Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลบุคคลที่มีความบกพร่อง ของสติปัญญา และภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง, image…
การพยาบาลบุคคลที่มีความบกพร่อง ของสติปัญญา และภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง
โรคพาร์กินสัน (PARKINSON'S DISEASE)
สาเหตุ
ร่างกายขาดสารโดปามีนในสมอง พบได้บ่อยในผู้สูงอายุทั้งชายและหญิง
เกิดจากการเสื่อมและตายไปของเซลล์สมองที่สร้างสารโดปามีน จนไม่ สามารถสร้างสารโดปามีนได้เพียงพอ สารโดปามีนนี้มีความส าคัญต่อการควบคุม การเคลื่อนไหวของร่างกาย
อาการ
1.อาการสั่น(tremor)
2.กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง (rigidity)
3.เคลื่อนไหวช้า (bradykinesia)
4.อาการทรงตัวลำบาก (postural instability)
อาการอื่นๆ
ท่าเดินผิดปกติ
แสดงสีหน้าเฉยเมย
เสียงพูดเครือๆ
เขียนตัวหนังสือยากขึ้น
การกลอกตากระตุก
น้ำลายไหล
ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันมักมีอาการซึมเศร้า และนอนไม่หลับ
การรักษา
1.ขณะนี้ยังไม่มีวิธีการรักษาใด
การรักษาโดยการใช้ยา
ยาที่ช่วยชะลออาการ (neuroprotective therapy)
รักษาตามอาการ
3.การรักษาด้วยการท ากายภาพบำบัด
3.การผ่าตัดสมอง
การวินิจฉัยการพยาบาล
1.มีระดับการช่วยเหลือตนเองลดลงเนื่องจากการเคลื่อนไหวบกพร่อง
2.ความสามารถในการสื่อสารบกพร่องเนื่องจากอาการสั่นหรือหดเกร็ง ของกล้ามเนื้อริมฝีปากหรือลิ้น
ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอเนื่องจากกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการเคี้ยว และการกลืนอ่อนแรง สั่นหรือหดเกร็ง
ผู้ป่วยและญาติขาดความรู้เรื่องโรคและการรักษา
ALZHEIMER’S
สาเหตุ ไม่ทราบแน่ชัด
ปัจจัยเสี่ยง
อายุพบว่า ผู้ป่วยส่วนมากอายุ 65 ปีขึ้นไป แต่ก็มีบ้างบางกรณีที่ผู้ป่วยเริ่มมี อาการตอนอายุ 40 ปีปลายๆ
ประวัติการป่วยภายในครอบครัว
ป่วยด้วยโรคดาวน์ซินโดรมหรือพากินสัน (Down's syndrome/ Parkinson's disease)
พยาธิสรีรวิทยา การเปลี่ยนแปลงจะพบ สมองเหี่ยวและมีน้ าหนักลดลง ร่องสมอง (succus) และ ventricle กว้างขึ้น การเปลี่ยนแปลงทางด้านสรรีวิทยาจะ พบ amyloid plaques
อาการและอาการแสดง
1.อาการทางเชาวน์ปัญญา (cognitive aspect) เช่น ความจำเสื่อมลง มีความผิดปกติด้านการใช้ภาษา การคิด การใช้เหตุผล การรับรู้ลดลง
พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงร่วมกับอาการทางจิต (behavioural and psychological symptom of dementia) ได้แก่ การมีพฤติกรรม เปลี่ยนแปลง เช่น ก้าวร้าว ไม่อยู่นิ่ง เดินละเมอ แสดงออกทางเพศไม่ เหมาะสม กลั้นปัสสาวะไม่ได้
การวินิจฉัยโรค
1.การซักประวัติจากญาติที่ดูแล
2.การตรวจร่างกาย
3.และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ตรวจเลือด
4.เอ็กซเรย์สมองด้วยคอมพิวเตอร์, คลื่นแม่เหล็ก (MRI)
การรักษา
โรคนี้ยังไม่มีการรักษาที่แท้จริง
การรักษาส่วนใหญ่เพื่อบรรเทาอาการที่เกิดขึ้น เช่น การทำกายภาพบำบัด การรับประทานอาหารที่เหมาะสม การจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม
การให้ยาสามารถช่วยลดความกังวล จะช่วยให้ผู้ป่วยนอนหลับและสามารถทำ กิจกรรมต่างๆ ได้
การพยาบาล
1.ประเมินความสามารถของผู้ป่วยในการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ ถ้าไม่สามารถทำ ได้พยาบาลต้องช่วยดูแล
2.จัดสิ่งแวดล้อมให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอ วางแผนจัดกิจกรรม ตอน กลางวันให้เหมาะสม เพื่อจะได้นอนหลับได้ในตอนกลางคืน
3.พยาบาลต้องหมั่นตรวจสอบร่างกายผู้ป่วยอยู่เสมอ ควรบันทึกพฤติกรรมตั้งแต่แรก รับ สังเกตการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เกิดขึ้น เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ป่วยต่อไป
การตรวจสอบกิจกรรมของผู้ป่วยอยู่เสมอ จะช่วยให้พยาบาลจัดสิ่งแวดล้อมได้ เหมาะสม
ป้องกันการกระตุ้นผู้ป่วยมากเกินไป หลีกเลี่ยงการให้งานที่ก่อความวิตกกังวล
MULTIPLE SCLEROSIS
สาเหตุ
ยังไม่ทราบแน่ชัด พบบ่อยในช่วงอายุ 30-40 ปี แต่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับปัจจัย ดังต่อไปนี้
ภูมิคุ้มกันเชื่อว่าอาจเกิดจากการที่รา่งกายสรา้งภูมิคุ้มกันต้านเนื้อเยื่อตนเอง
การอักเสบติดเชื้อจากไวรัสอย่างช้าๆ ซึ่งอาจติดเชื้อมาตั้งแต่วัยหนุ่มสาว
กรรมพันธุ์ ในผู้ที่มาจากครอบครัวที่มีประวัตเิป็นมัลติเพิลสเคอโรซิส พบว่า มีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคนทั่วไปถึง 12-15 เท่า
สภาพแวดล้อมยังไม่ทราบปัจจัยที่แน่นอน
พยาธิสรีรวิทยา โรคนี้จะกระจัดกระจายอยู่ใน CNS มีการทำลายของ Myelin nerve axon sheaths และบางครั้ง axon ก็ถูกทำลายด้วย ทำให้การส่งกระแสประสาทขาดช่วงเป็นระยะๆ บริเวณที่เกิดการเปลี่ยนแปลง กระจายเป็นหย่อมๆ จะเกิดตำแหน่งไหนไม่แน่นอน ทำให้อาการแสดงไม่แน่นอนด้วย
อาการและอาการแสดง
1.แขนขาอ่อนแรง เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด กล้ามเนื้อหดเกร็ง (spasticity) ของขา ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการอัมพาตท่อนล่าง
พูดตะกุกตะกัก (dysarthria) ลูกตากระตุก (nystagmus) อาการสั่น เมื่อตั้งใจ (intention termor)
การรับความรู้สึกผิดปกติรวมถึงอาการชาและอาการเสียวแปลบของ แขนขา ลำตัวหรือใบหน้า อาจมีอาการเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต เมื่อผู้ป่วยก้มหน้า เรียกว่า “Lhermittesign”
กล้ามเนื้อใบหน้าส่วนครึ่งล่างอ่อนแรง มีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ใบหน้าซีกใดซีกหนึ่ง ปวดประสาทใบหน้า (trigeminal neuralgia) อาการกลืน ลำบาก
การเห็นผิดปกติ เห็นภาพซ้อน ภาพมัว หรือสายตาเสื่อมลง อาจเป็นได้ ทั้งข้างเดียวหรือ 2 ข้าง ลานสายตาผิดปกติ
ระบบการขับถ่ายเสียหน้าที่ การขับถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะผิดปกติ เช่น การกลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะกระปริบกระปรอย
การวินิจฉัยโรค
1.จากอาการเฉพาะที่ทางคลินิคที่ปรากฎให้ชัดเจน
การเจาะหลังพบ ระดับ grammar globulin ในน้ำไขสันหลังมีค่า สูง รวมทั้งโปรตีนและเม็ดเลือด
CT scan จะพบการเปลี่ยนแปลง ฝ่อลีบ หรือเหี่ยว
การตรวจคลื่นสมอง อาจพบความผิดปกติได้
การรักษา
การให้ ACTH(adrenocorticotrophic hormone), Prednisolone, Dexamethasone เพื่อลดภาวะบวมของมัยอิลิน
การรักษาทางยา ส่วนใหญ่แพทย์จะให้ยาลดอาการกล้ามเนื้อกระตุก
ให้ยาลดสภาพของอารมณ์ที่ไมม่ั่นคง เช่น Diazepam
การทำกายภาพบำบัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เดินออกกำลังกายปกติ และการเดินออกกำลังกายในสระน้ำเพื่อการบำบัด
การพยาบาล
ส่งเสริมและช่วยเหลือให้ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหว ออกกำลังกายและฝึกการใช้กล้ามเนื้อต่างๆ
ช่วยเอื้ออำนวยให้ผู้ป่วยสามารถปรับตัวต่อภาวะเครียดที่เกิดขึ้นจากผลของโรค
ป้องกันปัญหาและภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ปัญหาที่พบบ่อย คือ ปัญหาการปัสสาวะไม่ออก ท้องผูก
ดูแลให้ผู้ป่วยพักผ่อนได้เต็มที่ ตลอดจนช่วยเหลือในด้านความสุขสบายต่างๆ
ระมัดระวังอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากผู้ป่วยมีปัญหาการมองเห็นภาพซ้อน ตากระตุก พยาบาลควรจัดสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย ยกไม้กั้นเตียงขึ้นเสมอ
GUILLAIN-BARRE SYNDROME (GBS)
สาเหตุ
สาเหตุของการเกิดยังไม่ทราบแน่นอน เชื่อว่าเกิดจากภูมิต้านทานของ ตนเองที่ร่างกายสร้างขึ้นภายหลัง มีการติดเชื้อโดยเฉพาะเชื้อไวรัส โดยมักพบกลุ่มอาการนี้ภายหลังมีการติดเชื้อในร่างกาย ได้แก่
การติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ
การติดเชื้อของระบบทางเดินอาหาร
คางทูม หัด อีสุกอีใส
ภายหลังการได้รับวัคซีนโรคไข้หวัดใหญ่
พยาธิสรีรวิทยา การเกิดกลุ่มอาการ กิแลน เบอร์เร่ เชื่อว่าเกิดจากปฏิกิริยาการตอบสนอง ทางภูมิต้านทานที่ร่างกายสร้างขึ้นภายหลังมีการติดเชื้อ โดยเฉพาะการติดเชื้อ ไวรัส จะกระตุ้นปฏิกิริยาตอบสนองทางภูมิคุ้มกันแบบเฉพาะเจาะจงทั้งการสร้าง แอนติบอดี้
อาการและอาการแสดง
อาการทางด้านประสาทรับความรู้สึก
อาการของกล้ามเนื้ออ่อนแรง
อาการลุกลามของประสาทสมอง
อาการลุกลามของประสาทอัตโนมัติ
การดำเนินโรค
1.ระยะเฉียบพลัน(Acute phase)
ระยะอาการคงที่ (Static phase)
ระยะฟื้นตัว(Recovery phase)
การวินิจฉัยโรค
การซักประวัติ
การตรวจร่างกาย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและอื่นๆ
การรักษา
การช่วยหายใจในผู้ป่วยที่มีภาวะการหายใจล้มเหลว
การให้ยากลุ่มสตีรอยด์
การเปลี่ยนถ่ายพลาสม่า (plasmapheresis)
ปัจจัยที่ทำให้ผลการรักษาโรคไม่ดี
อายุมากกว่า 40 ปี
ประวัติอุจจาระร่วงก่อนป่วย
ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
anti -GM1 สูง
กล้ามเนื้อแขน ขาอ่อนแรง
MYASTHENIA GRAVIS
ภาวะผิดปกติที่ตำแหน่งรอยต่อระหว่างเส้นใยประสาท และใยกล้ามเนื้อ( neuromuscular junction) ส่งผลกระทบต่อการส่ง กระแสประสาทในร่างกาย
สาเหตุ
เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของกล้ามเนื้อ
เชื่อว่ามีความสัมพันธ์กับออโตอิมมูน (autoimmune)หรือ ภูมิต้านทานที่เกิดกับอวัยวะของตัวเอง
อาจพบร่วมกับคนที่มีต่อมไทมัส(thymus gland) โต
พยาธิสรีรวิทยา ไมแอสทีเนียเกรวิสเป็นความผิดปกติที่ระบบภูมิคุ้มกันของ ร่างกายที่เกี่ยวข้องกับต่อมไทมัส สร้างแอนติบอดี้มาท าลายตำแหน่ง รับสารสื่อประสาท (acetylcholine receptor: AchR) ตรงรอยต่อ ระหว่างเส้นใยประสาทและกล้ามเนื้อ (neuromuscular junction) ทำให้มีระดับสารสื่อประสาทacetylcholine ลดลง
อาการและอาการแสดง
ที่พบได้บ่อย คืออาการหนังตาตก (ptosis) ซึ่งมักเกิดเพียงข้างเดียว นอกจากนี้อาจมีอาการตาเข มองเห็นภาพไม่ชัด เห็นภาพซ้อน (diplopia)
ถ้าเป็นมากขึ้น อาจมีอาการพูดอ้อแอ้ กลืนลำบาก พูดเสียงขึ้นจมูก หรือ อาจมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ร่วมด้วย
ในรายที่เป็นมาก อาจมีอาการอ่อนแรงของแขนขาบางส่วนจนลุกขึ้นยืน หรือเดินไม่ได้
การวินิจฉัยโรค
การอาศัยประวัติ
ตรวจร่างกาย อาการและอาการแสดง
ทดสอบโดยการฉีดนีโอสติกมีน(Neostigmine) 1.5 มิลลิกรัม เข้าใต้หนัง หรือฉีดเทนซิลอน(Tensilon) 10 มิลลิกรัม เข้าหลอด เลือดดำ ซึ่งจะทำให้อาการดีขึ้นถ้าเป็นโรคนี้
นอกจากนี้จะมีการตรวจพิเศษอื่นๆ ได้แก่ CT-scan หรือ MRI
การรักษา
การให้Anticholinesteraseได้แก่ เมสตินอล(Mestinon) หรือพรอสติกมิน (Prostigmin)
คอร์ติโคสตีรอยด์ เนื่องจากเชื่อว่า มายแอสทีเนียกราวิสเกิดจากความผิดปกติ ทางด้านอิมมูน จึงใช้ ให้สเตียรอยด์เพื่อกดการสร้างอิมมนูที่ผิดปกติ
รายที่ตรวจพบว่ามีตอ่มไทมสัโตรว่มดว้ย อาจต้องผ่าตัดเอาตอ่มไทมสัออก (thymectomy) ซึ่งอาจจะช่วยให้อาการดขีึ้น
การเปลี่ยนพลาสม่า(plasmapheresis)
วินิจฉัยการพยาบาล
ข้อวินิจฉัยและแผนการพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับ ระบบประสาท
การกำซาบของเนื้อเยื่อสมองลดลงเนื่องจากความดันในกะโหลกศีรษะสูงจากการบาดเจ็บที่สมอง เลือดออกในสมอง สมองบวม การติดเชื้อที่สมอง โรคหลอดเลือดสมอง Hydrocephalus
ขาดประสิทธิภาพในการทำทางเดินหายใจให้โล่ง เนื่องจากไม่สามารถไอเอาเสมหะออก จากภาวะไม่รู้สึกตัว
เสี่ยงต่อการส าลักเนื่องจากระดับการรู้สติลดลง รีเฟล็กซ์ การไอและการขย้อนลดลง ใส่คาท่อ Tracheostomy หรือ Endotraheal ท่อส าหรับให้อาหาร
การรับความรู้สึกและการรับรู้เปลี่ยนแปลงเนื่องจาก
-การไม่รับรู้ต่อการเคลื่อนไหว
-การไม่รับรู้ต่อการสัมผัส
-การมองเห็นเปลี่ยนแปลง
การสื่อสารบกพร่องเนื่องจาก การได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ สมองซีกเด่นถูกทำลาย
การเคลื่อนไหวบกพร่องเนื่องจากความผิดปกติของระบบประสาท
มีความวิตกกังวลเนื่องจากขาดความรู้เกี่ยวกับโรค/สูญเสียภาพลักษณ์/สูญเสียอำนาจ ในการควบคุมตนเอง /สูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษา