Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมาย - Coggle Diagram
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมาย
ความหมายของกฎหมาย
กฎหมาย คือ ระเบียบ กฎเกณฑ์ข้อบังคับที่รัฐหรือผู้มีอำนาจกำหนดขึ้น เพื่อควบคุมความประพฤติ/พฤติกรรมของมนุษย์ ที่อาจก่อให้เกิดความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย เกิดความไม่สงบขึ้นในสังคมหากผู้ใดฝ่าฝืนย่อมต้องได้รับโทษตามที่กฎหมายกำหนด
ลักษณะของกฎหมาย
1.กฎหมายต้องมีลักษณะเป็นกฎเกณฑ์ หมายความว่า กฎหมายต้องเป็นข้อบังคับที่เป็นมาตรฐานที่ใช้วัดหรือกำหนดความประพฤติของคนในสังคมว่าถูกหรือผิด ทำได้หรือไม่ได้
2.กฎหมายต้องกำหนดขึ้นโดยรัฐหรือผู้มีอำนาจ คือต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับของผู้มีอำนาจในรัฐ (รัฏฐาธิปัตย์)
3.กฎหมายต้องบังคับใช้โดยทั่วไป คือ เมื่อมีการประกาศใช้แล้ว บุคคลทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายโดยเสมอภาค จะมีใครอยู่เหนือกฎหมายไม่ได้ หรือทำให้เสียประโยชน์หรือเอื้อประโยชน์ให้แก่บุคคลใดโดยเฉพาะเจาะจงไม่ได้
4.กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ ในเมื่อกฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ที่กำหนดความประพฤติของบุคคล ดังนั้นเพื่อให้บุคคลนั้นปฏิบัติตาม จึงจำต้องมีสภาพบังคับในกรณีที่มีการผ่าฝืนกฎหมาย หากเกณฑ์ใดไม่มีสภาพบังคับก็ไม่ถือว่าเป็นกฎหมาย
ระบบของกฎหมาย
1.ระบบกฎหมายจารีตประเพณี หรือระบบกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร (Common law system)
มีระบบการพิจารณาพิพากษาคดีที่อาศัยบรรทัดฐานจากคดีที่คล้ายคลึงกัน และผู้พิพากษาคนก่อนๆ ตัดสินคดีเดิมไว้ต่อมาพระมหากษัตริย์ได้พยายามสร้างหลักเกณฑ์การพิจารณาคดี เพื่อความเป็นธรรมในกรอบเดียวกัน โดยจัดตั้งศาลและส่งผู้พิพากษาไปตัดสินคดีทั่วประเทศ จนเกิดเป็นกฎเกณฑ์ทั่วไป บรรทัดฐาน และเป็นกฎหมายจากคำตัดสินของผู้พิพากษา (Judge made law) ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา
ประเทศที่ใช้กฎหมายระบบจารีตประเพณี ได้แก่ ประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย
2.ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร หรือระบบประมวลกฎหมาย (Civil law system)
โดยนำคำพิพากษาของศาล และการตีความของนักปราชญ์ทางกฎหมาย จนได้กฎหมายที่ได้รับการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งศาลจะพิจารณาจากหลักเกณฑ์ทั่วไปสู่การพิจารณาเฉพาะเรื่อง โดยการตีความต้องพิจารณาตามตัวบทกฎหมาย คำพิพากษาของศาลเป็นเพียงตัวอย่างในการประยุกต์กฎหมายกับข้อเท็จจริง
ประเทศที่ใช้กฏหมายระบบลายลักษณ์อักษร ได้แก่ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม อิตาลี เยอรมัน เดนมาร์ก ออสเตรีย สเปน สวิสเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น ไทย จีน
ประเภทของกฎหมาย
กฎหมายที่แบ่งตามสิทธิประโยชน์ และความสัมพันธ์ของบุคคล
1.กฎหมายมหาชน (Public Law)
กฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นแม่บทและเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่ก าหนดการปกครองประเทศ
กฎหมายอาญา เป็นกฏหมายที่บัญญัติเกี่ยวกับการกระทำผิดและบทลงโทษ
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยกระบวนการดำเนินคดี การพิจารณาความทางอาญา ตั้งแต่การจับกุม การรวบรวมพิจารณาและการพิจารณาคดี
ธรรมนูญศาลยุติธรรม เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงการจัดตั้งศาล อำนาจของศาลและผู้พิพากษาคดี
2.กฎหมายเอกชน (Private Law)
กฎหมายแพ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติเกี่ยวกับวิถีชีวิตประจำวันของประชาชน โดยบัญญัติถึงฐานะของบุคคล ครอบครัว มรดก หนี้สิน และกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินต่างๆ
กฎหมายพาณิชย์ เป็นกฎหมายที่บัญญัติเกี่ยวกับการค้าขาย หุ้นส่วน บริษัท การประกันภัยและตั๋วเงิน
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เป็นกฎหมายที่บัญญัติเกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาความ การดำเนินคดี ในการพิจารณาข้อพิพาททางแพ่ง ตลอดจนการกำหนดให้ฝ่ายผิดปฏิบัติตามคำพิพากษา
อื่นๆ เช่น พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์กฎหมายแรงงาน กฎหมายประกันสังคม ฯลฯ
3.กฎหมายระหว่างประเทศ (International Law)
แผนกคดีเมือง เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ของรัฐเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่มหาชน (Public rights and duties) ทั้งในเรื่องเขตแดน การฑูต การทำสนธิสัญญา หรือกรณีพิพาท เช่น สนธิสัญญาเกี่ยวกับเขตแดน สนธิสัญญาสงบศึก กฎบัตรสหประชาชาติ
แผนกคดีบุคคล เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ของบุคคลต่างรัฐในทางแพ่ง เกี่ยวกับความประพฤติ สิทธิและหน้าที่ เช่น พระราชบัญญัติสัญชาติ และพระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันของกฎหมาย
แผนกคดีอาญา เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ในคดีอาญาของบุคคลที่เกิดขึ้นโดยประชาชนของประเทศหนึ่ง หรือการกระทำผิดที่ต่อเนื่องในหลายประเทศ และต้องพิจารณาว่าประเทศใดมีอำนาจจับกุมและพิพากษาคดีเพื่อลงโทษบุคคลนั้น เช่น กฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน กฎหมายความร่วมมือระหว่างประเทศในทางอาญา
กฎหมายที่แบ่งโดยแหล่งกำเนิดของกฎหมาย
กฎหมายภายใน เป็นกฎหมายที่องค์กรของรัฐที่มีอำนาจในการบัญญัติกฎหมาย บัญญัติขึ้นใช้ภายในประเทศ
กฎหมายภายนอก เป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นโดยองค์การระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ หรือ เกิดจากความตกลงระหว่างประเทศ เช่น สนธิสัญญาอนุสัญญา เป็นต้น
กฎหมายที่แบ่งโดยเจตนารมณ์และเนื้อหาของกฎหมาย
กฎหมายระเบียบราชการ กฎหมายการเงินการคลัง กฎหมายธุรกิจ กฎหมายสาธารณะสุข กฎหมายอุตสาหกรรม
กฎหมายที่แบ่งโดยลักษณะการใช้กฎหมาย
กฎหมายสารบัญญัติ เป็นกฎหมายที่กำหนดสิทธิหรือหน้าที่ที่ให้บุคคลปฏิบัติ เช่น กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายอาญา กฎหมายคุ้มครองแรงงาน เป็นต้น
กฎหมายวิธีสบัญญัติ เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับวิธีการพิจารณาคดีของศาล เช่น วิธีพิจารณาความแพ่ง วิธีพิจารณาความอาญา เป็นต้น
กฎหมายที่แบ่งโดยสภาพบังคับทางกฎหมาย
กฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา กฎหมายปกครอง
ลำดับชั้นหรือศักดิ์ของกฎหมาย
1.รัฐธรรมนูญ (Constitutional Law)
เป็นกฎหมายที่มีศักดิ์สูงสุดกำหนดรูปแบบการปกครองประเทศ และวางระเบียบอำนาจสูงสุดของรัฐหรืออำนาจอธิปไตย ได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ตลอดจนการรับรองและการส่งเสริมสิทธิหน้าที่ของประชาชนชาวไทย
2.พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด และประมวลกฎหมาย
พระราชบัญญัติ(พรบ.) (Act)คือ กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภา เมื่อกฎหมายผ่านขั้นตอนการออกกฎหมายจากรัฐสภา นายกรัฐมนตรีจะนำทูลเกล้าฯ เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา จึงถือว่ากฎหมายมีผลบังคับใช้
ประมวลกฎหมาย(Code of Law)เป็นการรวบรวมบทบัญญัติของกฎหมายลายลักษณ์อักษรในเรื่องเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน ให้มาอยู่ในหมวดเดียวกันอย่างเป็นระบบ
พระราชกำหนด(Royal Enactment)เป็นกฎหมายที่รัฐธรรมนูญมอบอำนาจให้แก่ฝ่ายบริหาร เพื่อออกข้อบังคับในกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วน อันจะเป็นประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ หรือความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
3.พระราชกฤษฎีกา(Royal Decree)
เป็นกฎหมายที่กำหนดรายละเอียดที่เป็นหลักย่อยของพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนด ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี ออกโดยฝ่ายบริหารที่อาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญหรือพระราชบัญญัติ ไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากฝ่ายนิติบัญญัติ มีอำนาจใช้บังคับประชาชนทั่วไป แต่ไม่สามารถมีบทกำหนดโทษ
4.กฎกระทรวง(Ministerial Regulation)
เป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหาร ซึ่งออกตามความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี และอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติ เพื่อออกกฎหมายเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ ในการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัตินั้นๆ โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากรัฐสภา แต่ต้องผ่านการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และประกาศในราชกิจจานุเบกษา จึงใช้บังคับกับประชาชนทั่วไป
5.ระเบียบ และข้อบังคับ(Rule/Regulation/Discipline)
เป็นกฎหมายที่ออกโดยหัวหน้าหน่วยงานองค์กร ผ่านความเห็นชอบจากผู้บริหารหน่วยงานหรือคณะกรรมการ เพื่อกำหนดรายละเอียดวิธีปฏิบัติงาน โดยอาศัยตามพระราชบัญญัติ
6.ประกาศและคำสั่ง(Announcement/Command)
เป็นกฎหมายที่ออกโดยหัวหน้าหน่วยงาน เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานในหน่วยงาน โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติ หรือเพื่อปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติ
7.อื่นๆ
ข้อบังคับท้องถิ่น เป็นกฎหมายที่ออกโดยองค์กรปกครองตนเอง
ลักษณะของระบบศาลไทย
ระบบศาลเดี่ยว เป็นระบบที่ให้ศาลยุติธรรมมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาททุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่ง คดีอาญา คดีปกครอง หรือคดีประเภทอื่นๆ โดยจะเป็นกลุ่มประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายจารีตประเพณี (Common Law) ใช้ระบบศาลนี้
ระบบศาลคู่ เป็นระบบที่ให้ศาลยุติธรรมมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทเฉพาะคดีแพ่งและคดีอาญาเท่านั้น ส่วนคดีปกครองแยกให้ศาลปกครองเป็นศาลที่มีอำนาจในการวินิจฉัยคดีดังกล่าว โดยจะเป็นกลุ่มประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร (Civil Law)
1.ศาลรัฐธรรมนูญ
มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญแต่ไม่มีอำนาจหน้าที่พิจารณาอรรถคดีทั่วไป
2.ศาลยุติธรรม
เป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น
ศาลฎีกา(Supreme Court)
เป็นศาลยุติธรรมสูงสุด มีประธานศาลฎีกาซึ่งเป็นประมุขของตุลาการศาลยุติธรรม เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์แล้วแต่กรณี ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการอุทธรณ์ฎีกา การวินิจฉัยชี้ขาดของศาลฎีกาถือเป็นที่สุดหรือเป็นคดีแดง ซึ่งคู่กรณีไม่สามารถนำกลับมาฟ้องร้องได้
ศาลชั้นต้น(Civil court/Court in the First instance)
ศาลแพ่งเป็นศาลยุติธรรมชั้นต้นซึ่งมีอ านาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งทั้งปวงและคดีอื่นใดที่มิได้อยู่ในอ านาจของศาลยุติธรรมอื่น
ศาลอาญาเป็นศาลชั้นต้นซึ่งมีอ านาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาทั้งปวงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร
เป็นศาลยุติธรรมที่พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นแรก
ศาลอุทธรณ์(Appeal Court)
เป็นศาลลำดับที่สูงกว่าศาลชั้นต้น เพื่อพิจารณาตัดสินคดีที่ศาลชั้นต้นได้ตัดสินแล้ว แต่คู่ความยังต้องการความเป็นธรรม ซึ่งการตัดสินคดีของศาลอุทธรณ์จะเป็นไปในลักษณะยืนตาม แก้ไข กลับหรือยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น มิใช่เป็นการพิจารณาคดีใหม่
3.ศาลปกครอง (Administrative Court)
มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาคดีในทางปกครอง ซึ่งเป็นคดีพิพาทระหว่างหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชนกรณีหนึ่ง และข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานต่างๆ ของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกันอีกกรณีหนึ่ง
ศาลปกครองมี 2 ชั้น คือ ศาลปกครองชั้นต้น และศาลปกครองสูงสุด
4.ศาลทหาร
ศาลทหารมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาคดีที่ทหารกองประจำการกระทำผิด ตามกฎหมายพระธรรมนูญศาลทหาร