Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินในระบบหัวใจและหลอดเลือด - Coggle Diagram
การพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินในระบบหัวใจและหลอดเลือด
Acute MI
โรคหัวใจขาดเลือด (Ischemicheart disease, IHD) หรือโรคหลอดเลือดแดง โคโรนารี(Coronaryartery disease, CAD)โรคที่เกิดจากหลอดเลือดแดง ที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบหรือตัน ซึ่งส่วนใหญ่เกิด
จากไขมัน และเนื้อเยื่อสะสมอยู่ในผนังของหลอดเลือดมีผลให้เยื่อบุผนังหลอดเลือดชั้นในตําแหน่งนั้นหนาตัวขึ้นผู้ป่วยจะมีอาการและอาการแสดงเมื่อหลอดเลือดแดงนี้ตีบ ร้อยละ50 หรือ มากกว่าอาการสําคัญที่พบได้บ่อยเช่น อาการเจ็บเค้นอก ใจสั่น เหงื่อออก เหนื่อยขณะออกแรง เป็นลม หมดสติหรือเสียชีวิตเฉียบพลันสามารถแบ่งกลุ่มอาการทางคลินิกได้2 กลุ่ม คือ ภาวะเจ็บเค้นอกคงที่ (Stable angina) และ ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (Acute coronary syndrome)
ภาวะเจ็บเค้นอกคงที่ (stable angina) หรือ ภาวะเจ็บเค้นอกเรื้อรัง (chronic stable angina) กลุ่มอาการที่เกิดจากโรคหัวใจขาดเลือดเรื้อรัง (chronic ischemic heart disease) โดยผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บเค้น อกเป็นๆ หายๆ อาการไม่รุนแรง ระยะเวลาครั้งละ 3-5 นาทีหายโดยการพักหรืออมยาขยายเส้นเลือดหัวใจเป็นมา
นาน กว่า 2 เดือน
ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (Acute coronary syndrome, ACS) หมายถึง กลุ่มอาการโรคหัวใจขาดเลือดที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน ประกอบด้วย อาการที่สําคัญคือ เจ็บเค้นอกรุนแรงเฉียบพลัน หรือเจ็บขณะพัก (Restangina) นานกว่า 20 นาทีหรือ เจ็บเค้นอกซึ่งเกิดขึ้นใหม่ หรือรุนแรงขึ้นกว่าเดิม
จําแนกเป็น 2 ชนิดดังนี้
ST elevation acute coronary syndrome หมายถึง ภาวะหัวใจ ขาดเลือดเฉียบพลัน ผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจมีลักษณะ ST segment ยกขึ้นอย่างน้อย 2 leads ที่ต่อเนื่องกัน หรือเกิด LBBBขึ้นมาใหม่ ซึ่งเกิดจากการ อุดตันของหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลันหากผู้ป่วยไม่ได้รับการเปิดเส้นเลือดที่อุดตัน ในเวลาอันรวดเร็วจะทําให้เกิด Acute ST elevation myocardial infarction (STEMI or Acute transmural MI or Q-wave MI)
Non ST elevation acute coronary syndrome หมายถึง ภาวะหัวใจ ขาดเลือดเฉียบพลัน ชนิดที่ไม่พบ ST segment elevation มักพบลักษณะของคลื่น ไฟฟ้าหัวใจเป็น ST segment depression และ/ หรือT
wave inversion ร่วมด้วยหากมีอาการนานกว่า 30 นาทีอาจจะเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันชนิดnon-STelevation MI (NSTEMI, or Non-Q wave MI) หรือถ้าอาการไม่รุนแรงอาจเกิดเพียง ภาวะเจ็บเค้นอกไม่คงที่
(Unstable angina)
อาการนําที่สําคัญ ของโรคหัวใจขาดเลือดที่ทําให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์มีดังนี้
กลุ่มอาการเจ็บเค้นอก
เหนื่อยง่ายขณะออกแรง
กลุ่มอาการของภาวะหัวใจล้มเหลวทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง
อาการเนื่องจากความดันโลหิตต่ําเฉียบพลัน
อาการหมดสติหรือหัวใจหยุดเต้น
กลุ่มอาการเจ็บเค้นอก
อาการเจ็บแน่นหรืออึดอัดบริเวณหน้าอก หรือปวดเมื่อย หัวไหล่หรือปวดกราม หรือจุกบริเวณลิ้นปี่ เป็นมากขณะออกกําลัง
ลักษณะเฉพาะของโรคหัวใจขาดเลือด
เจ็บหนักๆ เหมือนมีอะไรมาทับ หรือรัดบริเวณกลางหน้าอกใต้กระดูก sternum อาจมีร้าวไปบริเวณคอกราม ไหล่
และ แขนทั้ง 2 ข้างโดยเฉพาะข้างซ้ายเป็นมากขณะออกกําลังเป็นนานครั้งละ 2-3 นาทีเมื่อ นั่งพักหรืออมยาnitroglycerin อาการจะทุเลาลง
การวินิจฉัยโรค
หากยังสงสัยโรคหัวใจขาดเลือดให้พิจารณาส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกําลังกาย (exercise stress test) การตรวจ cardiac imaging ชนิดต่าง ๆ เป็นต้น
การวินิจฉัยแยกโรค ในผู้ป่วยที่มีอาการต่างไปจากลักษณะเฉพาะของอาการเจ็บเค้นอกที่กล่าวข้างต้น โรคที่ให้อาการคล้ายคลึงกันเช่น โรคหลอดเลือดแดงใหญ่แทรกเซาะ (aortic dissection) โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ โรคลิ่มเลือดอุดตัน ในปอดเฉียบพลัน (acute pulmonary embolism)ภาวะลมรั่วในปอดที่รุนแรง(tension pneumothorax) โรคกระเพาะโรคกล้ามเนื้อหรือกระดูกอักเสบบริเวณหน้าอกโรคระบบทางเดินหายใจโรคถุงน้ําดีอักเสบ ตับอักเสบ ตับอ่อนอักเสบโรคงูสวัดโรคจิตประสาท หากไม่แน่ใจแพทย์จะพิจารณาส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม
ควรนึกถึงภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (acute coronary syndrome)ในผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บเค้นอกรุนแรงติดต่อกันเป็นเวลานานเกินกว่า 20 นาทีหรืออมยาใต้ลิ้นแล้วไม่ได้ผล หรือมีอาการเจ็บเค้นอก
เพิ่มขึ้นชวนให้สงสัยว่าเป็นโรคหัวใจขาดเลือดรุนแรง ต้องรีบตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจ cardiac markersรวมทั้งตรวจ ทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมที่จําเป็น และให้การรักษาเบื้องต้นตามสภาพผู้ป่วยทันทีพร้อมทั้งให้การรักษาเฉพาะหรือส่งต่อผู้ป่วยไปยังสถานพยาบาลที่มีความพร้อมโดยเร็วที่สุด
**
ผู้ป่วยที่คลื่นไฟฟ้าหัวใจแสดง ST elevation ชัดเจนไม่ต้องรอผล cardiac enzyme ให้รีบให้การ
รักษาที่รวดเร็วและเหมาะสม
ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจซ้ํา เพื่อช่วยในการวินิจฉัยและประเมินความ รุนแรงของโรคในผู้ป่วยที่สงสัยภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันควรตรวจ troponin และ/หรือcardiac enzyme ในโรงพยาบาลที่มีความพร้อมเพื่อช่วยตัดสินใจให้ผู้ป่วยกลับบ้านหรืออยู่สังเกตอาการต่อโดย หากผู้ป่วยหายจากอาการเจ็บเค้นอกและผลการตรวจ troponinได้ผลลบติดต่อกัน 2ครั้งห่างกัน 4ชั่วโมง หรือ1ครั้งหากตรวจหลังจากเจ็บเค้นอกเกิน 9ชั่วโมงสามารถให้การรักษาและนัดตรวจติดตามผลแบบผู้ป่วยนอกได้
อาจสงสัยว่าอาการเจ็บเค้นอกนั้นมีสาเหตุมาจากโรคหัวใจขาดเลือดในผู้ป่วย ที่มีอาการเจ็บเค้นอก
และเคยได้รับการตรวจพิเศษทางระบบหัวใจที่มีความแม่นยําในการวินิจฉัยโรคหัวใจขาดเลือดเช่น การฉีดสีหลอด
เลือดหัวใจ (coronary angiography)หรือพบลักษณะของกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการตรวจคลื่นเสียงสะท้อนของหัวใจ
(echocardiography)
การพยาบาล
นอนพักในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก และให้ออกซิเจน
เฝ้าระวังคลื่นไฟฟ้าหัวใจ, O2 saturation, วัดสัญญาณชีพ
ให้ Aspirin gr V (325 mg) 1 เม็ด เคี้ยวแล้วกลืน ถ้าไม่มีประวัติแพ้ยา Aspirin
ให้ Isosorbide dinitrate (Isordil) 5 mg อมใต้ลิ้น ถ้าความดันซิสโตลิก > 90 mmHg ให้ซ้ําได้ทุก 5 นาที (สูงสุด 3 เม็ด) หากอาการแน่นหน้าอกไม่ดีขึ้น
ถ้าผู้ป่วยเคยได้รับยาอยู่แล้ว ให้ใช้ยาที่ได้รับจากแพทย์ตามความเหมาะสม (หมายเหตุ: ก่อนให้ยาอมใต้ลิ้น หากผู้ป่วยมีประวัติว่าใช้ยา Phosphodiesterase-5-inhibitorเช่น Sildenafil (Viagra) ภายใน 24 ชั่วโมงควรงดยาอมใต้ลิ้น)
หากอาการแน่นหน้าอกไม่ดีขึ้น หลังได้ยาอมใต้ลิ้น พิจารณาให้ยาแก้ปวด Morphine 3-5 mg เจือจางทางหลอดเลือดดํา
เตรียมพร้อมสําหรับภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ, ความดันโลหิตต่ํา และหัวใจหยุดเต้น
นําส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
เหนื่อยง่ายขณะออกแรง ผู้ป่วยที่มีอาการเหนื่อยในขณะออกกําลังแบ่งออกได้2 กลุ่มตามระยะเวลาที่ ปรากฏอาการต่อเนื่อง คืออาการเหนื่อยขณะออกกําลังที่เกิดขึ้นเฉียบพลันภายใน1–2สัปดาห์ผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรนึกถึงโรคหัวใจที่มีผลให้การทํางานของหัวใจลดลงอย่าง เฉียบพลัน
กลุ่มอาการของภาวะหัวใจล้มเหลวทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง
3.1 กลุ่มอาการที่เกิดจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ผู้ป่วยกลุ่มนี้มาด้วยอาการเหนื่อยซึ่งเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน หายใจหอบ นอนราบไม่ได้แน่นอึดอัด หายใจเข้าไม่เต็มปอดอาจมีอาการเจ็บเค้นอกร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้
3.2 อาการที่เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวเป็นๆ หายๆ มาเป็นเวลานานส่วนหนึ่งจะเกิดจากโรคหลอดเลือดหัวใจที่มีพยาธิสภาพกระจายกว้าง หรือเคยเป็นกล้ามเนื้อหัวใจ ตายขนาดใหญ่นอนราบไม่ได้ต้องตื่นขึ้นมากลางดึก มีตับโต ขาบวม
อาการเนื่องจากความดันโลหิตต่ําเฉียบพลัน เนื่องจากภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน อาจทําให้ประสิทธิภาพการบีบตัวของ หัวใจลดลงอย่างรวดเร็ว
อาการหมดสติหรือหัวใจหยุดเต้น การลดอัตราตายในผู้ป่วยกลุ่มนี้จําเป็นต้องได้รับการกู้ชีพที่มี
ประสิทธิภาพ ณ จุดเกิดเหตุซึ่งส่วนใหญ่อยู่นอกโรงพยาบาล
บทบาทของพยาบาลฉุกเฉิน ในการดูแลผู้ป่วยระยะวิกฤติ
ประเมินสภาพผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว
1) O: Onset ระยะเวลาที่เกิดอาการ เช่น อาการเกิดขึ้นอย่างไร ขณะเกิดอาการ ผู้ป่วยก าลังท าอะไร
เพื่อให้ทราบว่าอาการเกิดขึ้นนานแค่ไหน เป็นเฉียบพลันหรือเรื้อรัง
2) P: Precipitate cause สาเหตุชักนําและการทุเลา เช่น อะไรทําให้อาการดีขึ้น อะไรทําให้อาการแย่ลง
3) Q: Quality ลักษณะของ อาการเจ็บอก เช่น มีอาการอย่างไร เจ็บแน่นเหมือนมีอะไรมาบีบ รัดหรือเจ็บ
แปล๊บ ๆ
4) R: Refer pain ส าหรับอาการเจ็บร้าว อาจ ให้ผู้ป่วยชี้ด้วยนิ้วว่าเจ็บตรงไหน เจ็บร้าวไปที่ไหนตาแหน่งใดบ้าง
5) S: Severity ความรุนแรงของอาการเจ็บแน่นอก หรือ Pain score
6) T: Time ระยะเวลาที่เป็น หรือเวลาที่เกิดอาการที่ แน่นอน ปวดนานกี่นาที
ประสานงาน ตามทีมผู้ดูแลผู้ป่วยกลุ่มหัวใจขาดเลือด เฉียบพลัน ให้การดูแลแบบช่องทางด่วนพิเศษ ACS fast track โดยใช้ clinical pathway หรือ care map เป็นแนวทางในการดูแล ผู้ป่วยรวมถึงให้การดูแลกับครอบครัวและญาติของผู้ป่วยในภาวะ วิกฤติและฉุกเฉินที่มีความกังวล
ให้ออกซิเจน เมื่อมีภาวะ hypoxemia (SaO2 < 90% or PaO2 < 60 mmHg) ซึ่งหากร่างกายมีภาวะ hyperoxia จะทําให้เกิดvasospasm และ myocardia injury มากขึ้น ดังนั้นไม่แนะนํา ให้ routineoxygen ในผู้ป่วยที่มี SaO2 > 90% รวมถึงดูแลให้ยาตามแผนการรักษา aspirin 160 - 325 มก. เคี้ยวทันที และ
ให้nitroglycerin พ่นหรืออมใต้ลิ้นในผู้ที่เคยได้รับการวินิจฉัยโรค หัวใจขาดเลือดมาก่อนที่ไม่มีข้อห้าม
กํารตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจและการแปลผล พยาบาลต้อง ตัดสินใจตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจทันที โดยทําพร้อมกับการ ซักประวัติเพราะต้องอ่านแปลผลภายใน 10 นาที10,16 พร้อมกับรายงานแพทย์ อ่านแปลผลร่วมกัน
เฝ้าระวังอาการและอาการแสดงของการเกิด cardiac arrest เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันโลหิตต่าติดตามประเมิน สัญญาณชีพ และ EKG monitoringสังเกตอาการเหงื่อแตก ตัวเย็น ซีดเขียว ปัสสาวะออกน้อย ความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง
การพยาบาลกรณี EKG show ST elevation หรือพบ LBBB ที่เกิดขึ้นใหม่ พยาบาลต้องเตรียมผู้ป่วยเพื่อเข้ารับการรักษาโดยการเปิดหลอดเลือดโดยเร่งด่วนโดยแพทย์จะเลือกวิธีการรักษาโดยทํา Primary PCI เป็นอันดับแรก
พยาบาลต้องประสานงาน จัดหาเครื่องมือประเมินสภาพและดูแลรักษาผู้ป่วยให้เพียงพอทั้งปริมาณและคุณภาพ เพื่อให้ปฏิบัติงานได้สะดวกรวดเร็วและสอดคล้องกับแนวทางการดูแลรักษาที่กําหนด เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจประจาห้องฉุกเฉิน เครื่องตรวจระดับน้าตาลในเลือดจากปลายนิ้ว เครื่องตรวจ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ยาและเวชภัณฑ์
เตรียมความพร้อมของระบบสนับสนุนการดูแลรักษา
ปรับปรุงระบบส่งต่อผู้ป่วยให้รวดเร็วและปลอดภัย
Pulmonary embolism (PE)
PE เป็นภาวะที่เกิดจากการที่มีลิ่มเลือดเกิดขึ้นในหลอดเลือดดํา และหลุดไปอุดที่หลอดเลือดที่ปอด(venous thromboembolism หรือ VTE) โดยมากมักเกิดที่บริเวณหลอดเลือดดําที่ขามีส่วนน้อยที่เกิด บริเวณหลอดเลือดดําที่แขน
กลไกที่ทําให้เกิดลิ่มเลือดมี 3 ปจัจยั (Virchow’s triad) ได้แก่
(1) การไหลเวียน ของเลือดลดลงเกิดจากร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว (immobilization) เป็นเวลานาน
(2) มีความผิดปกติของเลือด ที่ทําให้เกิดลิ่มเลือดได้ง่าย (hypercoagulable states)
(3) มีผนังหลอดเลือดดําที่ผิดปกติเกิดจากมีlocal trauma หรือมีการอักเสบ ก้อนลิ่มเลือดดังกล่าวหากเกิดขึ้นแล้วมีโอกาสสูงที่จะหลุดเข้าสู่หลอดเลือดดํา inferior หรือ superior vena cavaก่อนผ่านเข้าหัวใจห้อง
ขวาและหลุดมาอุดกั้นที่หลอดเลือดในปอดทําให้เลือดดําไม่สามารถไปแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนเกิดภาวะออกซิเจนพร่อง (hypoxia)และหากก้อนลิ่มเลือดมีขนาดใหญ่จะทําให้มีการเพิ่มขึ้นของแรงเสียดทานในหลอด
เลือดปอด (pulmonary vascular resistance)ทําให้ความดันในหัวใจห้องขวาสูงขึ้น และมีการเคลื่อน (shift) ของผนังกั้นหัวใจห้องล่างไปทางหัวใจห้องซ้ายล่างผลดังกล่าวร่วมกับปริมาณเลือดที่ผ่านเนื้อปอดมาสู่หัวใจห้อง
ซ้ายก็ลดลง ทําให้ cardiac output ลดลงผู้ป่วย จะมีความดันลดตำ่าลง ช็อก และเสียชีวิตในที่สุด
อาการแสดงทางคลินิก
ผู้ป่วยมักจะมีอาการหายใจหอบเหนื่อยมากอย่างกะทันหัน
ใจสั่น แน่นหน้าอก (pleuritic pain)
บางรายมีอาการหน้ามืดเป็นลม หรือหมดสติพบไม่บ่อยที่ผู้ป่วยจะมีอาการไอเป็นเลือดซึ่งเกิดจากการที่มีการตาย ของเนื้อปอด
ตรวจร่างกาย
ผุ้ป่วยมักหายใจเร็ว มีระดับออกซิเจนในเลือดต่ํา (hypoxemia)
หัวใจเต้นเร็ว และ มีหลอดเลือดดําที่คอโป่ง (elevated jugular venous pressure)
ฟังปอดมักปกติหรืออาจฟังได้เสียงวี๊ด (wheezing)ใน
หลอดลม
บางครั้งอาจได้ยินเสียงการเสียดสีของเยื่อหุ้มปอด (pleural rub) ได้
พบว่าประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยไม่มีอาการ หรือมีอาการไม่มาก
ในรายที่มีลิ่มเลือดขนาดใหญ่ไปอุดในหลอดเลือดปอด (massive PE) ผู้ป่วยจะตัวเย็น มีความดันต่ําช็อก ร่วมกับมีอาการเขียวคล้ําา (cyanosis)
ผู้ป่วยท่สงสัย PE ควรจะตรวจดูว่ามีขาหรือน่องบวม ปวด หรือไม่ ซึ่ง
มักเป็นข้างใดข้างหนึ่ง
ในรายที่ มีการอักเสบของหลอดเลือดดําร่วมด้วย อาจจะมีอาการแดงร้อนร่วมด้วย ถ้าพบว่ามีลีกษณะของ deep vein thrombosisดังกล่าวจะสนับสนุนการวินิจฉัยว่าเป็น PE มากขึ้น
แนวทางการวินิจฉัยและการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การถายภาพรังสีทรวงอก (chest X-ray) มักพบว่าปกติเป็นส่วนใหญ่ อาจพบว่ามีเนื้อปอด บางบริเวณที่มีปริมาณหลอดเลือดลดลง (regional hypo-perfusion)หรือเห็นมี infiltration ที่บริเวณปอด ในกรณีที่มีการ
ตาย ของเนื้อปอดในรายที่เป็นเรื้อรังอาจพบว่าหลอดเลือดที่ขั้วปอดมีขนาดโตขึ้นและมีหัวใจห้องขวาโตขึ้นโดยปกติการส่งตรวจภาพถ่ายรังสีทรวงอก มีประโยชน์ในการแยกสาเหตุอื่นๆ ออกไป มากกว่าการให้การวินิจฉัย
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (12 leads-ECG) ส่วนใหญ่พบว่าหัวใจเต้นเร็ว (sinus tachycardia) ลักษณะมี deepS-wave ใน lead I และมี Q-waveและ T-inversion ใน lead III พบได้ไม่บ่อย แต่มีความจําเพาะค่อนข้างมาก
นอกจากนี้อาจ พบมี T-inversion ใน leads V1 -V3ได้และ right bundle branch block (CRBBB) บ่งบอกว่าหัวใจห้องล่างขวาทําางานผิดปกติ(right ventricular dysfunction)
คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiography) จะพบมีลักษณะของ right ventricular dysfunctionกล่าวคือ หัวใจห้องล่างขวามีขนาดโต เบียดผนังกั้นหัวใจห้องล่าง(interventricular septum) ไปทางหัวใจห้องล่างซ้าย และมีลิ้นหัวใจไตรคัสปิดรั่ว (tricuspid regurgitation)บ่งบอกว่ามีความดันในปอดสูง (pulmonaryhypertension) นอกจากนี้การตรวจคลื่นเสียงสะท้อน หัวใจยังสามารถใช้ในการแยกสาเหตุอื่นๆ ออกไป
การตรวจระดับก๊าซในเลือดแดง (arterial blood gas, ABG) พบว่า มีระดับออกซิเจนในเลือด ต่ํา(hypoxemia) ร่วมกับมีระดับาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดต่ํา(hypocapnia) และมีค่า alveolar-arterialoxygen gradient กว้าง อย่างไรก็ตามอาจพบ ABG ปกติได้ร้อยละ 20 ของ ผู้ป่วย
ค่า Biomakers ต่างๆสูงกว่าปกติ
Troponin-l or Pro-brain-type natriuretic peptide อาจสูงกว่าปกติได้ บ่งบอกว่ามีการตายของกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างขวา
การรักษา
Anticoagulation ผู้ป่วยส่วนมากในกลุ่มนี้จะได้รับการรักษาโดยการให้anticoagulation คล้าย ๆ กับการรักษา DVT นั้นคือการให้heparinในหลอดเลือดดําในช่วงแรกและการให้ยา Coumadin ต่ออีกเวลาประมาณ 3 เดือน ส่วนในผู้ป่วยที่มีการเกิดPE ซ้ําแล้วซ้ําอีกอาจจะ พิจารณาการให้ยา Anticoagulation ตลอดชีวิต
Thrombolytic therapy มักจะเก็บไว้ในผู้ป่วยที่มีกรณีmassive pulmonary emboli ที่มีระบบหัวใจ
และปอดทํางานผิดปกติมีผลกับ haemodynamic อย่างรุนแรง
Caval filter คือการใส่ตะแกรงกรอง embolism ใน inferior vena cava ตัวกรองเหล่านี้จะเป็นตัว เก็บก้อนเลือดซึ่งมาจากขาหรือ iliac veinวิธีการนี้จะทําในผู้ป่วยที่มีrecurrent PE ทั้ง ๆ ที่ให้ยาAnticoagulationanticoagulationได้ก็จะ พิจารณาอาจจะต้องใส่ caval
filter ชั่วคราวอย่างเพียงพอ หรืออาจใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถให้ยา