Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลเด็กโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดแต่ละชนิด - Coggle…
การดูแลเด็กโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดแต่ละชนิด
1.ประเมินความผิดปกติของเม็ดเลือดและการมีเลือดออกได้ง่าย ซึ่งเป็นผลข้างเคียงของยาต่อไขกระดูกอันนํามาซึ่งการติดเชื้อและมีภาวะเลือดออกได้ง่าย จะต้องดูแลในเรื่องการป้องกันการติดเชื้อ
การรักษาความสะอาดของร่างกาย ของใช้ สิ่งแวดล้อม
ห้ามผู้ที่ติดเชื้อทางเดินหายใจเข้าเยี่ยมเด็กป่วย
ควรจัดห้องเฉพาะให้เด็กถ้าสามารถจัดได้
สอนเด็กให้รู้จักวิธีป้องกันการติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะหัด สุกใส เริม และงูสวัด เพราะจะทําให้มี
อาการรุนแรงมากขึ้น
ตรวจสอบอาการนําของการติดเชื้อ
สอนญาติให้ระวังเรื่องสายยางและบริเวณที่ฉีดยา (Central venous catheter)
สอนให้รู้จักหลีกเลี่ยง ควันหรือสิ่งที่จะระคายเคืองต่อเยื่อบุจมูกและกระตุ้นให้มีการออกกําลังกายให้ปอดขยายตัวได้เต็มที่
ในเด็กที่ใส่สายยางสวนปัสสาวะทิ้งไว้ตลอดเวลา ควรสอนวิธีรักษาความสะอาดละการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะอย่างเข้มงวด
ในกรณีที่เกล็ดเลือดต่ํามาก ๆ การแข็งตัวของเลือดไม่ปกติจะต้องระวังเรื่องเลือดออกตามไรฟันเลือดออกในลําไส้และเลือดกําเดาออก หรือเลือดออกจากอุบัติเหตุโดย
ระมัดระวังของมีคม หรือของเล่นที่จะทําให้เกิดบาดแผลได้ ดูแลผิวหนังไม่ให้มีรอยขีดข่วน หรือจุดเลือดออก
เลือกกิจกรรมการเล่นที่ไม่เสี่ยงและไม่ใช้ออกซิเจนมาก เช่น ฟังเพลง ดูวีดีโอ เล่นเกมส์ต่าง ๆ ระบายสี
การฉีดยาต้องใช้เข็มที่คม และเล็ก ใช้เวลาที่รอยเข็มประมาณ 3-5 นาที
ใช้แปรงสีฟันที่นุ่มไม่ทําให้เกิดระคายเคืองต่อเหงือก
หลีกเลี่ยงการวัดปรอททางก้นหรือสวนอุจจาระ เพราะเส้นเลือดที่ทวารหนักเปราะและแตกง่าย
หลีกเลี่ยงการใช้ยา Aspirin เพราะจะไม่มีผลต่อเกล็ดเลือดโดยตรง
2.ประเมินความผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น เยื่อบุปากอักเสบ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่อ
อาหาร และการเผาผลาญในร่างกายสูง เนื่องจากผลข้างเคียงของยาซึ่งจะต้องมีการระมัดระวังดูและเป็นพิเศษ
วางแผนการให้อาหารและนม ควรเลือกอาหารที่มีกากน้อย ย่อยง่าย มีโปรตีน ไวตามิน และให้แคลอรี่สูง หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดที่จะระคายเคืองเยื่อบุได้
ควรจัดอาหารให้เด็กเลือก 1-2 อย่าง จัดอาหารเหลวระหว่างมื้ออาหารหลักหลีกเลี่ยงอาหารที่มี
กลิ่นจะทําให้คลื่นไส้ได้งดอาหารที่มีส่วนผสมของแคฟีอีนและอาหารที่มีสีแดง ในเด็กบางรายจะชอบเครื่องดื่มที่เย็น ๆ
บางรายต้องใช้ยาป้ายปากที่มีส่วนผสมของยาชา ก่อนมื้ออาหารเพื่อลดความเจ็บปวด
รายที่อาเจียนจะต้องประเมินภาวะขาดน้ำ และชั่งน้ําหนักทุกวัน เพื่อการประเมินปริมาณน้ำทางหลอดเลือดดํา
ควรให้บ้วนปากด้วยน้ําเกลืออุ่น ๆ ไม่ใช้ยาจะระคายเคืองต่อเยื่อบุได้
การคํานวณน้ำเพื่อชดเชยการสูญเสียไปกับอาเจียนและอุจจาระจะนิยมใช้ 100 มิลลิลิตรต่อกิโลกรัม
สําหรับน้ําหนักตัวสิบกิโลกรัมแรก 50 มิลลิลิตรต่อกิโลกรัมสําหรับน้ําหนักตัวสิบกิโลกรัมต่อมา และ 10
มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมสําหรับน้ําหนักตัวที่เหลือและจํานวนปัสสาวะจะควบคุมให้ได้เท่ากับ 1 มิลลิลิตรต่อถ้าเด็กโตกว่านี้ใช้เท่ากับ 30 มิลลิลิตรต่อชั่วโมงและความถ่วงจําเพาะในทารกจะใช้ < 1.020 ในเด็กโต > 1.035กิโลกรัมต่อชั่วโมง ในทารกที่น้ําหนักตัวต่ํากว่า 30 กิโลกรัม
เด็กโตสอนให้รู้จักวิธีตวงน้ําดื่มและอาหารเหลวด้วยตนเอง
สอนเด็กและบิดา – มารดาที่จะงดอาหารที่มีแก็สมาก ๆ ไขมันมากหรือมีเส้นใยมาก
สอนให้สังเกตเกี่ยวกับอาการผิดปกติที่แสดงถึงความไม่สมดุลของอีเลคโทรไลต์ เช่น เวียนศีรษะ
หน้ามืด ไม่สุขสบายหายใจเร็ว ชาตามปลายมือเท้า หรือสั่นกระตุก เป็นต้น ในกรณีที่มีการเสียโซเดียมคลอไรด์
และไฮโดรเจนคลอไรด์ ควรสังเกตอาการหายใจหอบ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียนด้วย
3.ประเมินอาการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย (Body image) เช่น ผมร่วง ผิวหนังสีเข้มใบหน้ากลม
น้ำหนักเพิ่ม จากการคั่งของเกลือและน้ำ บางรายมีกล้ามเนื้ออ่อนแอ
ให้เด็กได้ระบายความรู้สึกต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างอิสระ
จัดสิ่งทดแทน เช่น หมวกหรือผ้าคลุมผม วิกผมโดยเฉพาะวัยรุ่น และให้เด็กทราบว่าผมจะขึ้นมาใหม่เมื่อหยุดยา 3-6 เดือน
ในรายที่กล้ามเนื้ออ่อนแรงจะต้องช่วยด้านการนวดกล้ามเนื้อ การออกกําลังกายหรือส่งต่อฝ่าย
กายภาพบําบัด ซึ่งอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นหลังหยุดยา
สอนวิธีดูแลรักษาความสะอาดของผิวหนังที่สีเปลี่ยนแปลงไป
4.ช่วยดูแลให้เด็กได้รับยาเคมีอย่างถูกวิธี
ตรวจผู้ป่วยก่อนให้ยา เช่น ชั่งน้ําหนัก ดูอาการอ่อนเพลีย ตับม้ามโต การขับถ่ายปัสสาวะ อาการเจ็บป่วยร่วมด้วย ดูค่าเม็ดเลือดแดง ขาว และเกล็ดเลือดทุกครั้ง
เตรียมยาจะต้องป้องกันมิให้ละอองของยาแพร่กระจายไปในอากาศไม่ว่าจะหักหลอดยา ดูดยา หรือใส่ฟองอากาศควรใช้ก๊อสหุ้มตามรอยข้อต่อของเข็มฉีดยา และวัสดุที่เปื้อนยาทุกชนิดจะต้องทิ้งลงในภาชนะที่ปิดฝาอย่างดี
ให้ยาทางหลอดเลือดดํา ควรใช้เข็มเบอร์เล็กให้สารน้ำก่อนจึงฉีดยาเข้าอย่างช้า ๆ หลังฉีดให้สารน้ำ
ทางหลอดเลือดดําตามอีกเพื่อลดการค้างของยาในหลอดเลือดซึ่งจะเกิดการอักเสบได้
เมื่อยารั่วซึมออกนอกเส้นเลือดจะต้องหยุดทันที พยายามดูดออกและประคบด้วยความเย็นนาน15-20 นาทีทุก 1 ชั่วโมงประมาณ 1 วัน ยกเว้นยาชื่อวินคริสตินควรใช้น้ําร้อนจะช่วยลดการอักเสบของผิวหนังได้บ้าง
ติดตามผลการตรวจเลือดก่อนให้ยาโดยเฉพาะ C.B.C และ Blood chemistry เพราะอาจจะต้องงดยา ถ้าเด็กซีด เม็ดเลือดขาวต่ำ หรือหน้าที่ของตับผิดปกติ