Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลบุคคลที่มีความบกพร่องของสติปัญญาและภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง - Coggle…
การพยาบาลบุคคลที่มีความบกพร่องของสติปัญญาและภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง
โรคพาร์กินสัน
เป็นโรคที่รู้จักกันครั้งแรกในวงการแพทย์ในปี พ.ศ.2360หรือเกือบ 200 ปีมาแล้ว โดยนายแพทย์เจมส์ พาร์กินสัน ชาวอังกฤษ เป็นผู้รายงานโรคพาร์กินสันเป็นคนแรก
สาเหตุ
ร่างกายขาดสารโดปามีนในสมอง พบได้บ่อยในผู้สูงอายุทั้งชายและหญิง
เกิดจากการเสื่อมและตายไปของเซลล์สมองที่สร้างสารโดปามีน จนไม่
สามารถสร้างสารโดปามีนได้เพียงพอ สารโดปามีนนี้มีความสำคัญต่อการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย
อาการ
อาการสั่น(tremor)
สั่นมากเวลาอยู่นิ่งๆ แต่ถ้าเคลื่อนไหวหรือยื่นมือทำอะไรอาการสั่นจะลดลงหรือหายไป
กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง (rigidity)
-จะทำให้รู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อของร่างกาย โดยเฉพาะแขนขาและลำตัวทั้งที่ไม่ได้เคลื่อนไหวหรือทำงานหนักแต่อย่างใด
กล้ามเนื้อของร่างกายจะมีความตึงตัวสูงและเกร็งแข็งอยู่ตลอดเวลาจนบางคนต้องกินยาแก้ปวดเมื่อยหรือหายามาทาบรรเทาตามร่างกายส่วนต่างๆ หรือหาหมอนวดมาช่วยบีบคลายเส้นเป็นประจำ
มักมีอาการแข็งตึงของแขนขา และลำตัว ทำให้เคลื่อนไหวลำบากเนื่องจากอาการปวดตามกล้ามเนื้อ
เคลื่อนไหวช้า (brady kinesia)
ในระยะแรกๆ จะรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรช้าลงไปจากเดิมมากไม่กระฉับกระเฉงว่องไวเหมือนเดิม เดินช้า และงุ่มง่าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะต้นๆ ของการเคลื่อนไหว
ในรายที่เป็นมากขึ้นอาจพบว่าหกล้มบ่อยๆ จนกระดูกต้นขาหัก
สะโพกหัก หลังเดาะ แขนหัก หัวแตก เป็นต้น
ในรายที่เป็นมากอาจเดินเองไม่ได้ต้องใช้ไม้เท้า หรือคนคอยพยุง
อาการทรงตัวลำบาก (postural instability
การรักษา
ขณะนี้ยังไม่มีวิธีการรักษา
การรักษาโดยการใช้ยา
1.1 ยาที่ช่วยชะลออาการ (neuroprotective therapy) จะช่วยชะลอการดำเนินไปของโรค เช่น ยา elegiline (Deprenyl) จะใช้บ่อยมักใช้ควบคู่ไปกับยา Levodopa จะช่วยป้องกันการทำลายโดปามีนในสมอง
1.2 รักษาตามอาการ ได้แก่ anticholinergic ใช้สำหรับอาการสั่นLevodopa ช่วยในการทดแทนสารสื่อประสาทที่ลดน้อยลง
3 การรักษาด้วยการทำกายภาพบำบัด
4.การผ่าตัดสมอง
การวินิจฉัยการพยาบาล
มีระดับการช่วยเหลือตนเองลดลงเนื่องจากการเคลื่อนไหวบกพร่อง
ความสามารถในการสื่อสารบกพร่องเนื่องจากอาการสั่นหรือหดเกร็งของกล้ามเนื้อริมฝีปากหรือลิ้น
ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอเนื่องจากกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการเคี้ยวและการกลืนอ่อนแรง สั่นหรือหดเกร็ง
ผู้ป่วยและญาติขาดความรู้เรื่องโรคและการรักษา
Alzheismer’s
สาเหตุ
ไม่ทราบแน่ชัด
ปัจจัยเสี่ยง
อายุ พบว่า ผู้ป่วยส่วนมากอายุ 65 ปีขึ้นไป แต่ก็มีบ้างบางกรณีที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการตอนอายุ 40 ปีปลายๆ
ประวัติการป่วยภายในครอบครัว
ป่วยด้วยโรคดาวน์ซินโดรมหรือพากินสัน (Down's syndrome/Parkinson's disease)
อาการและอาการแสดง
อาการทางเชาวน์ปัญญา (cognitive aspect) เช่น ความจำเสื่อมลงมีความผิดปกติด้านการใช้ภาษา การคิด การใช้เหตุผล การรับรู้ลดลง หรือมีการตัดสินใจบกพร่อง
พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงร่วมกับอาการทางจิต (behavioural and psychological symptom of dementia) ได้แก่ การมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง เช่น ก้าวร้าว ไม่อยู่นิ่ง เดินละเมอ
การวินิจฉัยโรค
การซักประวัติจากญาติที่ดูแล
การตรวจร่างกาย
และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ตรวจเลือด
เอ็กซเรย์สมองด้วยคอมพิวเตอร์, คลื่นแม่เหล็ก (MRI)
การรักษา
โรคนี้ยังไม่มีการรักษาที่แท้จริง
-การรักษาส่วนใหญ่เพื่อบรรเทาอาการที่เกิดขึ้น เช่น การท ากายภาพบ าบัด
การรับประทานอาหารที่เหมาะสม การจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม จะช่วยให้
ผู้ป่วยอาการดีขึ้น และสามารถปฏิบัติตัวได้ดีขึ้น
-การให้ยาสามารถช่วยลดความกังวล จะช่วยให้ผู้ป่วยนอนหลับและสามารถท า
กิจกรรมต่างๆ ได้ ปัจจุบันมียา 2 ชนิด ที่ อย. ของสหรัฐอเมริกา อนุญาตให้ใช้ในโรคนี้คือ tacrine (Cognex),donepezil hydrochloride (Aricept)
การวินิจฉัยการพยาบาล
การดูแลตนเองบกพร่องเนื่องจากความจำเสื่อมไม่สามารถแยกได้ถึงความเหมาะสมกันหรือไม่เหมาะสมในการ แต่งกาย การกิน การเข้าห้องน้ำ
มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรงต่อตนเองและผู้อื่นเนื่องจากความผิดปกติของเชาวน์ปัญญา
สูญเสียทักษะการเข้าสังคมเนื่องจากความผิดปกติของเชาวน์ปัญญา
ผู้ดูแลมีภาวะเครียดเนื่องจากภาระในการดูแลและพฤติกรรมของผู้ป่วย
การพยาบาล
ประเมินความสามารถของผู้ป่วยในการทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ถ้าไม่สามารถทำได้พยาบาลต้องช่วยดูแล
จัดสิ่งแวดล้อมให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอ วางแผนจัดกิจกรรม ตอนกลางวันให้เหมาะสม เพื่อจะได้นอนหลับได้ในตอนกลางคืน
พยาบาลต้องหมั่นตรวจสอบร่างกายผู้ป่วยอยู่เสมอ ควรบันทึกพฤติกรรมตั้งแต่แรกรับ สังเกตการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เกิดขึ้น เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ป่วยต่อไป
การตรวจสอบกิจกรรมของผู้ป่วยอยู่เสมอ จะช่วยให้พยาบาลจัดสิ่งแวดล้อมได้เหมาะสม เช่น พื้นที่ลื่น ทางเดินไม่สะดวก ถ้าไม่มีข้อห้ามพยาบาลต้องช่วยให้ผู้ป่วยออกกำลังกาย
ป้องกันการกระตุ้นผู้ป่วยมากเกินไป หลีกเลี่ยงการให้งานที่ก่อความวิตกกังวล
ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการซึมเศร้า อ่อนล้า ถอยหนีจากสิ่งแวดล้อม แยกตัว พยาบาล ต้องประเมินเหตุแห่งความซึมเศร้า เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยพูดระบายความรู้สึก
Multiple sclerosis
สาเหตุ
ภูมิคุ้มกัน
การอักเสบติดเชื้อจากไวรัส
กรรมพันธุ์
4.สภาพแวดล้อมยังไม่ทราบปัจจัยที่แน่นอน
อาการและอาการแสดง
1.แขนขาอ่อนแรง เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด กล้ามเนื้อหดเกร็ง(spasticity) ของขา ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการอัมพาตท่อนล่าง รีเฟล็กซ์ไวกว่าปกติ(hyperreflexia) มี Babinski’s sign ทั้ง 2 ข้าง
พูดตะกุกตะกัก (dysarthria) ลูกตากระตุก (nystagmus) อาการสั่นเมื่อตั้งใจ (intention termor)
การรับความรู้สึกผิดปกติรวมถึงอาการชาและอาการเสียวแปลบของแขนขา ลำตัวหรือใบหน้า อาจมีอาการเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต
กล้ามเนื้อใบหน้าส่วนครึ่งล่างอ่อนแรง มีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อใบหน้าซีกใดซีกหนึ่ง ปวดประสาทใบหน้า(trigeminal neuralgia) อาการกลืนลำบาก พบได้ในผู้ป่วยระยะก้าวหน้าของโรคเนื่องจากมีรอยโรคในซีรีเบลลัม
การเห็นผิดปกติ เห็นภาพซ้อน ภาพมัว หรือสายตาเสื่อมลง อาจเป็นได้ทั้งข้างเดียวหรือ 2 ข้าง ลานสายตาผิดปกติ
ระบบการขับถ่ายเสียหน้าที่ การขับถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะผิดปกติ เช่น การกลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวกระปริบกระปรอย
ความผิดปกติทางด้านอารมณ์และจิตใจที่พบบ่อยได้แก่ อาการซึมเศร้า ความจำเสื่อม มีอาการทางจิตประสาท
การวินิจฉัยโรค
1.จากอาการเฉพาะที่ทางคลินิคที่ปรากฎให้ชัดเจน
การเจาะหลังพบ ระดับ grammar globulin ในน้ำไขสันหลังมีค่าสูง รวมทั้งโปรตีนและเม็ดเลือด
CT scan จะพบการเปลี่ยนแปลง ฝ่อลีบ หรือเหี่ยว
การตรวจคลื่นสมอง อาจพบความผิดปกติได้
การรักษา
การให้ ACTH(adrenocorticotrophic hormone), Prednisolone,
Dexamethasone เพื่อลดภาวะบวมของมัยอิลิน
การรักษาทางยา ส่วนใหญ่แพทย์จะให้ยาลดอาการกล้ามเนื้อกระตุก
ให้ยาลดสภาพของอารมณ์ที่ไม่มั่นคง เช่น Diazepam
การทำกายภาพบำบัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เดินออกกำลังกายปกติและการเดินออกกำลังกายในสระน้ำเพื่อการบำบัด
การพยาบาล
ส่งเสริมและช่วยเหลือให้ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหว ออกก าลังกายและฝึกการใช้กล้ามเนื้อต่างๆ
ช่วยเอื้ออ านวยให้ผู้ป่วยสามารถปรับตัวต่อภาวะเครียดที่เกิดขึ้นจากผลของโรค
ป้องกันปัญหาและภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ปัญหาที่พบบ่อย คือ ปัญหาการปัสสาวะไม่ออก ท้องผูก
ดูแลให้ผู้ป่วยพักผ่อนได้เต็มที่ ตลอดจนช่วยเหลือในด้านความสุขสบายต่างๆ เนื่องจากผู้ป่วยจะมีปัญหานอนไม่หลับ
ระมัดระวังอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากผู้ป่วยมีปัญหาการมองเห็นภาพซ้อน ตากระตุก พยาบาลควรจัดสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย ยกไม้กั้นเตียงขึ้นเสมอ
Guillain-barre syndrome (GBS)
สาเหตุ
-การติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ
-การติดเชื้อของระบบทางเดินอาหาร
-คางทูม หัด อีสุกอีใส
ภายหลังการได้รับวัคซีนโรคไข้หวัดใหญ่
อาการและอาการแสดง
อาการทางด้านประสาทรับความรู้สึก จะปรากฎหลังจากมีการติดเชื้อ 1-3 สัปดาห์ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการชาเหน็บ (Tingling) และเจ็บโดยเฉพาะปลายแขนขา หลังจากนั้น 1-4 วัน จะมีอาการปวด และกดเจ็บของกล้ามเนื้อ แล้วจึงมีอาการอ่อนแรงตามมา
อาการของกล้ามเนื้ออ่อนแรง มักจะเกิดอาการอ่อนแรง ตามหลังอาการชา มักเริ่มด้วยขา อ่อนแรง เดินลำบาก อาการอ่อนแรงจะลุกลามอย่างรวดเร็ว จะเริ่มจากขา ลุกลามขึ้นมาที่แขนและล าตัว เมื่อมีการลุกลามไปยังกล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจ มักจะทำให้เกิดปัญหาการหายใจล้มเหลว
อาการลุกลามของประสาทสมอง โดยเฉพาะประสาทสมองคู่ที่ 7 คู่ที่ 9 พบว่ามีความผิดปกติร้อยละ 75 ของผู้ป่วย ส่วนประสาทสมองคู่ที่ 10 พบร้อยละ 50 ทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาในการกลืน พูด หายใจ มีอัมพาตของหน้า
อาการลุกลามของประสาทอัตโนมัติ จะพบมีความผิดปกติระบบประสาทซิมพาเทติก ทำให้ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ เหงื่อออกมาก
การวินิจฉัยโรค
การซักประวัติ
การตรวจร่างกาย จะพบอาการอ่อนแรงอย่างมาก รีเฟล็กซ์จะลดลง อัมพาต แขนขาทั้งสองข้าง พูดไม่ชัด กลั้นอุจจาระปัสสาวะไม่ได้ และหายใจขัด
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและอื่นๆ
3.1 การเจาะหลัง พบโปรตีนในน้ำไขสันหลังเพิ่มขึ้น ความดันน้ำไขสันหลังสูงขึ้น
3.2 การตรวจการนำไฟฟ้าของกล้ามเนื้อ (EMG: Electromyogram) พบความเร็วของการนำสัญญาณประสาทลดลงเหลือน้อยกว่าร้อยละ 60 มีความแรงต่ำ และอาจมีลักษณะสั่นพลิ้ว
3.3 การตรวจการนำไฟฟ้าของเส้นประสาท (NCV: nerveconduction velocity) การตรวจนี้จะท าควบคู่ไปกับ EMG ซึ่งจะตรวจการนำสัญญาณของเส้นประสาท
การรักษา
การช่วยหายใจในผู้ป่วยที่มีภาวะการหายใจล้มเหลว ผู้ป่วยควรได้รับการใส่ท่อหลอดลมและเครื่องช่วยหายใจ เมื่อมีค่าความดันของออกซิเจนในเลือดแดง (PaO2 ) น้อยกว่า 60 มม. ปรอท
การให้ยากลุ่มสตีรอยด์ ในแง่ของการต้านขบวนการอักเสบ ช่วยลดการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อได้
การเปลี่ยนถ่ายพลาสม่า (plasmapheresis) ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง การช่วยเหลือในระหว่าง 1-2 สัปดาห์แรกที่เป็นโรคจะช่วยให้อาการดีขึ้น
Myastenia gravis
สาเหตุ
เกิดจากความผิดปกติของการท างานของกล้ามเนื้อ (โดยที่กระแสประสาทไม่สามารถส่งทอดไปสั่งการให้กล้ามเนื้อทำงานได้) ส่วนสาเหตุของความผิดปกติดังกล่าวยังไม่เป็นที่ทราบกันแน่ชัด
เชื่อว่ามีความสัมพันธ์กับออโตอิมมูน (autoimmune) หรือ ภูมิต้านทานที่เกิดกับอวัยวะของตัวเอง
อาจพบร่วมกับคนที่มีต่อมไทมัส (thymus gland) โต
อาการและอาการแสดง
ที่พบได้บ่อย คืออาการหนังตาตก (ptosis) ซึ่งมักเกิดเพียงข้างเดียว นอกจากนี้อาจมีอาการตาเข มองเห็นภาพไม่ชัด เห็นภาพซ้อน (diplopia)
ถ้าเป็นมากขึ้น อาจมีอาการพูดอ้อแอ้ กลืนล าบาก พูดเสียงขึ้นจมูก หรือ อาจมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ร่วมด้วย
ในรายที่เป็นมาก อาจมีอาการอ่อนแรงของแขนขาบางส่วนจนลุกขึ้นยืนหรือเดินไม่ได้ และถ้าเป็นรุนแรงก็อาจทำให้กล้ามเนื้อช่วยหายใจเป็นอัมพาตหยุดหายใจตายได้
การวินิจฉัยโรค
การอาศัยประวัติ
ตรวจร่างกาย อาการและอาการแสดง
ทดสอบโดยการฉีดนีโอสติกมีน(Neostigmine) 1.5 มิลลิกรัมเข้าใต้หนัง หรือฉีดเทนซิลอน(Tensilon) 10 มิลลิกรัม เข้าหลอดเลือดดำ ซึ่งจะทำให้อาการดีขึ้นถ้าเป็นโรคนี้
4.นอกจากนี้จะมีการตรวจพิเศษอื่นๆ ได้แก่ CT-scan หรือ MRI
การรักษา
การให้ Anticholinesteraseไ ด้แ ก่เมสตินอล (Mestinon) หรือ พรอสติกมิน (Prostigmin)
คอร์ติโคสตีรอยด์ เนื่องจากเชื่อว่า มายแอสทีเนียกราวิสเกิดจากความผิดปกติทางด้านอิมมูน จึงใช้ ให้สเตียรอยด์เพื่อกดการสร้างอิมมูนที่ผิดปกติ
รายที่ตรวจพบว่ามีต่อมไทมัสโตร่วมด้วย อาจต้องผ่าตัดเอาต่อมไทมัสออก(thymectomy) ซึ่งอาจจะช่วยให้อาการดีขึ้น
การเปลี่ยนพลาสม่า (plasmapheresis