Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 5 การประเมินภาวะสุขภาพ การส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันปัญหาสุขภาพ …
บทที่ 5 การประเมินภาวะสุขภาพ การส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันปัญหาสุขภาพ
ของมารดาหลังคลอดปกติ
กระบวนการพยาบาลระยะหลังคลอด
การประเมินสภาพมารดาหลังคลอด13 B โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.ภูมิหลัง (background) เป็นการศึกษาข้อมูลและประวัติต่าง ๆ ข้อมูลส่วนบุคคลของมารดา
2.ความเชื่อที่มีผลกับการปฏิบัติตัวหลังคลอด (belief) ได้แก่ เรื่องการรับประทานอาหาร การอยู่ไฟ การพักผ่อน การเลี้ยงดูบุตร
3.การประเมินภาวะร่างกาย (body condition)
4.อุณหภูมิร่างกายและความดันโลหิต (body temperature and blood pressure)
เต้านมและการหลั่งน้ำนม (breast and lactation)
6.หน้าท้องเเละยอดมดลูก(belly and fundus)
กระเพาะปัสสาวะ (bladder)
8.เลือดและน้ำคาวปลา (bleeding and lochia)
9.ฝีเย็บและทวารหนัก (bottom)
10.การทำงานของลำไส้ (bowel movement)
11.ภาวะด้านจิตใจ (blues)
12.สัมพันธภาพ (bonding)
13.ทารก (baby)
ความหมาย
ระยะหลังคลอด (puerperium)
หมายถึง ระยะเวลาตั้งแต่หลังคลอดไปจนกลับคืนสู่สภาพปกติเหมือนก่อนตั้งครรภ์ โดยปกติใช้เวลาประมาณ 6-8 สัปดาห์ แบ่งระยะหลังคลอดเป็น 2 ระยะ คือ
1. หลังคลอดระยะแรก (immediate puerperium)
เป็นระยะหลังคลอด 24 ชั่วโมงแรกต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดในเรื่องความปลอดภัยต่อชีวิต
2. หลังคลอดระยะหลัง (late puerperium)
เป็นระยะหลังจากระยะแรกจนถึง 6-8 สัปดาห์ ระยะนี้มารดาหลังคลอดเริ่มปรับตัวต้องการกลับคืนสู่สภาพเดิม
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
มีโอกาสเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดเนื่องจาก มีแผลในโพรงมดลูกและแผลฝีเย็บ
มีโอกาสเกิดการติดเชื้อหลังคลอดเนื่องจาก
มีแผลในโพรงมดลูกและแผลฝีเย็บ
เสี่ยงต่อการตกเลือดหลังคลอดเนื่องจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดี
อ่อนเพลียเนื่องจากสูญเสียน้ำและพลังงาน ในการคลอด
การส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างบิดา มารดา ทารก และครอบครัว
ปฎิสัมพันธ์มารดากับทารก
(คลอสและเคนเนลล์)
การสัมผัส
ประสานสายตา
การใช้เสียง
การให้ความอบอุ่น
ปฎิสัมพันธ์ระหว่างบิดากับทารก
(มิลเลอร์และโบเวน)
การมองเห็น
การประสานสายตา
การสื่อภาษา
การสัมผัสและโอบอุ้ม
แนวทางส่งเสริมสัมพันธภาพในระยะหลังคลอด
ส่งเสริมให้บิดา มารดาและทารกอยู่ด้วยกันหลังคลอดเร็วที่สุด เพื่อสร้างปฎิสัมพันธ์ที่ดี
ให้มารดาเลี้ยงทารกด้วยนมมารดา เพื่อสร้างสัมพันธภาพระหว่างมารดาและทารก
พยาบาลต้องเป็นที่ปรึกษา คอยให้กำลังใจแก่มารดาและบิดา
การป้องกันปัญหาสุขภาพของมารดาหลังคลอด
ปัญหาสุขภาพหรือปัญหาแทรกซ้อนที่พบได้ในมารดาหลังคลอด
การติดเชื้อ
การตกเลือดหลังคลอด
การคัดตึงเต้านม
ปวดมดลูก ปวดแผลฝีเย็บ
การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา
และจิตสังคม
2.1การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา
2.1.1.ระบบสืบพันธุ์
(reproductive system)
:
2.1.1.2มดลูก (uterus)
ลดขนาดลงหลังทารกและรกคลอดไปแล้ว ขนาดจะเล็กลงเรื่อย ๆ โดยเฉลี่ยประมาณวันละ ½ นิ้ว หรือ 1.5 เซนติเมตร เรียกว่า
มดลูกเข้าอู่ (involution)
2.1.1.3เยื่อบุโพรงมดลูก (endometrial)
2-3 วันแรก แผลภายในโพรงมดลูกตรงตำแหน่งที่รกเคยเกาะยังใหม่อยู่ จึงมีสีแดงเหมือนเลือดสด เรียกว่า
lochia rubra
วันที่ 4-9 หลังคลอด ลักษณะของน้ำคาวปลาจะเปลี่ยนไป
เป็นสีจางลง หรือคล้ำลง มีมูกออกมาปน ทำให้มีลักษณะเป็นเมือกยืดได้ เรียกว่า
lochia serosa
วันที่ 10-14 ภายหลังคลอด น้ำคาวปลาจะมีมูกสีเหลืองปนจำนวนไม่มาก น้ำคาวปลาระยะนี้เรียกว่า
lochia alba
2.1.1.4ปากมดลูก (cervix)
มีลักษณะอ่อนนุ่ม อาจมีการฉีกขาดจากคลอดร่วมด้วย ปากมดลูกจะไม่คืนสู่สภาพเดิม แต่จะมีลักษณะรูปรีเนื่องจากเคยผ่านการฉีกขาดจากการคลอดมาแล้ว
2.1.1.5ช่องคลอด (vagina)
จะเกิดขึ้นช้า ๆ และค่อย ๆ ลดขนาดลง แต่ไม่สามารถคืนสู่สภาพเดิม เนื่องจากมีการหย่อนของผนังช่องคลอด
2.1.1.6เยื่อพรหมจารีย์ (hymen)
มีลักษณะฉีกขาดกระรุ่งกระริ่งกลายเป็นติ่งเนื้อเล็ก ๆ ที่เรียกว่า คารันคูเล ไมร์ติฟอร์ม (carunculae myrtiforms) ถือเป็นลักษณะเฉพาะบอกได้อย่างหนึ่งว่าสตรีนั้นเคยคลอดบุตรมาแล้ว
2.1.1.7ฝีเย็บ (perineum)
ในระหว่างระยะที่ 2 ของการคลอด กล้ามเนื้อบริเวณผนังเชิงกรานจะบางและยืดโดยแรงกดจากศีรษะ แรงกดนี้จะมีมากในมารดาครรภ์แรกและในมารดาที่คลอดบุตรตัวใหญ่ ซึ่งมักจะช่วยได้โดยการตัดฝีเย็บ (episiotomy) และเย็บซ่อมแซมฝีเย็บ
2.1.1.8การตกไข่และการมีประจำเดือน (ovulation and menstruation)
ภายหลังคลอดจะไม่มีประจำเดือนอยู่ระยะหนึ่งเรียกว่า
physiologic amenorrhea ไม่มีการตกไข่
การเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา ผู้ที่เลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาจะมีการตกไข่ช้ากว่าผู้ที่ไม่ได้เลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา
เนื่องจากระหว่างให้นมบุตรเชื่อว่ามีกลไก
ยับยั้งการตกไข่คือ
ผลจากการที่โปรแลคติน
(prolactin) มีผลไประงับการสร้างพิทูอิทารี
โกนาโดโทรปิน (pituitary gonadotropins
และบางรายอาจเป็นผลจากการที่รังไข่ไม่สนอง
ต่อการกระตุ้นของ ฟอลลิเคิล สติมูเลชั่น ฮอร์โมน
(follicle stimulation hormone)
2.1.1.1เต้านม (breast)
จะมีขนาดใหญ่และท่อน้ำนมมีการขยายใหญ่เต็มที่ เพื่อเก็บน้ำนมไว้สำหรับเลี้ยงทารก ลานนมจะขยายกว้างและสีเข้มขึ้น
กลไกในการควบคุมการสร้างและการขับน้ำนม
เมื่อestrogenและprogesteroneจากรกหมดโปรแลคตินที่เพิ่มขึ้น
ในระยะหลังคลอดออกฤทธิ์สร้างน้ำนม ประมาณวันที่สองมีน้ำนมเหลือง
ต่อมาจึงมีน้ำนมไหล วันที่ 5 หลังคลอดจะสามารถบีบน้ำนมไหลออกง่าย
การที่ทารกดูดนมมารดาจะมีผลไปกระตุ้น
ต่อมใต้สมองส่วนหลังให้หลั่ง oxytocin
ทำให้มีการบีบรัดตัว ขับน้ำนมออกมา ขบวนการเรียกว่า
“Let-down reflex” หรือ “Milk-ejection reflex”
ชนิดของน้ำนม น้ำนมแบ่งเป็น 3 ชนิด
1.น้ำนมเหลือง (colostrum)
พบระยะ 2-3 วันแรก มีปริมาณโปรตีนและเกลือแร่ (inorganic salts) มาก และมีสาร IgA นี้เป็น antibody ที่ป้องกัน enteric infection ในทารก
2.น้ำนมก่อนน้ำนมแท้ (transitional milk)
พบประมาณวันที่ 5-7 จะมีการผลิตน้ำนมมีระดับไขมัน แล็คโทส (lactose) วิตามินที่ละลายในน้ำและมีแคลลอรี่มากกว่าน้ำนมเหลือง
3.น้ำนมแท้ (true milk or mature milk)
พบในสัปดาห์ที่ 2 มีลักษณะขาวข้น ประกอบด้วยสารอาหารที่จำต่อเด็กทารก
ระยะของน้ำนม ในมารดาที่เลี้ยงทารกด้วยนมตนเอง แบ่งออกเป็น 3 ระยะ
1.ระยะน้ำนมเต็ม (period of fulling)
มารดารู้สึกตึงบริเวณเต้านมเพราะมี น้ำนมสร้างออกมาเต็มเต้านม ใช้เวลาประมาณ 10-30 นาที
2.ระยะน้ำนมไหล (period of emptying
) นานประมาณ 5-7 นาที เป็นระยะที่ทารกดูดน้ำนมจากเต้านมจนหมด น้ำนมพุ่งออกมามีอัตราประมาณ 40-60 ครั้งต่อนาที
3.ระยะน้ำนมหมด (refractor period)
เป็นระยะที่ไม่มีน้ำนมในเต้านม ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที ถึง 3 ชั่วโมง ถ้าบีบเต้านมดูจะมีน้ำนมออกเล็กน้อยเท่านั้น
2.1.3.ระบบไหลเวียนของเลือด
(circulatory system)
หลังคลอด ปริมาณเลือดในระบบไหลเวียนของร่างกาย จะเพิ่มมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการหดตัวของมดลูกไล่เลือดที่ขังในชั้นกล้ามเนื้อ มดลูกกลับเข้าระบบไหลเวียนและ inferior vena cava ก็เป็นอิสระจากการกดของมดลูก
ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจใน 1 นาที (cardiac output) จะเพิ่มกว่าก่อนคลอด
ความดันโลหิตมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าความดันโลหิต
ซิสโตลิค (systolic) ลดลงถึง 20 มิลลิเมตรปรอท หรือมากกว่า
2.1.2.ระบบหายใจ (respiratory system)
ขนาดของช่องท้องและช่องทรวงอกที่มีการเปลี่ยนแปลง
จะทำให้ปริมาตรของอากาศในปอดที่ค้างอยู่จาก
การหายใจออก (residual volume) เพิ่มขึ้น
ความจุอากาศ (vital capacity) และความจุของอากาศ
ขณะหายใจเข้า (inspiratory capacity) ลดลง
อัตราการหายใจเท่ากับคนปกติคือ 16-24 ครั้งต่อนาที
2.1.4.ระบบทางเดินอาหารและการขับถ่าย (gastrointestinal system)
ภายหลังคลอดทันทีจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนความอยากรับประทานอาหารลดลง เนื่องจากเหนื่อยอ่อนเพลีย
อาการนี้จะหายไปภายใน 2-3 ชั่วโมง และทำให้รู้สึกหิวและกระหายน้ำ มารดาหลังคลอดสามารถรับประทานอาหารและดื่มน้ำได้จำนวนมากภายหลังคลอดทันที
ภายหลังคลอดอาจจะ
ท้องผูก
เนื่องจากกล้ามเนื้อหน้าท้องหย่อน การได้รับการสวนอุจจาระก่อนคลอด อีกทั้งยังมีอาการเจ็บปวดบริเวณฝีเย็บ ทำให้ไม่กล้าเบ่งถ่ายอุจจาระในวันแรก ๆ และจะกลับเป็นปกติประมาณ 2-3 วันหลังคลอด
2.1.5.ระบบทางเดินปัสสาวะและไต
(urinary and renal system)
ใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด เยื่อบุกระเพาะปัสสาวะอาจบวมแดงและมีอาการบวมช้ำรอบ ๆ
รูเปิดของท่อปัสสาวะ การยืดขยายของกระเพาะปัสสาวะมาก ความตึงตัวไม่ดี ความจุเพิ่มขึ้น การทำงานของประสาท ที่ไปเลี้ยงกระเพาะปัสสาวะลดลง ทำให้ความไวต่อแรงกดจะลดลง
2.1.6.ผิวหนัง (skin)
ฝ้าบริเวณใบหน้าจะค่อย ๆ หายไปส่วนสีของลานนมที่เข้มขึ้น เส้นกลางหน้าท้องและรอยแตกของผิวหนังบริเวณหน้าท้องจะไม่หายไปแต่สีอาจจางลง
2.1.7.อุณหภูมิ (temperature)
หลังคลอด 24 ชั่วโมงแรก มีอุณหภูมิของ
ร่างกายสูงขึ้นได้ แต่ไม่เกิน 38องศา รียกว่า reactionary fever
มักพบในรายที่การคลอดล่าช้า (prolonged labour)
2.1.8.น้ำหนักตัว (weight loss)
หลังคลอดทันทีน้ำหนักตัวจะลดลงประมาณ 4-8 กิโลกรัม ในระยะ 3-5 วันภายหลังคลอด น้ำหนักจะลดลงอีก 2-3 กิโลกรัม ห
ลังจากนั้นการลดของน้ำหนักตัวขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของมารดา
2.2การเปลี่ยนแปลงทางจิตสังคม
ความผูกพันและสัมพันธภาพ (Bonding and Attachment)
ในช่วงเวลา “sensitive period” หรือ 45 นาทีแรกหลังคลอด
โดยให้โอกาสมารดาและทารก มีโอกาสมองสบตากัน มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
เป็นการช่วยส่งเสริมการพัฒนาสัมพันธภาพระหว่างมารดาและทารกต่อไป
การปรับตัวรับบทบาทมารดา
กระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไปเป็นลำดับ
ไม่ได้เกิดขึ้นมาทันทีหลังการคลอด แบ่งเป็น 3 ระยะ
ระยะที่ 2 Taking hold ระยะนี้มีเวลา
ประมาณ 10 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 3 หลังคลอด
กระตือรือร้นที่จะรับผิดชอบ
ดูแลตนเองและทารก
แต่อาจไม่มั่นใจในความสามารถของตน
ในการเลี้ยงบุตร
ระยะที่ 1 Taking in
เป็นระยะ 1-2 วันแรกภายหลังคลอด
สนใจแต่ความต้องการของตนเองในเรื่องความสุขสบาย การพักผ่อนอยากพูด อยากเล่าประสบการณ์การคลอดที่ผ่านมา
ระยะที่ 3 Letting go เริ่มตั้งแต่
วันที 10 หลังคลอดเป็นต้นไป
ช่วงเวลาที่ต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงระบบครอบครัวจากสองคนเป็นสามคน ระยะนี้เป็นระยะที่ทั้งสามีและภรรยาต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ โดยควรวัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง ในระยะ 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด ภายหลัง 24 ชั่วโมง อาจวัดทุก 4 ชั่วโมง หรือวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
ตรวจดูการหดรัดตัวของมดลูก และวัดความสูงของมดลูก
ประเมินความเจ็บปวด ไม่สุขสบาย ให้ยาบรรเทาปวดตามแผนการรักษา เช่น paracetamol
4.ประเมินแผลฝีเย็บและน้ำคาวปลา การรักษาความสะอาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
5.ตรวจเต้านมและหัวนม ประเมินลักษณะปกติและผิดปกติ
ของเต้านม หัวนม ชนิดของน้ำนมและปริมาณของน้ำนม
6.การบริหารร่างกาย
เมื่อได้พักผ่อนเพียงพอแล้ว
ท่าที่ 1
ช่วยลดหน้าท้อง
ท่าที่ 2
ช่วยลดหน้าท้อง
ท่าที่ 3
การบริหารทรวงอก
ทำให้เต้านมผลิตน้ำนมได้มากขึ้น
ท่าที่ 4
การบริหารกล้ามเนื้อสะโพกและช่วยลดไขมันหน้าท้อง
ท่าที่ 5
การบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องและสะโพก
ท่าที่ 6
ช่วยลดอาการบวมและความไม่สุขสบาย
บริเวณฝีเย็บ เพิ่มความสามารถ
ในการควบคุมกล้ามเนื้อ
ท่าที่ 7
ช่วยให้น้ำคาวปลาไหลสะดวก มดลูกกลับเข้าสู่สภาพเดิมเร็วขึ้น และลดอาการปวดมดลูก
7.การลุกขึ้นเร็ว (early ambulation) การลุกจากเตียงเร็ว จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อน
8.การดูแลเกี่ยวกับบริเวณส่วนล่างของร่างกาย ควรสังเกตอาการของหลอดเลือดดำขอดพอง การบวมของเท้า
9.การให้คำแนะนำก่อนที่มารดาหลังคลอดจะกลับบ้าน ควรให้คำแนะนำวิธีปฏิบัติตัวและการเลี้ยงดูบุตร
การส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างมารดาทารกด้วยการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา
ประโยชน์ของการเลี้ยงลูก
ด้วยนมมารดา
ต่อทารก
มีสารอาหารที่มีประโยชน์ น่อยง่าย มีโปรตีน ไขมัน เกลือแร่ เช่น Ca, P
มีสารอาหารเป็นประโยชน์ ต่อการเจริญเติบโตของสมอง ได้แก่ cholesterols DHA และ taurine
มีภูมิต้านทานโรค และลดอากาศการเกิดภูมิแพ้
ลดอัตรเสี่ยงการเป็นการเป็นโรคอ้วน
ต่อมารดาและครอบครัว
ช่วยให้มดลูกหดรัดตัว ลดอัตราการตกเลือด
หลัก3ดูด สูตรสำเร็จ
ดูดเร็ว : ดูดนมแม่ทันทีหลัง
คลอดเพื่อสร้างความรัก กระตุ้นการสร้างน้ำนม
ดูดบ่อย : ดูดทั้ง2ข้าง ทุก2ชม. ข้างละ10นาที แล้วให้ลูกดื่มน้ำตาม
ดูดให้ถูกวิธี : จัดท่าลูกดูดนมให้ถูกต้อง
ศีรษะและลำตัวลูกอยู่แนวเดียวกับแม่
ลูกจะอมหัวนมและลานนมลึก
ลิ้นลูกอยู่ใต้ลานนม
ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ถัดไป
การปฏิบัติ
น้ำนม2วันแรก มีสีเหลืองให้ลูกดูด
จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและขับขี้เทา
อาหารของแม่ ควรเพิ่มปริมาณเนื้อสัตว์ ลดแป้งและน้ำตาล
หลังดูดอิ่ม ไล่ลมให้ลูกเรอ ป้องกันท้องอืด
หลักสำคัญในการจัดท่าทารกให้ดูดนมแม่
2.การประคองเต้านม
นิ้มมือทั้ง4อยู่ด้านล่าง นิ้วหัวแม่มือยชอยู่บน ปรับมือตามแนวปากลูก ตัวU หรือ C
3.การอมหัวนมให้ลึกพอ (Latch-onaa)
ใช้หัวนมเขี่ยริมฝีปากให้ลูกอ้ากว้าง อมลึกถึงลานหัวนม ปลายจมูกชิดเต้า คางแนบเต้า แก้มป่อง
1.ท่าให้นมของแม่และลูก
ท่าที่สบาย ท้องลูกแนบท้องแม่ ปากตรงหัวนม ศีรษะลูกสูงกว่ากระเพาะเล็กน้อย กอดลูกไว้ในวงแขน ใช้หมอนรองลูก
4การดูที่มีประสิทธิภาพ หลัก Four key signs
1.มองเห็นลานนมด้านบนมากกว่าด้านล่าง
2.ทารกอ้าปากกว้าง
3.ริมฝีปากล่างทารกบานออก
4.คางทารกแนบเต้า
ท่าในการให้นมแม่
2.ท่านั่ง
ท่าลูกนอนขวางบนตัก(Cradle hold)
ท่าลูกนอนขวางแบบประยุกต์(Modified)
ท่าอุ้มลูกฟุตบอล(Clutch hold/Football)
สำหรับแม่ผ่าหน้าท้อง เต้านมใหญ่ คลอดลูกแฝด
1.ท่านอน(Side lying)
ประคองตัวลูกชิดตัวแม่ เหมาะในการคลอดวันแรก แม่ที่ผ่าตัดหน้าท้อง หรือในนมลูกตอนกลางคืน
ปัญหาที่พบในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และแนวทางการแก้ไข
2.ปัญหาหัวนมแตกหรือแยก
สาเหตุ
: ดูดนมผิดวิธีไปเรื่อยๆจนแตก ทำให้แบคทีเรียผ่านเข้าไปเกิดการอักเสบ เป็นฝี ติดเชื้อง่ายถ้าไม่ดูดนม
การช่วยเหลือ
: แนะนำให้ล้างหัวนมวันละครั้ง ช่วยให้แน่ให้นมลูกถูกต้อง ควรให้หัวนมสัมผัสอากาศและแสงแดดมากที่สุด
3.ปัญหาเต้านมคัดและท่อน้ำนมอุดตัน
เต้านมเต็ม
เต้านมร้อน หนังแข็ง ไม่เจ็บ มีน้ำนม
ช่วยเหลือ
: ให้ลูกดูดนมบ่อยๆ
เต้านมคัด
เต้านมร้อน หนังแข็ง เจ็บบวมตึง น้ำนมไม่ไหล แม่มีไข้ไม่เกิน24ชม. นมคั่งมาก
สาเหตุ
: ดูดน้อย ดูดผิดวิธี
ป้องกัน
: ดูดเร็ว ดูดบ่อย ดูดถูกวิธี
ช่วยเหลือ
: สร้างความมั่นใจ ขอให้แม่อดทน ดูดนมบ่อยๆ ถ้าลูกดูดไม่ได้ ให้บีบนมหรือน้ำนมก่อนให้นม ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบหรือาบน้ำอุ่น นวดเต้านม นวดต้นคอหรือหลังแม่
รักษา
: อาจใช้เครื่องดูดได้ ลูกไม่สามารถดูดนมจากเต้าได้ ให้บีบใส่ถ้วยป้อน
(Cup Feeds)
1.ปัญหาหัวนมแตก
การช่วยเหลือแม่
: ดูดนมถูกวิธี รักษาหัวนมที่แตก เอาน้ำนมแม่ทาหัวนมและปล่อยให้แห้ง
สาเหตุ
: ลูกดูดนมแม่ไม่ถูกวิธี หัวนมแม่จะแบนราบเมื่อคลายหัวนม บางครั้งเห็นเส้นพาดผ่านปลายหัวนม
การป้องกัน
: ให้ลูกดูดนมถูกวิธีตั้งแต่วันแรก ไม่ล้างหัวนมมากว่าวันละครั้ง รอจนกระทั่งทารกคลายเต้านม หรือสอดนิ้วมือเข้าไปข้างลูก
เพื่อหยุดการดูด
4.ปัญหาน้ำนมไหลตึงจากเต้านม
ในช่วง2-3สัปดาห์แรกหลังคลอด เป็นเรื่องปกติ เมื่อมีความรู้สึกคิดถึงความรักที่มีต่อลูกก็ทำให้บีบน้ำนมไหลได้ (ejection reflex)
คำแนะนำ
: บีบน้ำนมเก็บไว้ให้ลูกขณะทำงาน หรือ ใช้อุปกรณ์รองรับนม (Breast cup, milk collection shell) ครอบหัวนมไว้
การส่งเสริมสุขภาพด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และจิตวิญญาณ
ระยะพฤติกรรมพึ่งพา(taking-in phase)
ใช้เวลาประมาณ1-2วันหลังคลอด มารดาจะดูแลตนเองพึ่งพาผู้อื่น ต้องการพักผ่อน ต้องการน้ำและอาหาร
ส่งเสริมให้มารดาพักผ่อน บรรเทาอาการเจ็บปวดและสร้างสัมพันธภาพกับบุตร
ระยะพฤติกรรมระหว่างพึ่งพาและ
ไม่พึ่งพา(taking-hold phase)
ใช้เวลาประมาณ 10 วัน มารดาจะเริ่ม
สนใจบุตรและสนใจตนเองน้อยลง
ส่งเสริมให้มารดาดูแลตนเอง ดูแลบุตร
บริหารร่างกายหลังคลอด เลี้ยงดูบุตรด้วยนมมารดา
ระยะพฤติกรรมพึ่งพาตนเอง
(letting-go phase)
เริ่มหลังวันที่ 10 หลังคลอด มารดาต้องปรับตัวกับการดำเนินชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนไปจากเดิมและการกลับสู่สังคม
ให้คำแนะนำแก่มารดาและครอบครัวในเรื่องงานบ้าน การสร้างสัมพันธภาพภายในครอบครัว