Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การใช้กระบวนการพยาบาลในการดูแลผู้ใหญ่ที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับความผิดปกติข…
การใช้กระบวนการพยาบาลในการดูแลผู้ใหญ่ที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับความผิดปกติของการไหลเวียนเลือด
โรคเกี่ยวกับหัวใจ
ภาวะหัวใจวาย (Heart failure)
สาเหตุ
โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery disease)
หัวใจทำงานหนักเกินไป (Abnormal loading condition)
กล้ามเนื้อหัวใจมีการทำหน้าที่ผิดไป (Abnormal muscle function)
ความผิดปกติของห้องหัวใจล่างซ้ายจากเหตุต่าง ๆ
พยาธิภาพ
กล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างอ่อนแรงทำให้ไม่สามารถรับเลือดจากร่างกายเข้าสู่หัวใจและบีบเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้เพียงพอ
ความผิดปกติทำให้เกิดการเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้เวลาในการรับเลือดน้อยลง (Filling time)
อาการ
ซีด เขียวคล้ำ (Cyanosis)
บวมจากความดันเลือดส่วนปลายเพิ่มขึ้น (Edema)
ความทนต่อการทำกิจกรรมลดลง เหนื่อยง่าย (Activity intolerance)
มึนศีรษะ วิงเวียน สับสน
คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ท้องบวมน้ำ ตับโต (Right ventricular heart failure)
หายใจเหนื่อยกลางคืน นอนราบไม่ได้
ปัสสาวะน้อยลง
การวินิจฉัยโรค
การตรวจร่างกาย
บวม เขียว Murmur, decreased breath sound, crepitation, S3 gallop
การประเมินทางห้องปฏิบัติการ
Blood for electrolyte
BUN, Cr และCrCl
Urine analysis
Hb และ Hct
ABG
ตรวจเอนไซม์ตับ และบิลิรูบิน
การตรวจพิเศษ
CXR
Echocardiogram
EKG
อาการทางคลีนิค
อาการเหนื่อย ทำงานไม่ได้นาน
การป้องกัน
ควบคุมระดับความดันโลหิตและปัจจัยสี่ยงอื่นๆ ที่มีผลต่อการกำเริบของโรคหัวใจ
การรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของอวัยวะต่าง ๆ
การรักษาและการพยาบาล
ลดการทำงานของหัวใจ (Decreased work load of the heart)
เพิ่มความสามารถในการบีบตัวของหัวใจห้องล่าง
การให้ออกซิเจน เพื่อเพิ่มออกซิเจนในเลือดและกล้ามเนื้อหัวใจ
ดูแลให้ยา เพื่อลด Preload และ afterload ของหัวใจ
การให้ยาเพิ่มประสิทธิภาพการบีบตัวของหัวใจ
การให้ยาขยายหลอดเลือด
การบำบัดด้วยยาขยายหลอดเลือดแดง
การปรับพฤติกรรม
การบำบัดด้วยเครื่องมือ
หัวใจห้องล่างซ้ายวาย (Left ventricular failure)
พยาธิสภาพ
ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้าย (Left ventricle) ไม่สามารถบีบเลือดที่มีออกซิเจน น้ำตาลและสารอาหารต่าง ๆ ไปเลี้ยงร่างกายได้
อาการ
หายใจลำบากตอนกลางคืน (Paroxysmal nocturnal dyspanea/PND)
ไอ หายใจลำบากเมื่อนอนราบ (Orthopnea)
มักพบหายใจลำบากในตอนกลางคืน
ปัสสาวะออกน้อย ซีดเขียวคล้ำ ชีพจรเบา
มักตรวจพบหัวใจโต (Cardiomegaly)
อาการแทรกซ้อน
น้ำท่วมปอดเฉียบพลัน (Acute pleural effusion)
บางครั้งเสมหะเป็นฟองสีชมพู
หายใจมีเสียงวี๊ด ฟังปอดพบ Crepitation ฟังหัวใจ พบ S3 Gallop
สาเหตุ
ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคลิ้นหัวใจโดยเฉพาะลิ้นหัวใจ Aortic หรือ Mitral valve
การบีบตัวของหัวใจล่างซ้ายไม่ดี ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจลดลง ทำให้เนื้อเยื่อได้รับเลือดไม่พอ มีการคั่งของเลือดในปอด
หัวใจห้องล่างขวาวาย (Right ventricular failure)
หัวใจห้องล่างขวา ทำหน้าที่ลดลง ไม่สามารถบีบเลือดไปที่ปอดได้ ทำให้มีเลือดคั่งอยู่ในระบบไหลเวียน ส่งผลให้เลือดดำคั่งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
สาเหตุ
กล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างขวาขาดเลือด หลอดเลือดปอดมีความดันโลหิตสูง หรือหัวใจล่างซ้ายวาย
อาการ
บวมที่ส่วนล่างของร่างกายทั้ง 2 ข้างกดบุ๋ม การบวมทั้งตัวอาจมีได้ในระยะสุดท้ายของหัวใจวาย
น้ำหนักตัวเพิ่ม มือ และนิ้วบวม
มีตับ ม้ามโตและปวดแน่นท้องหรือเจ็บแปลบที่ท้องด้านขวาส่วนบน
Hepatojugular reflux ได้ผลบวก
หลอดเลือดโป่งพอง Aneurysm
ภาวะที่ผนังหลอดเลือดแดงหรือดำอ่อนแอ หรือการสะสมของไขมัน ทำให้ผนังหลอดเลือดบริเวณนั้นโป่งตึงรูปร่างคล้ายถุง (sac form)
อาการ
คลำก้อนได้ที่หน้าท้องใต้ลิ้นปี่ ปวดท้องเรื้อรัง
มีก้อนเต้นที่ท้องสัมพันธ์กับชีพจร ถ้ามีแรงดันในช่องท้อง การกดหรือกระแทกรุนแรง อาจทำให้เกิดการแตกได้
ปัจจัยเสี่ยง
ในผู้สูงอายุ และกลุ่ม Marfan syndrome สูบบุหรี่ โรคปอดเรื้อรัง
การรักษา
หลอดเลือดแดงใหญ่ไม่โตมากให้เฝ้าระวังอาการ
ถ้าก้อนโตมากต้องพิจารณาผ่าตัด
การพยาบาล
ควบคุมความดันโลหิต
งดบุหรี่
หลีกเลี่ยงการเบ่งถ่าย
ดูแลก่อนผ่าตัดและหลังผ่าตัด หลังผ่าตัดซ่อมแซมเส้นเลือดระมัดระวังไม่ให้หัวใจและเส้นเลือดแดงใหญ่ทำงานหนัก
สังเกตภาวะแทรกซ้อน
โรคเกี่ยวกับลิ้นหัวใจตีบ/รั่ว (Valvular Heart Disease)
ลิ้นหัวใจไมตรัลตีบ (Mitral valve stenosis)
เกิดจากความเสื่อมของร่างกายหรือติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ลิ้นหัวใจเปิดได้ไม่เต็มที่ ทำให้การไหลของเลือดจากเอเตรียมซ้ายสู่เวนตริเคิลซ้ายไม่สะดวก
สาเหตุ
ไข้รูมาติกเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด การติดเชื้อรูมาติกในวัยเด็ก
พยาธิสภาพ
การอักเสบของลิ้นหัวใจทำให้เกิดความแข็ง หนา หดรัด ดึงรั้งของลิ้นหัวใจ ทำให้รูเปิดแคบลง เลือดไหลไม่สะดวกทำให้เกิดเลือดไหลวน
อาการ
เหนื่อยล้า หายใจลำบากเวลาออกแรง
นอนราบไม่ได้ หอบเหนื่อยกลางคืน
ไอเป็นเลือด ตับโต
ขาบวมกดบุ๋ม Atria fibrillation เขียว และ murmur
การวินิจฉัย
ซักประวัติ อาการ อาการแสดง
ตรวจร่างกาย
ตรวจ EKG, Myocardial nuclear perfusion imaging, Echocardiogram, เอกซเรย์ปอด และการสวนหัวใจ
การรักษาและการพยาบาล
เป้าหมายคือ ลดอาการหอบเหนื่อยจากหัวใจล้มเหลว
การใช้ยา ได้แก่ยาขับปัสสาวะและควบคุมโซเดียม
การผ่าตัด ขยายลิ้นหัวใจ (valve repair)
การปรับพฤติกรรม ควบคุมอาหาร จำกัดเกลือ งดบุหรี่ สุรา
ลิ้นหัวใจเอออร์ตาตีบ (Aorta valve stenosis)
สาเหตุ
เกิดจากลิ้นหัวใจพิการแต่กำเนิด และความเสื่อมของลิ้นหัวใจจากหินปูนเกาะลิ้นหัวใจเมื่ออายุสูงขึ้น ติดเชื้อลิ้นหัวใจ หรือเป็นไข้รูมาติค ทำให้ลิ้นหัวใจหนา หดรัด มีหินปูนเกาะ
พยาธิสภาพ
อาการจะค่อยเป็นค่อยไปใช้เวลาหลายปี จนลิ้นหัวใจมีรูตีบเล็กจึงปรากฎอาการ
ลิ้นเอออร์ต้าตีบแคบ เปิดไม่เต็มที่ ก่อให้เกิดการอุดกั้นการไหลของหลอดเลือดออกจากเวนตริเคิลซ้ายเข้าสู่เอออร์ต้า ในช่วงที่หัวใจบีบตัว
อาการ
เจ็บหน้าอกแบบ Angina
หายใจลำบาก
หมดสติเมื่อออกแรง อ่อนเพลีย ล้า
เสียงหัวใจผิดปกติแบบ Harsh Crescendo-decrescendo ในช่วงหัวใจบีบตัว
การวินิจฉัย
EKG, Myocardial nuclear perfusion imaging, Echocardiogram
เอกซเรย์ปอด และการสวนหัวใจ
การรักษาและการพยาบาล
ระยะแรกรักษาตามอาการ โดยให้ยาและปรับพฤติกรรม
ระยะรุนแรง การผ่าตัดเป็นการรักษาที่ดีที่สุด
ลิ้นหัวใจเอออร์ตารั่ว (Aorta valve regurgitation)
สาเหตุ
เกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจและการติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจและหัวใจ
เกิดจากไข้รูมาติค เชื้อแบคทีเรีย หรือ ซิฟิลิส
พยาธิสภาพ
เกิดจากเยื่อบุหัวใจอักเสบติดเชื้อ หลอดเลือดเอออร์ต้าฉีกขาด การบาดเจ็บของทรวงอก
ความดันในเวนตริเคิลสูงมาก ทำให้ลิ้นไมตรัลปิดก่อนกำหนด
การขยายห้องหัวใจและเยื่อหุ้มหัวใจ ทำให้ความตึงตัวผนังหัวใจเพิ่มขึ้น เวนตริเคิลซ้ายจึงหนาตัวขึ้น ทำให้ความสามารถในการบีบตัวเอาเลือดออกลดลง
อาการ
ใจสั่น หายใจลำบาก
หายใจเหนื่อยตอนกลางคืน
อาการเจ็บหน้าอก Angina
เสียงฟู่แบบ Decrescendo ช่วงหัวใจคลายตัว
การวินิจฉัยโรค
เหมือนกับภาวะลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบแบบอื่น ๆ
การรักษาและการพยาบาล
ระยะแรกและปานกลางรักษาตามอาการร่วมกับปรับพฤติกรรม
ระยะรุนแรง การรักษาที่ได้ผลที่สุดคือการผ่าตัดใส่ลิ้นหัวใจเทียม (Valve replacement)
ลิ้นไมตรัลรั่ว (Mitral regurgitation/insufficiency)
ลิ้นหัวใจไมตรัล (mitral valve) ปิดไม่สนิท ทำให้มีเลือดไหลย้อนกลับไปที่หัวใจเอตรียมซ้าย ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อและร่างกายไม่เพียงพอ
สาเหตุ
การติดเชื้อ
การที่มีการเสื่อมของเนื้อเยื่อ ลิ้นหัวใจฉีกจากโรคบางโรค
การขยายตัวของหัวใจห้องล่าง
พยาธิสภาพ
ลักษณะคล้ายกับลิ้นไมตรัลตีบ แต่ต่างกันที่จากการที่ปิดไม่สนิททำให้เลือดไหลย้อนจากเวนตริเคิลซ้ายไปเอเตรียมซ้าย
อาการ
ระยะแรกไม่มีอาการ
าการรุนแรงขึ้นจะพบหายใจลำบากขณะมีกิจกรรม เมื่อพักอาการจะหายไป
ใจสั่น นอนราบไม่ได้
ถ้ามีอาการรั่วเรื้อรังจะเกิดหัวใจห้องขวาวายตามมา
หลอดเลือดดำที่คอโป่งพอง
การวินิจฉัยโรค
EKG, Myocardial nuclear perfusion imaging, Echocardiogram
เอกซเรย์ปอด และการสวนหัวใจ
การรักษาและการพยาบาล
ระยะไม่มีอาการ ถ้าเกิดจากไข้รูมาติก ให้ยาปฏิชีวนะป้องกันการกลับเป็นซ้ำ จำกัดกิจกรรม จำกัดเกลือและน้ำ
ระยะที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง ให้ยาขับปัสสาวะ digitalis ยาขยายหลอดเลือด ยากลุ่มไนเตรท, ACEI จำกัดเกลือ, แก้ไขภาวะหัวใจล้มเหลว
ระยะรุนแรง มักรักษาโดยการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ (valve replacement)
โรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจและเยื่อหุ้มหัวใจ
เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (Pericarditis)
เกิดจากการอักเสบติดเชื้อของเยื่อบุหัวใจชั้นใน (Endothelium) และลิ้นหัวใจ
สาเหตุ
แบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา
ส่วนใหญ่เป็นเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมักเข้าสู่กระแสเลือดได้
ไข้รูมาติค ไข้หวัดใหญ่ เยื่อหุ้มหัวใจชั้นในอักเสบ
พยาธิสภาพ
กลุ่มของเกล็ดเลือดไฟบริน และเชื้อก่อโรคซึ่งเรียกว่า Vegetation ซึ่งก้อนเลือดเล็กๆ ที่ติดเชื้อเหล่านี้เมื่อหลุดลอยเข้ากระแสเลือดจะมีโอกาสไปอุดตันที่อวัยวะต่างๆ
ทำให้เลือดออกจากหัวใจลดลง และเกิดลิ่มเลือดไปอุดตันอวัยวะต่าง ๆ เช่น ปอด ไต และสมอง
อาการและอาการแสดง
อ่อนเพลีย ไข้ เม็ดเลือดขาวสูง คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว
ตรวจพบความผิดปกติของ T-wave
การวินิจฉัยโรค
ประวัติความเจ็บป่วย
การตรวจร่างกาย
การประเมินสถานภาพทางหัวใจและการไหลเวียน
ฟังเสียงหัวใจ ส่วนใหญ่จะได้ยินเสียงฟู่ ฟังเสียงหัวใจอาจพบ Gallop sound หรือ Pericardial rub
อุดตันของลิ่มเลือดที่เกิดจากการที่หัวใจบีบตัวไม่ดี เช่น ผิวหนัง จอภาพในตา
การตรวจพิเศษอื่น ๆ
Film chest, Echocardiogram และ การสวนหัวใจ
การตรวจเพาะเชื้อจากเลือด
หาปฏิกิริยาภูมิแพ้
การรักษาและการพยาบาล
ให้ยาเพิ่มการบีบรัดตัวของหัวใจ
ให้ยาขับปัสสาวะ
ให้ยาต้านการติดเชื้อจนครบ
ติดตามการทำงานของหัวใจ
ดูแลช่วยเหลือกิจกรรม
ให้ข้อมูลการปฏิบัติตน
กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis)
สาเหตุ
เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจเสียหายจากเชื้อโรคเช่น เชื้อไวรัส ได้แก่ Coxackiea, Coxackieb, Influeneae
ส่วนเชื้อ Bacteria และเชื้อราก็พบได้
อาการ
มีอาการคล้ายเป็นหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ไปจนถึงการมีภาวะน้ำท่วมปอดที่รุนแรง
อาการเหมือนไข้หวัดใหญ่ (Flu-live symptom) มีไข้ หนาวสั่น เหงื่อออกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อาเจียน และท้องเสีย
เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจเต้นช้า
ในระยะยาว อาจมีภาวะแทรกซ้อนต่อการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ จนเป็นภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง
การวินิจฉัย
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG -electrocardiogram)
เอกซเรย์ปอด
เอนไซม์กล้ามเนื้อหัวใจ
การตรวจหัวใจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ
การตรวจหัวใจด้วยเครื่องแม่เหล็กหัวใจ
ตัดตัวอย่างกล้ามเนื้อหัวใจไปตรวจภาวะการอักเสบของหัวใจ
การรักษาและการพยาบาล
การช่วยเหลือการทำงานของหัวใจ โดยใช้เครื่องช่วยการทำงานของหัวใจ แบบพิเศษ
การให้ยาคุ้มกันหรือยาต้านการอับเสบ
การให้ยารักษาภาวะกล้ามเนื้อหัวใจทำงานลดลง
การรักษาโดยไม่ใช้ยา
การผ่าตัด
การผ่าตัดใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ หรือการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ
เยื่อบุห้องหัวใจอักเสบ (Endocarditis)
สาเหตุ
ติดเชื้อ ได้แก่ เชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือจากการไม่ติดเชื้อ ได้แก่ กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
ปฏิกิริยาออโต้อิมมูนของร่างกาย ได้แก่ โรค SLE, ไข้รูมาติค และหลังเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย 1-4 สัปดาห์ (Dessler’s syndrome)
การใช้ยา Procainamide, Hydralazine หรือ Phenytoin
Trauma
Toxic agent
radiation
chemicals
พยาธิสภาพ
การอักเสบของเยื่อหุ้มหัวใจทำให้เกิดไฟบรินและน้ำเกินบริเวณเยื่อหุ้มหัวใจ
ความจุหัวใจลดลง ความดันรอบหัวใจสูงขึ้น
อาการ
Fever
Chill
Tachycardia
Palpitation
เจ็บหน้าอก (Chest pain) ร้าวไปแขน ไหล่ และคอ
ฟังหัวใจได้ยินเสียง rub หรือ Grating sound
การวินิจฉัย
ประวัติความเจ็บป่วย
อาการและอาการแสดง
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
การตรวจทางห้องปฎิบัติการ
การตรวจพิเศษอื่น ๆ EKG
การรักษา
การใช้ยา NSAID, cochicin อาจให้ตัวเดียวหรือร่วมกัน
การระบาย (Drainage)
Pericardiocentesis
Open drainage
pericardiectomy
pericardiocentesis,
การดูแลระบบไหลเวียนเลือดเพื่อเพิ่ม Cardiac output
การพยาบาล
ประเมินความผิดปกติระบบไหลเวียน โดยประเมินซ้ำเป็นระยะ ๆ
ติดตามการทำงานของหัวใจ
เตรียมและให้การพยาบาลก่อนและหลังการทำหัตถการ
การดูแลระบบไหลเวียนเลือดเพื่อเพิ่ม Cardiac output
ให้น้ำเกลือเพื่อเพิ่มปริมาตรเลือด
ดูแลให้ยากระตุ้นหัวใจ
ติดตามวัดประเมินความดันโลหิตดำ ชีพจร
ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
หัตถการเกี่ยวกับหัวใจ
การสวนหัวใจ (Coronary angioplastry)
การใส่สายสวนที่มี Balloon ตรงปลาย ผ่านทางผิวหนังเข้าสู่เส้นเลือดหัวใจเพื่อขยายหลอดเลือด Coronary artery
วิธีการทำ
ใส่สายสวนผ่านผิวหนังอาจเป็นบริเวณข้อมือ ขาหนีบ หรือข้อเท้า ผ่านไปจนถึงหลอดเลือดหัวใจ coronary ที่ตีบ
ทำบอลลูนเพื่อขยายบริเวณที่ตีบ
ใส่ Stent เพื่อป้องกันหลอดเลือดตีบซ้ำ
การพยาบาลก่อนทำการสวนหัวใจ
เจาะเลือด x ray หัวใจ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ
ต้องงดน้ำและอาหารหลังเที่ยงคืน
สื่อสารกับแพทย์ได้ โรคประจำตัว ยาที่รับประทาน โดยเฉพาะยาละลายลิ่มเลือด
ต้องงดยาก่อน NSAID, ASA
การพยาบาลหลังทำ
นอนราบประมาณ8 ชั่วโมง
สังเกตอาการอย่างใกล้ชิด
ควรจะรับประทานอาหารที่เป็นน้ำ หรือของเหลว
ผู้ป่วยอาจกลับบ้านได้ภายในวันที่ตรวจ หรืออาจต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาล 1-2 วัน ขึ้นกับอาการของผู้ป่วย
Coronary artery bypass graft (CABG)
การผ่าตัด ตัดต่อเส้นเลือดเพื่อให้กล้ามเนื้อหัวใจมีเลือดไปเลี้ยงอย่างเพียงพอ
ผู้ป่วยมีหลอดเลือดหัวใจตีบอย่างรุนแรง มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอย่างรุนแรง และ เจ็บหน้าอก ไม่ตอบสนองการรักษาด้วยยา
การรักษาพยาบาลก่อนทำ CABG (3-6 ชั่วโมง)
ให้สารละลายทางหลอดเลือดดำ
ให้ยา sedative ทางปากหรือหลอดเลือดดำ
ให้ยาระงับความรู้สึก GA
ใส่ท่อช่วยหายใจ
สวนปัสสาวะค้าง
ขณะผ่าตัด CABG
เปิดช่องอก sternum และ rib
ใช้เครื่องช่วยพยุงการทำงานของหัวใจและปอด
นำเส้นเลือดที่เหมาะสมมาตัดต่อเป็น Bypass
เมื่อเสร็จสิ้นใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจให้ทำงานต่อ
การพยาบาลหลังทำ CABG
ย้ายเข้า ICU
ติดตามการทำงานของหัวใจตลอดเวลา
Controlled heart rate และ hemodynamic
ดูแลสาย Chest tube
ดูแลทางเดินหายใจ และทางเดินปัสสาวะ
ผ่าตัดเปิดหัวใจ (Open heart Surgery)
การพยาบาลหลังผ่าตัด
รับไว้ดูแลที่หอผู้ป่วยหนัก
ตรวจดูแผลผ่าตัด/ท่อระบายต่างๆ
ประเมินผู้ป่วยอย่างน้อยทุก 1-2 ชั่วโมง
อาการผิดปกติที่ต้องเฝ้าระวัง
การหายใจผิดปกติ
การเต้นของหัวใจผิดปกติ
ความดันโลหิตสูง/ต่ำ
การเสียเลือด: แผล/ภายใน
กิจกรรมที่ทำได้เมื่อกลับไปอยู่บ้าน
ให้ทำกิจกรรมเท่ากับขณะอยู่ในโรงพยาบาลและรักษาระดับกิจกรรมที่ทำนี้ไปอีก 2 สัปดาห์
หลีกเลี่ยงการยกของหนักเกิน 5 กิโลกรัม
ระวังการแบะหน้าอกในช่วงที่รอการติดของกระดูกหน้าอก
ดูแลแผลผ่าตัดป้องกันติดเชื้อ
กินยาละลายลิ่มลาย หรือยาต้านเกล็ดเลือดอย่างต่อเนื่อง
การพยาบาลก่อนผ่าตัด
เตรียมข้อมูลผู้ป่วย ประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจพิเศษอื่น ๆ
Warfarin งดยา 3-5 วัน ก่อนผ่าตัด
ตรวจ Antiplatelet, Aspirin, Clopidogrel, Non-Steroid Anti-Inflammatory Agents [NSAID] ให้งดยาก่อนผ่าตัด 7-10 วัน
การเตรียมผิวหนัง
การสวนอุจจาระ
การงดน้ำและอาหาร
ยาช่วยคลายความเครียด
การผ่าตัดลิ้นหัวใจ (Prosthetic Heart Valve Replacement)
เพื่อขยายรูลิ้นหัวใจให้กว้างขึ้นเท่ากับรูลิ้นปกติ หรือซ่อมแซม รูรั่ว หรือทดแทนลิ้นหัวใจที่ผิดปกติซึ่งไม่สามารถขยายหรือซ่อมแซมได้สำเร็จ
ลิ้นหัวใจเทียมที่ใช้มี 2 ชนิด
(Mechanical prostheses หรือ Prosthetic valve )
Tissue protheses)
การพยาบาลผู้ที่ผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ
การพักผ่อน อย่างน้อย 8 – 10 ชั่วโมง ในระยะ 1 เดือนแรก
การออกกำลังกายตามความสามารถของผู้ป่วย
ผู้ป่วยสามารถทำงานได้หลังผ่าตัด 6 สัปดาห์
ลดโซเดียมเพื่อป้องกันการคั่งของสารน้ำ เพิ่มปริมาณโปรตีน วิตามิน
สอนให้สังเกตอาการแสดงที่มาพบแพทย์ เช่น น้ำหนักเพิ่ม ผิวหนังตึง ข้อเท้าบวม ไอบ่อย
เพศสัมพันธ์ มีได้เมื่อทำกิจวัตรประจำวันโดยไม่มีอาการเหนื่อย
การตั้งครรภ์ ในช่วง 3 เดือนแรกหลังผ่าตัด ไม่แนะนำให้ตั้งครรภ์
ป้องกันการติดเชื้อของลิ้นหัวใจเทียม ควรป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจ
การรับประทานยา ลิ้นหัวใจเทียมโลหะ ต้องรับประทานยากันเลือดแข็งตัว
นางสาวมนต์สิกานต์ รักษ์สัตย์ รหัสนักศึกษา 612501060