MERs-CoV

สาเหตุ

อาการ

การตรวจวินิจฉัยทางห้องปฎิบัติการ/การตรวจพิเศษ

คำแนะนำ

การวางแผนทางการพยาบาล

Medicine

Environment

Treatment

Health

Ceftriaxone

ยาปฏิชีวนะ ช่วยในการฆ่าเชื้อเเบคทีเรีย จะฉีดให้ทุกๆ6ชั่วโมงโดยจะฉีดให้ครบ 7วัน

Ibuprofen

รับประทานหลังอาหารครั้งละ1เม็ด วันละ2ครั้ง เช้า-เย็น รับประทานเมื่อมีอาการ ถ้าหากไม่มีอาการแล้วควรหยุดรับประทาน ช่วยในการลดอาการปวดเมื่อย ลดไข้

Metoclopramide

ยาบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน ให้ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำตามความจำเป็น

Outpatient

Diagnosis

ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคว่าเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ เกิดจากเชื้อMERS-Cov

ให้นอนแยกกับคนในครอบครัวและแยกของใช้ส่วนตัว

สอนวิธีการล้างมือที่ถูกต้องให้ผู้ป่วยและญาติทำตาม

บริเวณบ้านควรเปิดหน้าต่างให้มีอากาศถ่ายเท

ให้ ผู้ป่วยอยู่ในห้องแยกที่มีความดันลบเพื่อช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ

มีการถ่ายภาพปอด,เก็บเสมหะและเจาะเลือดเพื่อดูการแพร่กระจายของเชื้อและภาวะการติดเชื้อในกระแสเลือด

แนะนำให้ออกกำลังกายที่ใช้แรงน้อย เช่น การเดิน แกว่งแขน

นอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย7-8ชั่วโมง

แนะนำให้ผู้ป่วยมาตรวจตามนัดเพื่อติดตามผลการรักษา

ถ้าไม่สามารถมาตามนัดได้ควรโทรแจ้งล่วงหน้า

หากมีอาการผิดปกติสามารถกลับมาพบแพทย์ได้ทันที

Diet

รับประทานอาหารอ่อนเหลวเช่น โจ๊กไก่ ข้าวต้มไก่

รับประทานเกลือแร่เพื่อป้องกันอาการท้องเสีย

พยาธิสรีรวิทยา

หากระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถสู้กับไวรัสได้ ไวรัสจะแพร่กระจายไปทั่วร่างกายถึงขั้นที่อวัยวะต่างๆไม่สามารถทำงานต่อไปได้ จึงทำให้เสียชีวิต

เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่สามารถควบคุมการทำงานของตัวเองได้ จะเกิดภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือด ความดันโลหิตต่ำจนอวัยวะไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ

เมื่อไวรัสแพร่ไปที่ปอด จะทำให้เกิดปอดอักเสบ ส่งผลให้การแลกเปลี่ยนแก๊สออกซิเจนได้ไม่ดี เกิดอาการหายใจไม่อิ่ม

ไวรัสแพร่เข้าสู่GI tract ทำให้เซลล์ทำงานผิดปกติ เกิดอาการท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน หรือปวดท้อง

ร่างกายหลั่ง Cytokines แล้วจะทำให้เกิดอาการไข้และไอ

หลังจากร่างกายได้รับเชื้อ MERs-CoV เชื้อจะแพร่ไปตามเยื่อบุคอ ท่อทางเดินหายใจและปอดจากนั้นไวรัสจะเริ่มแบ่งตัว

รับเชื้อจากสัตว์

รับเชื้อจากมนุษย์

อูฐที่มีหนอกเดียวนั้นเป็นสัตว์ที่เต็มไปด้วยการสะสมของโรค MERs-CoV

ถ้าอยู่ห่างจากผู้ป่วย 2 เมตรขึ้นไป จะติดเชื้อจากการสูดฝอยละอองขนาดเล็ก

เป็นพาหะของการติดเชื้อโรคสู่มนุษย์

มีอาการไอ มีไข้สูงสูงมากกว่า 38 องศาเซลเซียสและหายใจลำบาก หอ หายใจเร็ว SpO2 น้อยกว่าร้อยละ 90 บางอาการไม่มีอาการแสดงเหมือนเป็นโรคหวัดและหายเป็นปกติ

การสูดดมเชื้อในอากาศผ่านทางฝอยละอองขนาดใหญ่(droplet)และฝอยละอองขนาดเล็ก(เล็กกว่า 5ไมครอนเรียกว่า aerosol)เข้าไปในทางเดินหายใจ ถ้าใครอยู่ใกล้ผู้ป่วยในระยะ 1-2 เมตรจะติดเชื้อจากการสูดฝอยละอองขนาดใหญ่และฝอยละอองขนาดเล็กจากการไอจามรดกันโดยตรง

Neutrophils

Lynphocytes

Chest X-Ray

ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาหารในระบบทางเดินอาหารร่วด้วย เช่นท้องเสีย มวนท้อง คลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น ในผู้ป่วยที่มีอาการแสดงของโรครุนแรงอาจเกิดภาวะปอดบวมหรือไตวายได้

การแพร่เชื้อโดยการสัมผัส เช่น การจับมือกันหรือ
มือจับของใช้สาธารณะร่วมกัน

ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอจะมีอัตราเสี่ยงในการติดเชื้อสูงกว่าคนทั่วไปและจะมีแนวโน้มที่จะมีอาการรุนแรง ผู้ป่วยร้อยละ 30 ที่เสียชีวิตมักมีสภาวะอื่นร่วมด้วย เช่น โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง หรือมีโรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ ปอด หรือไต เป็นต้น

อาการเริ่มแรกคือมีไข้, ไอและหายใจถี่อาจทำให้เกิดอาการปอดบวมภาวะหายใจลำบากและบางครั้งไตวาย รายงานอาการท้องร่วง

White blood cells

RT-PCR

Hemoculture

เพศชายที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปที่มีโรคประจำตัวเช่นโรคเบาหวานโรคความดันโลหิตสูงและภาวะไตวายมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรครุนแรงรวมถึงการเสียชีวิต ประมาณร้อยละ 20 ของผู้ป่วยไม่มีอาการหรือมีโรคไม่รุนแรง

สูงกว่าปกติ เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาของร่างกายที่ตอบสนองต่อการติดเชื้อโดยร่างกาย ผลิตเม็ดเลือดขาวมากขึ้นเพื่อต่อสู้กับอาการติดเชื้อไวรัส MERs-CoV

สูงกว่าปกติเนื่องจากร่างกายมีการติดเชื้อไวรัส MERs-CoV

สูงกว่าปกติ เกิดจากร่างกายมีการติดเชื้อแบคทีเรีย

เป็นการตรวจสารพันธุกรรมของไวรัสด้วยวิธี Real-time RT - PCR จากสารคัดหลั่งของผู้ป่วย เป็นวิธีที่องค์การอนามัยโลกแนะนำและประเทศไทยพร้อมใช้อยู่ในปัจจุบันสามารถทราบผลภายใน 3-5 ชั่วโมง และสามารถตรวจจับเชื้อไวรัสในปริมาณน้อยๆได้

Hemoglobin

ต่ำกว่าปกติอาจเกิดจากภาวะโลหิตจางจากพยาธิสภาพของปอดอักเสบ

เป็นเพาะเชื้อเพื่อตรวจหาเชื้อจากเลือดนิยมเจาะเลือดใส่ในอาหารเลี้ยงเชื้อชนิดเหลวโดยตรงและเจาะก่อนคนไข้ได้Antibiotic สามารถบอกชนิดเชื้อและผลการทดสอบความไวของยา ซึ่งจะช่วยสนับสนุนหรือเปลี่ยนแปลงการรักษาให้ถูกต้อง

ปอดทั้งสองข้างมีฝ้าขาว ฝ้าขาวที่ปอดเกิดจากการมีเสมหะในปอด ซึ่งเสมหะที่เกิดขึ้นเกิดจากการที่เชื้อไวรัส MERs-CoV ไปก่อพยาธิสภาพที่ปอด

พบเชื้อไวรัสโคโรน่า โดยตรวจจากสารคัดหลั่งของผู้ป่วย

4.อุณหภูมิร่างกายสูงกว่าปกติเนื่องจากมีการติดเชื้อที่ปอด

5.เสี่ยงต่อการขาดสารอาหารเนื่องจากรับประทานอาหารได้น้อย

3.เสี่ยงต่อการขาดน้ำเนื่องจากอุจจาระร่วง

6.แบบแผนการนอนหลับเปลี่ยนแปลงเนื่องจากอาการไอ

2.เสี่ยงต่อภาวะเเพร่กระจายเชื้อเนื่องจากมีการติดเชื้อที่ปอด

8.เสี่ยงต่อภาวะเครียดเนื่องจากโรคที่เป็นอยู่

9.การรับกลิ่นลดลงเนื่องจากมีน้ำมูก

7.พร่องกิจวัตรประจำวันเนื่องจากขาดความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง

  • สังเกตอาการและอาการแสดง
  • ดูแลให้สารน้ำและอีเล็คโทรไลท์ตามแผนการรักษา
  • วัดสัญญาณชีพทุก 2 – 4 ชม.
  • บันทึกปริมาณน้ำเข้า – ออกในร่างกาย
  • ดูแลให้ ORS
  • ติดตามผลทางห้องปฏิบัติการ ( electrolyte ) หากผิดปกติ รายงานแพทย์
  • ล้างจมูก
  • ประเมิน พร้อมบันทึกข้อมูลหลังให้การพยาบาล
  • วัดอุณหภูมิร่างกายทุก 4 ชั่วโมง
  • เช็ดตัวลดไข้
  • ให้ดื่มน้ำบ่อย ๆ เพื่อช่วยในการพาความร้อนออกจากร่างกาย
  • ดูแลรักษาความสะอาดของร่างกายและสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ
  • แนะนำการเทคนิคการผ่อนคลาย
  • ดูแลสิ่งแวดล้อม
  • ให้ผู้ป่วยได้พูดคุย ระบายความรู้สึก
  • ประเมิน พร้อมบันทึกข้อมูลหลังให้การพยาบาล
  • จัดผู้ป่วยอยู่ในห้องเเยกโรคความดันลบ
  • จัดอุปกรณ์แยกใช้เฉพาะผู้ป่วย
  • ดูแลอุปกรณ์ที่ใช้เเล้วกับผู้ป่วย
  • จำกัดการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
  • ส่งเสริมให้ร่างกายได้รับอาหารพอเพียง
  • เริ่มให้อาหารควรให้อาหารที่เป็นน้ำหรืออาหารเหลวก่อนอาหารหลัก
  • สังเกตการเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีรภาพและพาวะแทรกซ้อน
  • ประเมินและติดตามน้ำหนักตัว
  • กระตุ้นให้มีกิจกรรมในเวลากลางวัน
  • ดูแลให้มีการออกกำลังกายอย่างเพียงพอ
  • เตรียมอุปกรณ์ไว้ขับถ่ายปัสสาวะหรือจัดที่นอนให้อยู่ใกล้ห้องน้ำ
  • แนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวด้านจิตใจและอารมณ์
  • ดูแลให้นอนและตื่นตรงเวลาเป็นประจำทุกวัน
  • ดูแลจัดสิ่งแวดล้อม
  • ไม่รบกวนผู้ป่วยบ่อย เช่น รวบกิจกรรมการพยาบาล
  • ดูแลช่วยเหลือในการทำความสะอาดร่างกาย
  • ดูแลเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าทุกครั้งเมื่อมีการเปียกชื้น
  • ดูแลทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์หลังจากการขับถ่ายทุกครั้ง
  • ประเมินความสามารถในการทำกิจกรรมต่างๆ
  • ประเมินพร้อมบันทึกข้อมูลหลังให้การพยาบาล

1.พร่องออกซิเจนเนื่องจากประสิทธิภาพในการขับเสมหะและพื้นที่แลกเปลี่ยนก๊าซลดลง

  • ดูแลให้ได้รับออกซิเจน
  • จัดท่า high fowler inflation
  • ทำ relaxation breathing exercise
  • กระตุ้นให้ดื่มน้ำอุ่น
  • สอนการบริหารการหายใจ
  • สังเกตอาการและอาการแสดง
  • ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะ Ceftriaxone 2 mg. IV q 6 hr. ตามแผนการรักษา
  • ดูแลให้ได้รับยาแก้อักเสบ Ibuprofen (400 mg.) 1 X 2 tabs b.i.d. pc.ตามแผนการรักษา
  • ประเมินสภาพร่างกายก่อนและหลังทำกิจกรรมทางการพยาบาล