Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
กลุ่มอาการช็อคและแมลงสัตว์กัดต่อย, 99, ip002_anaphylaxis_img1_au, newscms…
กลุ่มอาการช็อคและแมลงสัตว์กัดต่อย
ภาวะช็อค (Shock)
คือ ภาวะของร่างกายที่มีการไหลเวียนเลือดลดลงต่ำผิดปกติ ส่งผลให้การสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ในร่างกายไม่เพียงพอ ทำให้เซลล์และอวัยวะเสียหายจากการขาดเลือดที่เป็นตัวนำออกซิเจนและสารอาหาร เมื่อเกิดกับอวัยวะสำคัญและรักษาไม่ทันเวลาอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
ประเภทของช็อค
ภาวะช็อกจากการอุดกั้นนอกหัวใจ (Obstructive Shock) เกิดจากการที่เลือดไม่มีตำแหน่งที่จะไหลไปได้ เกิดขึ้นได้เมื่อมีอากาศหรือของเหลวสะสมในโพรงปอด เช่นภาวะปอดรั่ว (Pneumothorax) ภาวะเลือดออกในเยื่อหุ้มปอด (Hemothorax) ภาวะบีบรัดหัวใจ (Cardiac Tamponade)
ภาวะช็อกจากโรคหัวใจ (Cardiogenic Shock) เกิดจากความเสียหายที่หัวใจ ส่งผลให้ปริมาณเลือดที่ไหลเวียนไปเลี้ยงร่างกายลดลง มักเกิดจากความเสียหายที่กล้ามเนื้อหัวใจ หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ และหัวใจเต้นช้าเกิน
ภาวะช็อกจากปริมาณเลือดลดลง (Distributive Shock) เกิดจากหลอดเลือดเปิดออกและเริ่มอ่อนตัวลง ทำให้ความดันของเลือดลดน้อยลงจนไม่สามารถไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้เพียงพอ
ทั้งนี้ภาวะช็อกจากปริมาณเลือดลดลงยังสามารถแยกได้อีกหลายประเภท ดังนี้
ภาวะช็อกจากปฏิกิริยาภูมิแพ้เฉียบพลัน (Anaphylactic shock) เป็นภาวะแทรกซ้อนจากปฏิกิริยาแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) เกิดจากการที่ร่างกายเข้าใจผิดคิดว่าสิ่งที่ไม่เป็นอันตรายเป็นของผิดแปลก จนทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิต้านทานชนิดรุนแรงขึ้นมา
ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Septic shock) เป็นภาวะช็อกที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในเลือด จึงทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงขึ้นที่เนื้อเยื่อหรืออวัยวะในร่างกาย
ภาวะช็อกทางระบบประสาท (Neurogenic shock) เกิดจากความเสียหายที่ระบบประสาทส่วนกลางที่มักมีสาเหตุมาจากการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง
ภาวะช็อกจากการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ (Hypovolemic Shock) เกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดไม่มีเลือดเพียงพอต่อการขนส่งออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกาย ภาวะนี้อาจเกิดจากการสูญเสียเลือดปริมาณมาก เช่น การประสบอุบัติเหตุ หรืออาจเกิดจากภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรงก็ได้
อาการของภาวะช็อค
ชีพจรเต้นเร็ว ชีพจรเต้นอ่อน หรือขาดช่วง หายใจเบาหรือหายใจถี่ หน้ามืด ผิวเย็น ผิวซีด ม่านตาหด เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ สับสน ปัสสาวะน้อย ปากแห้งและกระหายน้ำ น้ำตาลในเลือดต่ำ หมดสติ
การวินิจฉัยภาวะช็อค
แพทย์จะตรวจดูอาการภายนอกของผู้ป่วยที่เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าร่างกายเกิดภาวะช็อก เช่น ความดันโลหิตลดต่ำลง สัญญาณชีพจรอ่อน หัวใจเต้นเร็ว จากนั้นจะช่วยรักษาในเบื้องต้น เพื่อให้ความดันโลหิตในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ในระดับที่ปลอดภัยเป็นอันดับแรกก่อนวินิจฉัยหาสาเหตุ
หลังจากอาการผู้ป่วยดีขึ้นจึงตรวจด้านอื่น ๆ เพิ่มเติมตามความเสี่ยงด้านสุขภาพของแต่ละคน เพื่อค้นหาสาเหตุของภาวะช็อกและให้การรักษาอย่างถูกวิธี
1 การถ่ายภาพเอกซเรย์ แพทย์อาจใช้การตรวจอัลตราซาวด์ (Ultrasound) เอกซเรย์ทั่วไป (X-rays) ซีที สแกน (CT scan) หรือเอ็มอาร์ไอ (MRI)
2.การตรวจเลือด เพื่อดูปริมาณเลือดที่สูญเสียไป การติดเชื้อในกระแสเลือด ผลจากการใช้ยาหรือสารเสพติดเกินขนาด
3.การตรวจอื่น ๆ แพทย์จะพิจาณาตามอาการของผู้ป่วยแต่ละราย เช่น ผู้ที่คาดว่าเกิดภาวะช็อกจากโรคหัวใจจะได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG)
การรักษา
อาการช็อค
1.ช็อกจากการเสียน้ำและเลือด รักษาโดยคงไว้ซึ่งความสมดุลของปริมาณการไหลเวียนเลือดให้เพียงพอ
2.ช็อกจากความผิดปกติหัวใจ โดยเพิ่มความแข็งแรงในการทำงานของหัวใจ เพื่อเพิ่มปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจ และป้องกันหัวใจเต้นผิดจังหวะ
3.ช็อกจากการติดเชื้อ รักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะ เพื่อทำลายเชื้อ
4.ช็อกจากระบบประสาท รักษาโดยเพิ่มปริมาณการไหลเวียนเลือดและให้ยาที่ส่งเสริมการหดรัดของหลอดเลือด
การบาดเจ็บจากกระแสไฟฟ้า (Electrical Injuries)
คือ ภาวะที่ผิวหนังหรืออวัยวะภายในของร่างกายได้รับบาดเจ็บจากพลังงานไฟฟ้า โดยไฟช็อตจะเกิดขึ้นเมื่อไปสัมผัสกับแหล่งที่มีการไหลเวียนของกระแสไฟฟ้าโดยตรง
อาการและอาการแสดง
อาการจะแตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรง บางรายอาจปรากฏอาการไฟช็อตเพียงเล็กน้อย ส่วนบางรายอาจมีอาการรุนแรงและปรากฏออกมาชัดเจน
หมดสติ หายใจลำบากหรือไม่หายใจ รวมทั้งการทำงานของปอดล้มเหลว ชีพจรเต้นผิดจังหวะ ประสบภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เกิดแผลไหม้ที่ผิวหนัง ปวดกล้ามเนื้อ หรือกล้ามเนื้อกระตุก หดเกร็งอย่างรุนแรง เกิดอาการชา หรือเป็นเหน็บชา เกิดอาการชัก ปวดศีรษะ
สาเหตุ
สัมผัสอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตรงบริเวณที่กระแสไฟฟ้าวิ่งอยู่
ส่วนเด็กเล็กเกิดจากการกัดสายไฟหรือเอาเหล็กแหย่เต้าเสียบปลั๊กไฟ
อุปกรณ์ไฟฟ้าโดนน้ำหรือเปียกน้ำ
เครื่องไฟฟ้าทำงานผิดปกติ หรือเกิดความขัดข้องเสียหายขึ้นมา
ระบบไฟฟ้าเสื่อมสภาพ
เกิดประกายไฟหรือไฟฟ้ารั่ว
หากถูกฟ้าผ่า ก็อาจได้รับบาดเจ็บเหมือนถูกไฟช็อตได้
การวินิจฉัย
ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เพื่อตรวจดูจังหวะการเต้นของหัวใจว่าสม่ำเสมอเป็นปกติ หรือหัวใจมีการเต้นผิดจังหวะจากการถูกไฟช็อต
ตรวจเลือดเพื่อหาความผิดปกติของสารในร่างกายต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นหลังจากการถูกไฟช็อต
ตรวจปัสสาวะ เพื่อตรวจเอนไซม์กล้ามเนื้อ การตรวจดังกล่าวจะช่วยวินิจฉัยอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อจากการถูกไฟช็อต
เอกซเรย์ เพื่อตรวจหาภาวะกระดูกหักหรือกระดูกเคลื่อน
ทำซีทีสแกน หากสันนิษฐานว่าผู้ป่วยอาจได้รับบาดเจ็บที่อวัยวะภายใน
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
ต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจากบริเวณที่ถูกไฟดูด ไฟช๊อตให้เร็วที่สุดถ้าพบแหล่งไฟฟ้ารั่ว ควรพยายามหาทางตัดวงจรไฟฟ้าเสียก่อน หรือ ผู้ป่วยถูกไฟฟ้าแรงสูงดูด และมีสายไฟพาดผ่านตัวผู้ป่วยอยู่ เราต้องหาวัสดุที่เป็นฉนวนไม่นำกระแสไฟฟ้าเช่น ไม้ เขี่ยเอา สายไฟออกจากตัวผู้ป่วยก่อนๆ ที่จะเข้าไปช่วยเหลือ
ตรวจดูหัวใจว่าหยุดเต้นหรือไม่ เพราะ กระแสไฟฟ้าแรงสูงที่ไหลผ่านหัวใจอาจทำให้คลื่นหัวใจหยุดเต้นได้ โดยใช้นิ้วมือคลำดูจากการเต้นของชีพจรบริเวณคอ ถ้าหัวใจหยุดเต้น ต้องทำการนวดหัวใจไปพร้อมๆกับการผายปอด
หลังจากช่วยเหลือผู้ป่วยออกมาได้แล้วให้นำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
แผลไหม้ (Burns)
ประเภทของแผลไหม้
แบ่งตามสาเหตุได้ 4 ประเภท
แผลไหม้จากความร้อน (Thermal injury)
แผลไหม้จากกระแสไฟฟ้า (Electrical injury)
แผลไหม้จากสารเคมี (Chemical injury)
แผลไหม้จากรังสี (Radiation injury)
การคำนวณผิวหนังที่ได้รับบาดเจ็บ
Rule of nines โดยศีรษะและคอคิดเป็นร้อยละ 9 แขนแต่ละข้างร้อยละ 9 ลำตัวแต่ละด้านร้อยละ 18 ขา แต่ละข้างร้อยละ 18 และ Perineum ร้อยละ 1 (ใช้เฉพาะในผู้ใหญ่)
ฝ่ามือของผู้ป่วย (รวมนิ้วมือ) ประมาณร้อยละ 1
การดูแลคนไข้บาดแผลไฟไหม้
Aseptic technic หรือ aseptic precaution ในการดูแลบาดแผล
Isolation ในกรณีบาดเจ็บระดับรุนแรงมากและระดับอันตราย
การให้ยาปฏิชีวนะ ยาปฏิชีวนะที่ส าคัญ ได้แก่ topical antibacterial agent ส่วนการให้ยาปฏิชีวนะแบบ systemic ไม่แนะนำให้ใช้ในระยะแรก
การกำจัดเนื้อตาย ควรกำจัดออกแล้วทำความสะอาด
พยายามหาทางปิดแผลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ เช่น การใช้ skin grafting
แนวทางปฏิบัติสำหรับการดูแลคนไข้ที่มีบาดแผลไฟไหม้ที่ห้องฉุกเฉิน
แพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยที่ห้องฉุกเฉินควรสวมถุงมือที่ปราศจากเชื้อก่อนที่จะจับต้องหรือตรวจคนไข้ถอดเสื้อผ้าที่คนไข้สวมอยู่ออกให้หมดเพื่อจะได้สามารถทำการตรวจร่างกายได้อย่างละเอียด และเสาะหาการบาดเจ็บอื่นที่อาจเกิดร่วมด้วย แล้วประเมินความรุนแรงของบาดแผลดังได้กล่าวไว้แล้ว
อาการแพ้รุนแรง (Anaphylaxis)
เป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้แบบฉับพลัน โดยมากมักเกิดภายใน 5-30 นาทีหลังจากได้รับสารก่อภูมิแพ้งหลังได้รับสารก่อภูมิแพ้ชนิดรับประทาน อาจมีความรุนแรงถึงชีวิต
สาเหตุ
ยา เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวด
อาหาร เช่น อาหารทะเล แป้งสาลี ไข่ นม ถัว
มดกัด หรือแมลงมีพิษต่อย เช่น ผึง ต่อ แตน
ยางลาเท็กซ
การวินิจฉัย
การตรวจหาเอนไซม์ทริปเทส (tryptase)
การตรวจหาสารที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้
การตรวจภูมิแพ้ทางผิวหนัง (skin test)
การทดสอบการตอบสนองของร่างกายต่อยา
(drug provocation test: DPT)
การรักษา
ประเมินผู้ป่วยตามหลัก A B C
ร้องขอความช่วยเหลือ
จัดท่าให้ผู้ป่วยนอนราบยกขาสูงเพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดดำเข้าสู่หัวใจ
ให้ adrenaline โดยให้ขนาด 1:1,000 เข้า
กล้ามเนื้อ
ให้น้ำเกลือเป็น crystalloid ขนาด 500-1,000 มิลลิลิตร
ในเด็กให้ 20 มิลลิลิตรต่อกิโลกรัม
พิจารณาให้ยา chlorpheniramine โดยให้เข้า
กล้ามหรือเข้าหลอดเลือดดำช้าๆ
พิจารณาให้ยา hydrocortisone โดยให้เข้า
กล้ามหรือเข้าหลอดเลือดดำช้าๆ
ถ้าผู้ป่วยมีภาวะหัวใจหยุดเต้นก็ให้รักษาตาม
แนวทางการช่วยฟื้นคืนชีพชั้นสูง
นส นิลาวรรณนันต๊ะ เลขที่29