Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยภาวะฉุกเฉิน และการจําแนกผู้ประสบสาธารณภัย (Triage) -…
การพยาบาลผู้ป่วยภาวะฉุกเฉิน
และการจําแนกผู้ประสบสาธารณภัย (Triage)
3.4 การพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินในระบบหัวใจ
และหลอดเลือด
โรคหัวใจขาดเลือด(Ischemicheartdisease,IHD)
STelevationacutecoronarysyndrome
Non ST elevation acute coronary syndrome
กลุ่มอาการเจ็บเค้นอก
อาการเจ็บแน่นหรืออึดอัดบริวณหน้าอก หรือปวดเมื่อย หัวไหล่หรือปวดกราม หรือจกุ บริเวณลิ้นปี่ เป็นมากขณะออกกําลังซึ่ง อาการเจ็บเค้นอก ที่เป็นลักษณะเฉพาะของโรคหัวใจขาดเลือดคืออาการ เจ็บหนักๆเหมือนมีอะไรมาทับหรือรัดบริวณกลางหน้าอกใต้กระดูกsternumอาจมีร้าวไปบริเวณคอกรามไหล่ และ แขนทั้งสอง ข้างโดยเฉพาะข้างซ้ายเป็นมากขณะออกกําลังเป็นนานครั้ง ละ2-3 นาทีเมื่อนั่งพักหรืออมยา nitroglycerin อาการจะทุเลาลง
เหนื่อยง่ายขณะออกแรง
ปรากฏอาการต่อเนื่องคือ อาการเหนื่อยขณะออกกําลังกาบ เกิดขึ้นเฉียบพลันภายใน1–2สัปดาห์ เช่น โรคกล้ามเนื้อหัว ใจตายเฉียบพลัน, โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เฉียบพลัน,โรคที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันหรืออาจเกิดจากโรคปอดเช่นโรคปอดติดเชื้อ,โรคหอบ หืด,โรคลิ่มเลือดอุดตันในปอดเฉียบพลัน
กลุ่มอาการของภาวะหัวใจล้มเหลวทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง
กลมุ่อาการที่เกิดจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันผู้ป่วยกลุ่มนี้มาด้วยอาการเหนื่อยซึ่งเกิดขึ้นอย่าง เฉียบพลันหายใจหอบนอนราบไม่ได้แน่นอึดอัดหายใจเข้าไม่เต็มปอดอาจมีอาการเจ็บเค้นอกร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้
มีภาวะหวั ใจล้มเหลวเป็นๆ หายๆ มาเป็นเวลานานส่วน หนึ่งจะ เกิดจากโรคหลอดเลือดหัวใจที่มีพยาธิสภาพกระจายกว้าง หรือเคยเป็นกล้ามเนื้อหัวใจ ตายขนาดใหญ่ อาการของผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีอาการที่เกิดจากหัวใจล้มเหลวทั้งซีกซ้ายและซีกขวาเช่นนอนราบไม่ได้ต้องตื่น ขึ้นมากลางดึก
มีตับโตขาบวม
อาการเนื่องจากความดันโลหิตต่ำเฉียบพลัน
เนื่องจากภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันอาจทําใหป้ระสทิธิภาพการบบีตัวของหัวใจลดลงอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้ความดันโลหิตลดต่ำลงจนเกิดอาการ หน้ามืด เวียนศีรษะเป็นลม ร่วมกับอาการแน่นหน้าอก
ซึ่งจัดเป็น ภาวะแทรกซ้อนทพี่บบ่อยในผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
เป็นบริเวณกว้าง
อาการหมดสติหรือหัวใจหยุดเต้น
ผู้ป่วยหัวใจขาดเลือดอาจมาด้วยภาวะแทรกซ้อนที่
ทำให้เกิดอาการหมดสติหรือหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน
จนอาจถึงขั้นเสียชีวิตถ้าไม่ได้รับการกู้ชีพทันท่วงทีประมาณ ครึ่งหนึ่ง
ของการเสียชีวิตเนื่องจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจ
ตายเฉียบพลันเกิดขึ้นก่อนผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาล
การรักษา
การช่วยหายใจ
ต้องทําการกระตุกไฟฟ้าหัวใจด้วยพลังงานสูงสุดสลับกับการกู้ชีพเบื้องต้น ในผู้ป่วยที่คลื่นไฟฟ้าหัวใจ แสดงลักษณะVentriculartachycardiaหรือventricularfibrillation
ควรพิจาณาใส่สายกระตุ้นหัวใจชั่วคราว(temporarypacemaker)
ในผู้ป่วยที่มีทางเดินไฟฟ้าหัวใจ ติดขัดระดับ 3 (3rd degree AV block) ร่วมกับความ ดันโลหิตต่ำจนเกิดภาวะช็อกซึ่ง
ไม่สามารถแก้ไขได้โดยการ ให้สารน้ําหรือยาเพมิ่ความดันโลหิตได้
ควรให้การรักษาเพื่อแก้ไขภาวะช็อก
ในผู้ป่วยที่ระบบไหลเวียนโลหิตฟื้น
กลับมาทํางานได้หลังการกู้ชีพ
แต่ความดันโลหิตต่ำและยัง อยู่ ในภาวะช็อก
ควรพิจารณาให้การรักษาภาวะหัวใจขาดเลือดหาก
สามารถวินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีภาวะ หัวใจขาดเลอืดร่วมด้วย
โดยคํานึงถึงประโยชน์ที่ผู้ป่วยได้รับและสภาพผู้ป่วยในขณะนั้น
บทบาทของพยาบาลฉุกเฉินในการดูแลผู้ป่วยระยะวิกฤติ
ประเมินสภาพผู้ป่วยอย่างรวดเร็วโดยเริ่มจากการซักประวัติผู้ป่วยที่สงสัยมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาด เลือดเฉียบพลันต้องซักประวัติอย่างรวดเร็วเพื่อค้นหาหลักฐานของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดซึ่งการซักประวัติตาม หลัก OPQRST
1)O:Onsetระยะเวลาที่เกิดอาการเช่นอาการเกิดขึ้นอย่างไรขณะเกิดอาการผู้ป่วยกาลงัทาอะไร เพื่อให้ทราบว่าอาการเกิดขึ้นนานแค่ไหนเป็นเฉียบพลันหรือเรื้อรัง
2) P: Precipitate cause สาเหตุชักนําและการทุเลา เช่น อะไรทําให้ อาการดีขึ้น อะไรทําให้อาการแย่ลง
3)Q:Qualityลักษณะของอาการเจ็บอกเช่นมีอาการอย่างไรเจ็บแน่นเหมือนมีอะไรมาบีบรัดหรือเจ็บ แปล๊บ ๆ
4) R: Refer pain ส าหรบั อาการเจ็บร้าว อาจ ให้ผู้ป่วยชี้ด้วยนิ้วว่าเจ็บตรงไหน เจ็บร้าวไปที่ไหนตำปหน่งใดบ้าง
5)S:Severityความรุนแรงของอาการเจ็บแน่นอกหรือ Painscore
6) T: Time ระยะเวลาที่เป็น หรือเวลาที่เกิดอาการที่ แน่นอน
ปวดนานกี่นาที นอกจากนี้ตรวจติดตามสัญญาณชีพ และ
เตรียมพร้อมสําหรับการกู้ชีพ
ประสานงานตามทีมผู้ดูแลผู้ป่วยกลุ่มหัวใจขาดเลือดเฉยีบพลันใหก้ารดูแลแบบช่องทางด่วนพิเศษ
ACS fast track โดยใช้ clinical pathway หรือ care map เป็นแนวทางในการดูแล ผู้ป่วย รวมถึงให้การดูแลกับ ครอบครัวและญาติของผู้ป่วย
ในภาวะวิกฤติและฉกุเฉินที่มีความกังวล
ให้ออกซิเจน เมื่อมีภาวะ hypoxemia
(SaO2 < 90% or PaO2 < 60 mmHg)
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจและการแปลผล พยาบาลต้อง ตัดสินใจตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจทันที โดยทํา พร้อมกับการ ซักประวัติ เพราะต้องอ่านแปลผลภายใน 10 นาที10,16 พร้อมกับ รายงานแพทย์ อ่านแปลผล ร่วมกัน
เฝ้าระวังอาการและอาการแสดงของการเกิด cardiac arrest เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดัน โลหิตต่ำติดตามประเมินสัญญาณชีพและEKGmonitoringสงัเกตอาการเหงื่อแตกตัวเย็นซีดเขียวปัสสาวะ
ออกน้อยความรู้สกึตัวเปลี่ยนแปลงเตรียมรถemergencyและเครื่องdefibrillatorให้พร้อมใช้งาน
การพยาบาลกรณี EKG show ST elevation หรือพบ LBBB ที่เกิดขึ้นใหม่ พยาบาลต้องเตรียม ผู้ป่วยเพอื่เข้ารับการรักษาโดยการเปิดหลอดเลือดโดยเร่งด่วนโดยแพทย์จะเลือกวิธีการรักษาโดยทําPrimaryPCI เป็นอันดบั แรก ในกรณีสถานพยาบาลนั้นมีความพร้อม (PCI center) การทํา Primary PCI สามารถทําได้ถึง 48 ชั่วโมงแม้ว่าจะมีอาการหรือไม่มีอาการก็ตามกรณีสถานพยาบาลไม่มีPCIcenterพจิารณาreferส่งไปทํา PrimaryPCIสถานพยาบาลอื่นที่พร้อมโดยให้พิจารณาระยะเวลาในการเคลอื่นย้ายผู้ป่วยถึงจุดหมายไม่เกิน120 นาทีถ้าทันเวลาสามารถทาPCIได้ภายใน90นาทีถ้าระยะเวลาในการเคลอื่นย้ายผปู้่วยนานกว่า120นาทีไม่ แนะนาให้เคลอื่นย้ายไปแต่จะพจิารณาให้fibrinolysisdrugภายใน10นาที
พยาบาลต้องประสานงาน จัดหาเครื่องมือประเมินสภาพและดูแลรักษาผู้ป่วยให้เพียงพอทั้งปริมาณ และคุณภาพเพื่อให้ปฏิบัติงานได้สะดวกรวดเร็วและสอดคล้องกับแนวทางการดูแลรักษาที่กำหนดได้แก่
เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจประจาหอ้งฉุกเฉินเครื่องตรวจระดับน้ำตาลในเลือดจากปลายนิ้วเครื่องตรวจ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ยาและเวชภัณฑ์
เตรียมความพร้อมของระบบสนับสนุนการดูแลรักษาเช่นระบบเวชระเบียนระบบสอื่สารการตรวจ ทางห้องปฏิบัตกิารระบบสนับสนุนต้องรับรู้เป็นแนวทางเดียวกันและให้ความสาคัญกบัความเร่งด่วนสามารถ ให้บริการได้ทันทีและพร้อมตลอดเวลา
ปรับปรุงระบบส่งต่อผู้ป่วยให้รวดเร็วและปลอดภัย โดยกำหนดส่งต่อ
ผู้ป่วยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาด เลือดเป็นอันดับแรก
Pulmonary embolism (PE)
พยาธิสภาพ
PEเป็นภาวะที่เกิดจากการที่มีลิ่มเลือดเกิดขึ้นในหลอดเลือดดําและหลุดไปอุดที่หลอดเลือดที่ปอด (venousthromboembolismหรือVTE)โดยมากมักเกิดที่บริเวณหลอดเลือดดําที่ขามีส่วนน้อยที่เกิดบริเวณ หลอดเลอืดดําที่แขนกลไกทำให้เกิดลิ่มเลือด
(1) การไหลเวียน ของเลือดลดลงเกิดจากร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว(immobilization) เป็นเวลานาน
(2)มีความผิดปกติของเลือดที่ทําให้เกิดลิ่มเลอืดได้ง่าย(hypercoagulablestates)
(3)มผีนังหลอดเลือดดําทค่ผิดปกตเกิดจากมีlocaltraumaหรือมีการอักเสบก้อนลิ่มเลือด
ปัจจัยเสี่ยง
การผ่าตัดในระยะ12สัปดาห์ที่ผ่านมา
โรคมะเร็ง
เคยเป็นdeepveinthrombosis(DVT)หรอื PEมาก่อน
ประวัติครอบครัวเป็นDVTหรือ PE
immobilizationนานเกิน3วันใน4สัปดาห์ที่ผ่านมา
ระยะหลังคลอด3สัปดาห์ หรือ มีการใช้estrogen
บริเวณขาใน12สัปดาห์ที่ผ่านมาภาวะhypercoagulabilityชนิดacquired
อาการแสดงทางคลินิก
ผู้ป่วยมักจะมีอาการหายใจหอบเหนื่อยมากอย่างกะทันหันใจสั่นแน่นหน้าอก(pleuriticpain)บางราย มีอาการหน้ามืดเป็นลมหรือหมดสติ
พบไม่บ่อยกับอาการจไอเป็นเลือดซึ่งเกิดจากการที่มีการตายของเนื้อปอด ตรวจร่างกาย ผู้ป่วยมักหายใจเร็ว มีระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ (hypoxemia) หัวใจเต้นเร็ว และ มีหลอด เลือดดําที่คอโป่ง (elevated jugular venous pressure) ฟังปอดมักปกตหรืออาจฟังได้เสียงวี๊ด (wheezing) ใน หลอดลมบางครั้งอาจได้ยินเสียงการเสียดสีของเยื่อหุ้มปอด(pleuralrub)
แนวทางการวินิจฉัยและการส่งตรวจห้องปฏิบัตการ
การซักประวัติตรวจร่างกาย สามารถจะบอกถงึ ความน่าจะเป็น (pretest probability) ของ PE ได้ โดยใช้ wells scoring system
การถ่ายภาพรังสีทรวงอก(chestX-ray)
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (12 leads-ECG) ส่วนใหญ่พบว่าหัวใจเต้นเร็ว (sinus tachycardia) ลักษณะมี deep S-wave ใน lead I และมี Q-wave และ T-inversion ใน lead III พบได้ไม่บ่อย แต่มีความจําเพาะค่อนข้างมาก นอกจากนี้อาจ พบมี T-inversion ใน leads V1 -V3 ได้และ right bundle branch block (CRBBB) บ่งบอกว่า หัวใจห้องล่างขวาทําางานผิดปกติ (right ventricular dysfunction)
คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiography) จะพบมีลักษณะของ
right ventricular dysfunction
การตรวจระดบัก๊าซในเลือดแดง(arterialbloodgas,ABG)
ค่า biomarkers ต่างๆ ที่พบว่าสูงกว่าปกติ ได้แก่ D-dimer ซึ่งเกิดจากการที่ fibrin ถูกย่อยสลายโดย plasminบ่งบอกว่ามีกระบวนการสลายลมิ่เลือดเกิดขึ้นภายในร่างกาย(endogenousthrombolysis)
ถ้าค่าD- dimerปกติจะสามารถexcludeการวินิจฉัยPEออกไปได้แต่หากค่าที่วัดได้สูงกว่าปกติก็สนับสนุนว่า น่าจะเป็นPEอย่างไรก็ตามพบว่า
ค่าD-dimerนี้จะไม่จำเพาะสาหรับPEเท่านั้นแต่อาจพบได้ในโรค อื่นๆเช่นกล้ามเนื้อหัวใจตายปอดอักเสบติดเชื้อในกระแสเลือดมะเร็งหญิงตั้งครรภ์ช่วงไตรมาสที่2และ3 และหลังการผ่าตัดใหม่
Troponin-Iหรือ TและPro-Brain-typenatriureticpeptideอาจสูงกว่าปกติได้บ่งบอกว่ามีการ ตายของกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างขวา (right ventricular infarction) และ RV overload ซึ่งสัมพันธ์กับการ พยากรณ์โรคที่ไม่ดีสําหรับการตรวจเพื่อยืนยันการวินิจฉัยPEได้แก่ventilationperfusion(V/Q)scanและ/ หรือ spiral computerized tomography (CTA) ทั้งสองวิธีก็มีข้อดีและข้อจํากัดแตกต่างกัน ข้อดีของ V/Q scan คือใช้ปริมาณรังสีและสารทึบแสง(contrast)ที่น้อยกว่าแต่ผลอาจจะไม่แน่ชัดหากผู้ป่วยมีความผดิปกตขิอง ปอดอยู่ เดิม และผลของ V/Q scan จะรายงานออกมาเป็นโอกาสความน่าจะเป็น (probability) ในขณะที่การทำ CTA จะสะดวกกว่า ในกรณีที่ฉุกเฉิน และมีความแม่นย า โดยเฉพาะสงสัยว่ามีล้ามเลือดขนาดใหญ่ที่ขั้วปอดหรือบริเวณแขนงส่วนต้นในปอด (subsegment) ซึ่งจะเห็นชัดเจน
การรักษา
Anticoagulationผู้ป่วยส่วนมากในกลมุ่นี้จะได้รับการรักษาโดยการให้anticoagulation
Thrombolytictherapyมกัจะเก็บไว้ในผู้ป่วยที่มีกรณีmassivepulmonaryemboliที่มีระบบหัวใจ และปอดทํางานผิดปกติมีผลกับ haemodynamic อย่างรุนแรง การรักษาDVTนั้นคือการให้heparinในหลอดเลือดดําในช่วงแรกและการให้ยาCoumadinต่ออีกเวลา ประมาณ 3 เดือน ส่วนในผู้ป่วยที่มีการเกิด PE ซ้ำแล้วซ้ำอีก อาจจะ พิจารณาการให้ยา Anticoagulation ตลอด ชีวิต
Caval filter คือการใส่ตะแกรงกรอง embolism ใน inferior vena cava ตัวกรองเหล่านี้จะเป็นตัว เก็บ ก้อนเลือด
3.5การพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉิน
ในระบบทางเดินอาหาร
การบาดเจ็บช่องท้อง
Blunt injury หรือการบาดเจ็บที่กิดจากแรงกระแทก พบร้อยละ 70 ของผู้ป่วยที่บาดเจ็บช่องท้อง เกิดจากอุบัติเหตุรถชน หรือตกจากที่สูง มักเกิดการบาดเจ็บหลายแห่งร่วมกัน (multiple injuries)
เช่นการบาดเจ็บทรวงอก ศีรษะ แขนขา เป็นต้น อวัยวะที่พบได้บ่อยได้แก่ การบาดเจบ็ ของตบั ม้าม การ วินิจฉัยยากกว่าชนิดที่มีบาดแผลทะลุ เนื่องจากมีอาการแสดงช้า การวินิจฉัยช้า ทําให้การรักษาผ่าตัดช้า พบว่าร้อยละ40ที่ตรวจไมพ่บในครงั้แรกดังนั้นผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงต้องตรวจติดตามอาการของผู้ป่วยเป็น ระยะผู้ป่วยกลุ่มนี้มีอัตราการตายร้อยละ10-30
Penetratingtraumaหรอืการบาดเจ็บทเี่กิดจากของมีคมทะลุเป็นแผลนั้นพบรอ้ยละ30 แบ่งออกเป็นGunshortwoundส่วนใหญ่ต้องรับการผ่าตดัหากบาดแผลอยู่ใกล้ทรวงอกหรือบาดเจบ็ ร่วมกับทรวงอกส่วนในรายทมี่ีบาดแผลบรเิวณหลงัอาจทําการวินิจฉัยก่อนผ่าตัดStabwoundหากพบ วัตถุคาอยู่อย่าดึงออก พบว่า 1/3 ถูกแทงแต่ไม่ทะลุ peritoneum 2/3 เกิดอาการแทงทะลุ peritoneum พบว่าลําไสเ้ลก็ได้รับบาดเจ็บมากทสีุ่ดรองลงมาคือตับและลําไส้ใหญ่
ลักษณะและอาการแสดงของการได้รับบาดเจ็บบริเวณช่องท้อง
อาการปวดเมื่อเกิดบาดแผลการปวดเกิดได้2กรณีคือปวดจากการฉีกขาดของผนัง หน้าท้องและอวัยวะภายในได้รับอันตราย เช่นการปวดจาก ตับ ม้ามฉีกขาดจะปวดท้องช่วงบน กดเจ็บ และร้าวไปที่ไหล่
การกดเจ็บเฉพาะที่หรือการเกรง็ของกล้ามเนื้อท้องเป็นอาการแสดงให้ทราบถึงการตก เลือด และมีอวัยวะภายในบาดเจ็บ
ท้องอืด เป็นอาการบ่งบอกถึงการได้รบั บาดเจบ็ ของ ตับ ม้าม และเส้นเลือดใหญ่ ในท้อง
ไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของลําไส้
ผู้ป่วยที่เกิดภาวะช็อกที่ไม่เห็นรอ่งรอยของการเสียเลือดเมื่อการช่วยเหลอืไม่ดีขึ้นให้ คํานึงถึงการตกเลือดในอวัยวะภายในช่องท้อง
ภาวะฉุกเฉินผู้ป่วย Blunt abdominal trauma
ภาวะเลือดออก สาเหตุของการเกิด ภาวะเลือดออกในช่องท้อง Blunt abdominal trauma คือเกิดการเสียเลือดเป็นผลมาจากการฉีกขาดของอวัยวะภายใน
ภาวะฉีกขาดทะลุ (Perforate) อวัยวะที่เป็นโพรงและเกิดการปนเปื้อนของสิ่งที่อยู่ในช่อง ท้อง ได้แก่การบาดเจบ็ หลอดอาหาร การบาดเจบ็ ของกระเพาะอาหาร การบาดเจ็บของลําไส้เล็ก ลําไส้ ใหญ่ เป็นต้น ในกลุ่มนี้ทําให้มีการรั่วของอาหาร น้ําย่อยเข้าไปในช่องท้องเกิดภาวะการอักเสบติดเชื้อในช่อง ท้องทําใหเ้กิดการอักเสบทั่วช่องทอ้ง
การพยาบาลเบื้องต้นในผู้ป่วยภาวะฉุกเฉินจากบาดเจ็บบริเวณช่องท้อง
1.การประเมินผู้ป่วยแยกเป็น2กลุ่มคือผู้ป่วยที่มีhypotensionเพื่อวินจิฉัยว่า เกิดจากการบาดเจ็บช่องท้องหรอืไม่ซึ่งแพทย์มีเวลาจํากัดส่วนอีกกลุ่มนั้นอาการแสดงยงัไม่ชัดเจน สามารถตรวจทางห้องปฏิบัติการ และสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด
ผู้ป่วยบาดเจบ็ช่องท้องควรได้รับการประเมินและวินิจฉัยอย่างเร็วที่สุดโดยเฉพาะอาการซีด ท้องอืดตึง เป็นอาการที่แสดงว่าเกิด Severe hemorrhage ในช่องท้อง จาก internal organ injury ทําให้ผู้ป่วยเกิดภาวะ Hypovolemic Shock ตามมา
1)Primarysurveyการประเมินเบื้องต้นอย่างรวดเร็ว เพื่อค้นหาปัญหาสําคัญจะทําให้ ผู้บาดเจ็บเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ไม่ควรใช้เวลาเกิน 1 นาทีการประเมินที่สําคัญ
A. Airway maintenance with Cervical Spine control มีการประเมินภาวะของ airway obstruction, foreign bodies, facial, mandibular or tracheal/laryngeal fracture
โดยต้อง ระวังการบาดเจ็บของC-spineเสมอและให้ระลึกเสมอว่าผู้ป่วยที่มกีารบาดเจ็บรุนแรงให้เสมือนว่ามกีาร
บาดเจบ็ ของ C-spine ไว้ก่อนจนกว่าจะพิสูจน์ได้ชัด
B. Breathing and ventilation การประเมินภาวะการหายใจของผู้ป่วยอย่างรวดเร็วใน ช่วงแรกที่มาถึงโรงพยาบาล โดยดูภาวะ Apnea ภาวะupper airway obstruction
C.Circulationwithhemorrhagiccontrolเป็นการประเมินการเสียเลอืดหรือภาวะ Hypovolemicshockอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่กี่วินาทโีดยดูจากlevelofconscious,skincolor โดยดูจากภาวะ capillary filling time โดยการกดดูปลายนิ้ว และสังเกตดูสีตรงบริเวณที่กดซึ่งปกตจิ ะต้อง กลับมาเป็นสีชมพูภายใน3วินาที,pulseดูว่าเร็วเบาหรอืไม่และทําการควบคุมexternalhemorrhage โดยกดบริเวณที่มีเลือดออก
D. Disability: Neurologic status คือการประเมิน neurological status
E.Exposure/Environmentcontrolคือการถอดเสื้อผา้ของผู้ป่วยเพื่อตรวจหาร่องรอย บาดแผลที่ชัดเจน แต่ต้องระวังภาวะ Hypothermia ด้วย
2.Resuscitation เป็นการแก้ไขภาวะ immediate life threatening conditions ที่พบใน Primary survey
Secondarysurveyเป็นการตรวจอย่างละเอียด(headtotoe)เพื่อให้ได้รบัการวินิตฉัยว่า ผู้บาดเจ็บไดร้ับบาดเจบ็ที่อวัยวะใดบ้างจะทําหลังจากResuscitationแล้วใช้หลักการซกัประวัติตรวจ ร่างกายและการตรวจเพอื่การวินจิฉัยอื่นที่เหมาะสม
Definitivecareเมื่อไดร้ับการวินิจฉัยแล้วเป็นการรักษาที่เหมาะสมอาจ
นําผู้ป่วยไปผ่าตัด หรือเพียงแค่ Medication แล้วแต่พยาธิสภาพ ในศาสตร์ของอุบัติเหตุ จัดลําดับความสําคัญ ของ safe life เป็นอันดับแรกเมื่อรอดชีวิตแล้ว safe organ ต่อมา safe function