Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การบาดเจ็บไขสันหลัง (SPINAL CORD INJURIES), image, image, image, image,…
การบาดเจ็บไขสันหลัง
(SPINAL CORD INJURIES)
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
1.การบาดเจ็บ (Trauma)
อุบัติเหตุรถยนต์ จักรยานยนต์
โดนยิง หรือถูกแทง
ตกจากที่สูง
การเล่นกีฬา
2.ความผิดปกติที่ไม่ได้เกิดจากการบาดเจ็บ (Non-traumatic disorders)
การเสื่อมของกระดูกสันหลัง
การอับเสบของเยื้อหุ้มไขสันหลัง
โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)
เนื้องอก
โรคของหลอดเลือด
กลไกการบาดเจ็บไขสันหลัง
1.การบาดเจ็บแบบงอ (Flexion injury)
พบได้บ่อยที่สุด
ส่วนใหญ่เกิดจากอุบัติรถยนต์
ตำแหน่งของกระดูกสันหลังที่มีผลกระทบ คือ C5 –C6 และ T12 –L1
มีการฉีกขาดของเอ็นด้านหลัง (Posterior ligament)
ส่งผลให้ไขสันหลังขาดเลือดไปเลี้ยง
2.การบาดเจ็บท่าแหงนคอมากกว่าปกติ (Hyperextension injury)
เกิดจากการหกล้มคางกระแทกวัตถุ
มีการฉีกขาดของเอ็นด้านหน้า (Anterior ligament)
อาจเกิดของไขสันหลังแบบตัดขวางอย่างสมบูรณ์
ส่งผลให้สูญเสียการเคลื่อนไหวในต าแหน่งที่ต่ ากว่าบริเวณที่ มีพยาธิสภาพ
3.การบาดเจ็บท่างอ และหมุน (Flexion with rotation injury)
เกิดจากการหมุนหรือบิดของศีรษะและคออย่างรุนแรง
มีการฉีกขาด posterior longitudinal ligament
4.การบาดเจ็บแบบยุบจากแรงอัด (Compression injury)
เกิดจาการการหกล้มหรือกระโดด โดยใช้ส่วนนำ คือ ศีรษะ ก้น หรือเท้า กระแทกกับวัตถุ
มีกระดูกสันหลังยุบตัวซ้นเข้าหากัน ทำให้ไขสันหลังบาดเจ็บ
ถ้าเกิดการกระแทกโดยใช้เท้าน า จะเกิดการบาดเจ็บที่ กระดูกสันหลังส่วนเอว(L) และส่วนอกท่อนล่าง (T)
ถ้าเกิดการกระแทกโดยใช้ศีรษะน า จะเกิดการบาดเจ็บที่ กระดูกสันหลังส่วนคอ(C)
50 % ของการบาดเจ็บเป็นแบบ Incomplete lesion
5.การบาดเจ็บแบบ Penetrating injury
เกิดจากถูกแทง ถูกยิง
ทำให้เกิดการบาดเจ็บทั้งทางตรงและทางอ้อม
ไขสันหลังบวมและขาดเลือดและเนื้อเยื่อไขสันหลังตายจาก การขาดเลือด
6.การบาดเจ็บที่มีลักษณะเฉพาะ
ประเภทของการบาดเจ็บไขสันหลัง
1.บาดเจ็บไขสันหลังชนิดสมบูรณ์
เป็นการบาดเจ็บที่ทำให้ไขสันหลังสูญเสียหน้าที่ทั้งหมด
สูญเสียการทำงานของกล้ามเนื้อและความรู้สึกในส่วนที่ต่ำกว่าพยาธิสภาพ
ควบคุมกล้ามเนื้อหูรูดรอบทวารหนักไม่ได้
2.บาดเจ็บไขสันหลังชนิดไม่สมบูรณ์ ร่างกาย ส่วนที่อยู่ต่ำกว่าระดับพยาธิสภาพ มีบางส่วนของ ระบบประสาทที่ยังทำหน้าที่อยู่
ระดับความรุนแรงของการบาดเจ็บไขสันหลัง
ระดับA (complete) หมายถึง อัมพาตอย่างสมบูรณ์ไม่มีการเคลื่อนไหว และไม่มีความรู้สึก
ระดับB (incomplete) หมายถึง มีความรู้สึกในระดับ S4-5 แต่ เคลื่อนไหวไม่ได้เลย
ระดับ C (incomplete) หมายถึง ความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออยู่ต่ ากว่า ระดับ 3
ระดับD (incomplete) หมายถึง ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อตั้งแต่ ระดับ 3 ขึ้นไป
ระดับ E (normal) หมายถึง การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและ การรับความรู้สึกปกติ
การดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บไขสันหลัง
ในระยะก่อนถึงโรงพยาบาล
1.การดูแลระบบทางเดินหายใจให้โล่งขณะเดียวกันต้องระวัง ไม่ให้กระดูกคอเคลื่อนโดยการใส่ Philadelphia collar
2.การดูแลห้ามเลือดในที่เกิดเหตุ
3.จัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าที่สบายและเจ็บปวดน้อยที่สุด
4.การเคลื่อนย้าย(transportation) ต้องใช้คนช่วยอย่างน้อย 3 คน log roll โดยการใช้ Spinal board เป็นวิธีการที่ดีที่สุด
การประเมินการบาดเจ็บไขสันหลัง
1.การซักประวัติ
ปวดตึงต้นคอ หรือความรู้สึกที่แขน ขาลดลง
ปวดหลังหรือปวดตามแนวกึ่งกลางหลัง จะปวดมากขึ้น ถ้าร่างกายมีการเคลื่อนไหว
ความดันโลหิตต่ำร่วมกับชีพจรช้า
มีบาดเจ็บเหนือกระดูกไหปลาร้าหรือมีบาดเจ็บที่ใบหน้า อย่างรุนแรง
ตกจากที่สูงมากกว่า 3 เท่าของความสูงของผู้ป่วยหรือ สูงมากกว่า6 เมตร
การตรวจร่างกาย ใช้หลัก ABCDE
การประเมินการหายใจ รวมทั้งการท าทางเดินหายใจให้โล่ง
การประเมินภาวะบวม หรือการมีเลือดออก เช่น ช่อง ท้อง ช่องอก หรือจากกระดูกหักส่วนอื่น
การประเมิน Glasgow’s Coma Score
การประเมินระบบประสาท
sensation
perianal sensation
bulbocarvernosus reflex
3.การตรวจทางรังสีวิทยา
Plain film เป็นการตรวจคัดกรองที่สำคัญ
Computed tomography scan (CT)
Magnetic resonance imagine (MRI)
การดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บไขสันหลัง ระยะเฉียบพลัน
Breathing
2.Circulation (keep MAP ≥ 85 mmHg)
3.การให้ยา
4.การดูแลระบบทางเดินหายใจ
5.การดูแลระบบทางเดินอาหารและการขับถ่ายอุจาระ
6.การดูแลระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งผู้ป่วยบาดเจ็บไขสันหลังจะเกิด ภาวะneurogenic bladder
7.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับความอบอุ่นเพียงพอ
8.จัดหาเตียงที่เหมาะสม
SPINAL SHOCK
ภาวะที่ไขสันหลังหยุดทำงานชั่วคราว ภายหลังได้รับบาดเจ็บ เนื่องจาก ไขสันหลังที่ได้รับบาดเจ็บใหม่ๆ จะบวมมาก ใยประสาทจึงหยุดทำงานชั่วคราว เมื่อยุบบวมใยประสาทจึงกลับมาทำงานได้ปกติ
อาการสำคัญ
1.อวัยวะที่อยู่ต่ำกว่าระดับไขสันหลังได้รับบาดเจ็บจะเป็นอัมพาต แบบอ่อนปวกเปียก (flaccid paralysis) รวมถึงอวัยวะภายในช่องท้อง เป็นอัมพาตด้วย ท้องอืดจาก bowel ileus ปัสสาวะคั่งจาก atonic bladder
ความดันโลหิตต่่ำ (hypotension) เนื่องจากหลอดเลือดของอวัยวะ ส่วนที่เป็นอัมพาตขยายตัวและชีพจรช้าเนื่องจาก cardiac tone ลดลง
3.ไม่มีรีเฟล็กซ์ (areflexia) โดยเฉพาะรีเฟล็กซ์ที่สำคัญ คือ bulbocarvernous reflex
4.ผิวหนังเย็นและแห้ง
5.อวัยวะเพศชายขยายตัว (priaprism)
NEUROGENIC SHOCK
ภาวะช็อคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท
อาการสำคัญ
1.ความดันโลหิตต่่ำ (hypotension) เนื่องจากสูญเสียการทำงานของ sympathetic outflow
2.bradycardia
3.hypothermia
การดูแลกระดูกสันหลังที่ได้รับบาดเจ็บ
หลักการรักษา
1.การทำให้ส่วนที่หักหรือบาดเจ็บอยู่นิ่ง (Immobilization)
2.การดึงกระดูกให้เข้าที่ (Reduction/realignment) โดย การทำ Skull traction
3.การผ่าตัด (Stabilization)
หลักการดูแล
ปัญหา : 1. ระบบทางเดินหายใจ
บาดเจ็บ C4 ขึ้นไป -> phrenic nerve และ intercostal muscle เสียหน้าที่
บาดเจ็บตั้งแต่ C5-T6 ขึ้นไป -> intercostal muscle อ่อนแรง
บาดเจ็บต ากว่า T6 -> อาจมีภาวะแทรกซ้อนในระบบทางเดิน หายใจเนื่องจากถูกจeกัดการเคลื่อนไหว เช่น ปอดแฟบ ปอดบวม
อาจมีบาดเจ็บอื่นร่วม ->เช่น tension pneumothorax หรือ hemothorax เป็นต้น
เป้าหมาย
ระบายเสมหะทำทางเดินหายใจให้โล่ง
เพิ่มปริมาตรปอดส่งเสริมการระบายอากาศและการแลกเปลี่ยนกาซ
เพิ่มความแข็งแรงและทนทานของกล้ามเนื้อหายใจ
ป้องกันภาวะแทรกซ้อนของระบบทางเดินหายใจ
การพยาบาล
การให้ออกซิเจนจะช่วยบรรเทาการได้รับบาดเจ็บของไขสันหลังได้ สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บในระดับ C4 ขึ้นไป อาจได้รับการพิจารณาใส่ท่อ ช่วยหายใจและเครื่องช่วยหายใจ ตามลำดับ
ในรายที่ใส่เครื่องช่วยหายใจ ควรเตรียมความพร้อมเพื่อหย่าเครื่องช่วย หายใจ ตามเกณฑ์การหย่าเครื่องช่วยหายใจ
Breathing exercise
ปัญหา : 2 ระบบไหลเวียน
เป้าหมาย
ดูแลให้หัวใจมีอัตราการเต้นที่เหมาะสม
ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในช่วงที่ไม่คุกคามชีวิต
ส่งเสริมการไหลเวียนเลือดของแขน ขา ที่เป็นอัมพาต
การพยาบาล
1.ประเมินการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด
ดูแลภาวะหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ โดยหลีกเลี่ยง การพลิก ตัวอย่างรวดเร็ว
ป้องกันภาวะแทรกซ้อนภายหลังจากพ้นระยะ spinal shock
การบาดเจ็บไขสันหลังระดับสูง -> ระบบประสาทอัตโนมัติซิมพาทติก สูญเสียหน้าที่ -> neurogenic shock
ปัญหา : 3 ระบบทางเดินอาหาร
เป้าหมาย
ป้องกันการสูดสำลักเศษอาหารและน้ำ
2.ให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารและน้ำอย่างเพียงพอ
การพยาบาล
ภาวะท้องอืด (paralytic ileus)
1.ประเมินเสียง bowel sound
2.เมื่อผู้ป่วยมีภาวะท้องตึงแน่น ควรวัดรอบสะดือทุก 8 ชั่วโมง ใส่ NG tube ต่อลงถุงหรือต่อเครื่อง low intermittent suction พร้อมทั้ง บันทึกจำนวนและลักษณะของ content
3.ล้วงอุจจาระออกทุกวันเป็นเวลา 3 วันเพื่อลดแรงดันภายในลำไส้
4.งดน้ำและอาหารทางปากทุกชนิด ดูแลให้ได้รับสารน้้ำและเกลือ แร่ทางหลอดเลือดดำทดแทน
แผลและเลือดออกในกระเพาะอาหาร
1.ลดภาวะเสี่ยงต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร โดยรักษาภาวะ hypoxia ในระยะแรก ลดการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อในกระเพาะอาหาร จากการใส่ NG tube ต่อลงถุงหรือ low pressure intermittent suction
2.สังเกตอาการแสดงของภาวะเลือดออกในกระเพาะอาหาร เช่น systolic น้อยกว่า 85 mmHg, HCT และ Hb ลดลง, อาเจียนออกมาเป็นเลือดสด, coffee ground, อุจจาระเป็น melena และตรวจพบ occult blood
3.เตรียมตรวจพิเศษ เช่น gastroscopy หรือ gastric larvage
ภาวะทุโภชนาการ
ประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะทุโภชนาการ
2.ดูแลให้ได้รับสารอาหารตามแผนการรักษา
3.กระตุ้นให้ได้รับอาหารในรายที่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ
4.จัดท่าในการรับประทานอาหารที่เหมาะสม
5.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับอาหารทางสายยางอย่างเพียงพอ
ปัญหา:4 ระบบทางเดินอุจจาระและภาวะลำไส้ใหญ่พิการ
การพยาบาล
ล้วงเอาอุจจาระออกจากลำไส้ใหญ่ ภายใน 2 –3 วัน
ให้ผู้ป่วยได้รับน้ำอย่างเพียงพอ วันละ 2000 ถึง3000 มิลลิลิตร
กระตุ้นผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีกากใย
ปัญหา : 5 ระบบทางเดินปัสสาวะและภาวะกระเพาะปัสสาวะพิการ
การพยาบาล
1.การคาสายสวนเป็นสิ่งจำเป็นในระยะช็อคจากการบาดเจ็บไขสันหลัง
2.การพยาบาลเพื่อการฝึกหัดขับปัสสาวะในผู้ป่วยบาดเจ็บไขสันหลัง
ปัญหา : 6 ระบบผิวหนัง
การพยาบาล
1.ประเมินผิวหนังและแผลกดทับโดยใช้แบบประเมินความเสี่ยง braden
2.ให้ความรู้กับผู้ป่วย ญาติ ผู้ดูแล และบุคลากรพยาบาลในการดูแล ผู้ป่วย
เปลี่ยนท่านอนผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอทุกๆ 2 ชั่วโมง
ใช้ผ้าขวางเตียงช่วยยกตัวผู้ป่วยขึ้น
5.การเลือกที่นอนหรืออุปกรณ์รองรับผู้ป่วยสำคัญมากที่สุด
ปัญหา :7 การดูแลด้านจิตใจ สังคม อารมณ์
การพยาบาล
ช่วยให้ผู้ป่วยรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทีละขั้นตอน
อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลังการบาดเจ็บไขสันหลัง
อธิบายข้อมูลที่ชัดเจน และเป็นจริงในแต่ละวันเพียงเล็กน้อย จะทำให้ผู้ป่วยเข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกายตนเอง
4.ให้การพยาบาลเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลง ภาพลักษณ์ของตนเอง
ช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกประสบผลสำเร็จโดยตั้งเป้าหมายในระยะสั้นๆที่ ผู้ป่วยสามารถท าได้ให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าตนเองเป็นบุคคลหนึ่ง
ส่งเสริมความเชื่ออำนาจภายในตนเองของผู้ป่วย
ปัญหา : 8 การวางแผนจำหน่าย
การพยาบาล
การเตรียมการดูแลที่บ้าน (home care preparation) เกี่ยวกับ ทักษะในการดูแลตนเอง หรือทักษะในการดูแลของผู้ดูแล
การสอนด้านสุขภาพ เช่น การปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน การฝึก ขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ การดูแลผิวหนัง การบริหารยา เป็นต้น
การเตรียมด้านจิตสังคม โดยการใช้โครงการ family support
การเตรียมแหล่งประโยชน์ด้านสุขภาพ เช่น ศูนย์การช่วยเหลือ ผู้ป่วยบาดเจ็บไขสันหลัง