Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาระบบเลือด - Coggle Diagram
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาระบบเลือด
Function of Blood
Regulation
Protection
Transportation
เกล็ดเลือด (Thrombocyte , platelet)
มีขนาดเล็กที่สุด ประมาณ 2-4 ไมครอน ไม่มีนิวเคลียสส่วนใหญ่รูปร่างกลม แบน หรือ รูปไข่ ติดสีฟ้าอ่อน มีพบอะซูโรฟิลิกแกรนูลติดสีม่วงหรือม่วงแดงกระจายอยู่ทั่วไปกลางเซลล์
กําเนิดมาจากเซลล์เมกะคาริโอไซต์ (megakaryocyte) ในไขกระดูก มีเซลล์ที่เรียกว่า ทรอมโบไซต์ (thrombocyte) ทําหน้าที่สําคัญเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด ช่วยทําให้เลือดหยุดไหลหรือห้ามเลือดเมื่อเกิดบาดแผล
กลไกห้ามเลือด (Homeostasis)
Vasoconstriction เมื่อเกิดบาดแผล สารซีโรโทนิน(serotonin) จากเกล็ดเลือดจะกระตุ้นให้หลอดเลือดหดตัว
Platelet aggregation คือเซลล์ที่ได้รับความเสียหาย และเกล็ดเลือด จะปล่อยสาร ADP (adenosine diphosphate) ออกมาทําให้เกล็ดเลือดเกิดการเปลี่ยนรูปร่าง และรวมกันอุดหลอดเลือดที่เกิดบาดแผล
Coagulation, clot การเปลี่ยนโปรทรอมบิน (prothrombin) เป็นทรอมบิน เปลี่ยนไฟบริโนเจน (fibrinogen) เป็นไฟบริน (fibrin)และปัจจัยการแข็งตัวของเลือดชนิดต่างๆ ไฟบรินเป็นเส้นใยโปรตีนที่ไม่ละลายนํ้ามีการรวมตัวกันแน่นประสานเป็นร่างแห และยึดจับกับเม็ดเลือดแดงกลายเป็นก้อนเลือด (clot)
ลักษณะอาการเลือดออกที่ผิดปกติ
hematoma ภาวะที่มีเลือดคั่งเป็นก้อน
hemarthrosis ภาวะที่มีเลือดออกในข้อ
ออกเป็นจ้ำใหญ่ๆเรียกว่า echymosisหรือที่เรียกกันว่าพรายย้ำ
epistaxis ภาวะเลือดออกจากจมูก
ออกเป็นจุดเล็กๆ เรียกว่า petechiae ถ้าออกเป็นจุดปานกลาง เรียกว่า purpuric spot
bleeding per gum ภาวะเลือดออกจากบริเวณเหงือกและไรฟัน
purpura เป็นภาวะที่มีเลือดออกใต้ผิวหนังทำให้มีรอยเขียวตามผิวหนังกดแล้วไม่จางหายไป
intracrenial hemorrhage ภาวะเลือดออกในสมอง
สาเหตุของภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
สร้างจากไขกระดูกได้น้อย เช่น ภาวะที่ไขกระดูกฝ่อ (Aplastic anemia)
เกล็ดเลือดถูกทำลายมาก เช่น ในโรคที่เรียกว่า SLE
เกล็ดเลือดถูกบีบ (Squeeze) ไปอยู่ในที่หนึ่งที่ใดมากเกินไป
การใช้เกล็ดเลือดมากเกินไป
เกล็ดเลือดต่ำเพราะมีปริมาณน้ำในร่างกายมาก (Dilutional thrombocy topenia) พบในผู้ที่ได้รับน้ำเกลือ หรือสารน้ำคอลลอยด์
สาเหตุของเลือดออกผิดปกติ
ความผิดปกติของเกล็ดเลือด
ความพร่องในปัจจัยการแข็งตัวของเลือด
ความผิดปกติของหลอดเลือด
Idiopathic thrombocytopenic purpura ( ITP )
เป็นโรคที่มีอาการเลือดออกจากการมีจำนวนเกล็ดเลือดต่ำ โดยร่างกายสร้าง platelet antiboby ขึ้นมาทำลายเกล็ดเลือดของตัวเองและของผู้อื่น ทำให้มีเลือดออกใต้ผิวหนัง
แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
แบบเฉียบพลัน(acute)
แบบเรื้อรัง(chronic)
ผลการตรวจทางห้องทดลอง
hematrocrit อยู่ในเกณฑ์ปกติ ยกเว้นในรายที่มีเลือดออกรุนแรง
WBC ปกติ บางรายพบ lymphocyte สูง
เกล็ดเลือดต่ำกว่า hemostatic level คือ 60,000 เซลล์/ลบ.มม.
Bone marrow พบตัวอ่อนของเกล็ดเลือดเพิ่มขึ้น
platelet antibody ได้ผลบวกร้อยละ 38 - 76 %
platelet อายุสั้นไม่เกิน 1 วัน
การพยาบาล
ช่วยให้เลือดหยุดและป้องกันไม่ให้เลือดออกโดยการ Stop bleeding
บาดแผล ทำ pressure dressing นานประมาณ 10 - 15 นาที หรือจนเลือดหยุด
Purpura ให้ผู้ป่วยนอนพักบนเตียง
Epistaxis ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้บีบปีกจมูกทั้งสองข้าง และวางกระเป๋าน้ำแข็งหรือ cold pack ที่บริเวณหน้าผาก
Bleeding per gum & teeth ถ้ามองเห็นจุดที่เลือดออก ให้ผู้ป่วยกัด gauzeที่บริเวณนั้นไว้
Hemarthrosis พันข้อด้วย elastic bandage งดการเคลื่อนไหวข้อนั้นละยกข้อให้สูงเหนือระดับหัวใจ
Snake bite
การเป็นพิษต่อระบบเลือด คือการทำให้เกิดภาวะเลือดออกง่าย (bleeding tendency)
viper พิษของงูชนิดนี้มีลักษณะเป็น thromboplastin-like กล่าวคือ จะกระตุ้น factor X และเปลี่ยน โปรธร็อมบิน ให้กลายเป็น ธร็อมบิน ใน common pathway ของกระบวนการแข็งตัวของเลือด (coagulation cascade) ธร็อมบินที่เกิดขึ้นจะไปกระตุ้น ไฟบริโนเจน ให้เป็น ไฟบริน และไปกระตุ้น แฟดเตอร์ XIII ซึ่งจะทำให้ เกิดเป็นลิ่มเลือดทั่วทั้งร่างกาย
pit-viper พิษของงูชนิดนี้มีลักษณะเป็น thrombin-like กล่าวคือจะกระตุ้น ไฟบริโนเจน ให้เป็นไฟบรินแต่เป็นเพียง fibrin monomer ไม่เกิด cross-linked fibrin จึงไม่มีภาวะ DIC ภาวะเลือดออกผิดปรกติเกิดจากการที่ ไฟบริโนเจน ถูกใช้ไปหมด นอกจากนี้พิษงูยังมีผลทำลายเกล็ดเลือด ให้มีการลดลงของเกล็ดเลือดด้วย
อาการ
ปวด บวม แดง ร้อน แต่ไม่มาก
มีอาการเลือดออกผิดปกติ ได้แก่ เลือดออกจากแผลรอยกัดมาก, มีจ้ำเลือดบริเวณแผล
ในกรณีงูแมวเซาซึ่งเป็น viper จะมีอาการปวดกล้ามเนื้อตามตัวได้มาก มีอาการและอาการแสดงของภาวะ DIC และมีอาการของภาวะไตล้มเหลวเฉียบพลัน
การดูแลผู้ป่วย
ในผู้ป่วยที่ถูกงูแมวเซากัด ติดตามการตรวจวัดปริมาณปัสสาวะทุก 6 ชั่วโมง และอาจพิจารณาทำ hemodialysis
ขนาดของเซรุ่มแก้พิษงูที่ใช้ คือ 30 มล. สำหรับความรุนแรงปานกลาง (moderate) และ 50 มล.สำหรับความรุนแรงมาก (severe)
การติดตามผู้ป่วย ติดตามภาวะเลือดออก และ VCT ทุก 6 ชั่วโมง
ข้อบ่งชี้ในการให้เซรุ่มแก้พิษงู
มีภาวะเลือดออกผิดปกติ
VCT นานกว่า 20 นาที หรือ 20 WBCT ผิดปกติ
จำนวนเกล็ดเลือด ต่ำกว่า 10 x 109 ต่อลิตร
ระมัดระวังภาวะเสี่ยงต่อเลือดออก
การพยาบาลผู้ป่วย DIC
หลีกเลี่ยงกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำให้เกิด Increase intracranial pressure
หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลต่อหน้าที่ของเกร็ดเลือด
หลีกเลี่ยงการใช้ยาเข้ากล้ามเนื้อและ rectral
Suction โดยใช้ Low pressure
สังเกต Clot รอบ IV site และ Injections sites
Patient and family support
ภาวะซีด
เป็นภาวะที่มีจำนวนเม็ดเลือดแดงในร่างกายน้อยลงหรือน้อยกว่าปกติ โดยระดับของ Hemoglobin ลดลงต่ำกว่าค่าปกติ ซึ่งขึ้นอยู่กับอายุและเพศ
สาเหตุ
ภาวะซีดจากการสร้างเม็ดเลือดแดงลดลง
ภาวะซีดจากการทำงานของไขกระดูกล้มเหลว
ภาวะซีดจากการพยาธิสภาพของโรคต่าง
ภาวะซีดจากการขาดสารอาหารที่จำเป็นในการสร้างเม็ดเลือดแดง
ภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็ก
ภาวะซีกจากการขาดวิตามินบี12
ภาวะซีดอะพลาสติก
ภาวะซีดจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลายเพิ่มขึ้นหรือมากผิดปกติ
สาเหตุจากความผิดปกติภายในเม็ดเลือดแดง
ความผิดปกติของเอนไซม์ในเม็ดเลือดแดง
ความผิดปกติของฮีโมโกลบิน
ความผิดปกติของผนังเซลล์เม็ดเลือดแดง
ภาวะที่มีฮีโมโกลบินในปัสสาวะเวลากลางคืน
สาเหตุจากความผิดปกติภายนอกเม็ดเลือดแดง
ภาวะซีดที่เกิดจากเม็ดเลือดแตกจากภูมิคุ้มกัน
ภาวะซีดจากธาลัสซีเมีย
ภาวะที่ทำให้มีการสร้างสายโกลบิน (Globin) ลดลงหรือไม่สร้างเลย ทำให้สร้างฮีโมโกลบินปกติลดลงหรือไม่สามารถสร้างฮีโมโกลบินปกติได้เลย
สาเหตุ
เป็นความผิดปกติของการสังเคราะห์ฮีโมโกลบินซึ่งถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ทำให้มีการสร้างฮีโมโกลบินเอฟ (HbF) และฮีโมโกลบินแอลฟาทู มากเกินปกติในผู้ใหญ่
อาการและการแสดงอาการ
ซีด โหนกแก้มสูง หน้าผากนูนใหญ่ตาเหลือง ดั้งจมูกแฟบ ผิวหนังคล้ำเพราะเม็ดเลือดแดงแตกมากทำให้เหล็กเพิ่มขึ้น ต้องรับเลือดจนทำให้มีธาตุเหล็กมากเกินความจำเป็น ท้องโตเพราะตับม้ามโต เข้าสู่ภาวะหนุ่มสาวช้า
การรักษา
การเปลี่ยนยีน
การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำหนดเม็ดเลือด
การปลูกถ่ายไขกระดูก
ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงและหลีกเลี่ยงยาบำรุงที่มีธาตุเหล็ก
การรักษาอาการแทรกซ้อน
กรดโฟลิก
การตัดม้าม
ยาขับเหล็ก
การให้เลือด
ภาวะซีดจากภาวะซีดจากภาวะพร่องจี-6-พีดี
สาเหตุ
มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบ X-linked หญิงที่เป็น Heterocygote จะเป็นพาหะถ่ายทอดภาวะนี้ไปให้บุตรชายประมาณครึ่งหนึ่ง ทำให้พบภาวะพร่องจี-6-พีดี พบมากในผู้ชาย
สารบางอย่าง
อาการและอาการแสดง
ภาวะซีดอย่างเฉียบพลัน
ภาวะซีดเรื้อรัง
การรักษา
ดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เพื่อลดภาวะแทรกซ้อน
รักษาตามอาการ
ให้เลือด ชนิด Packed red cell เพื่อหลีกเลี่ยงโปแตสเซียมสูง
ให้คำแนะนำผู้ป่วยและญาติในการสังเกตอาการผิดปกติ หลีกเลี่ยงการใช้ยาโดยไม่จำเป็น ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง
หาสาเหตุและหลีกเลี่ยงแก้ไข
ภาวะซีดจากการเสียเลือดจากร่างกาย
อาการ
เหนื่อยง่ายหรือรู้สึกเหนื่อยผิดปกติเวลาที่ต้องออกแรง
อ่อนเพลีย ไม่สดชื่น ไม่มีแรงเคลื่อนไหว ทำให้มีการเคลื่อนไหวช้าลง
อาการซีด หรืออาจมีคนทักว่าเหลือง ซีด อาการซีดดูได้จากหน้าตา ผิวหนัง เปลือกตา เหงือก และลิ้น
เป็นลม หน้ามืด วิงเวียน อาจทำให้หกล้มได้
มะเร็งเม็ดเลือดขาว
มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน (Acute leukemia) เกิดจากการเพิ่มจำนวนของเซลล์เม็ดเลือดตัวอ่อนอย่างรวดเร็ว
มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง (Chronic leukemia) เกิดจากการที่ร่างกายสร้างเซลล์เม็ดเลือดที่ผิดปกติออกมาเป็นจำนวนมากกว่าเซลล์เม็ดเลือดที่ปกติ
สาเหตุ
สารก่อมะเร็ง
รังสี
ความผิดปกติของโครโมโซม
ไวรัสบางชนิด
การรักษา
เคมีบำบัด
การปลูกถ่ายไขกระดูก
การสร้างภูมิคุ้มกัน