัมพันธ์ ฯลฯ
นางสาวกนกวรรณ จันทร์น้อย เลขที่1 รหัส 612501001 :<3: