Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาวะช็อก ( Shock ) - Coggle Diagram
ภาวะช็อก ( Shock )
ประเภทของช็อก
Septic shock
คือ
ภาวะช็อกที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดต่าง ๆ เข้าสู่กระแสเลือดและสร้างพิษที่เป็นอันตรายต่ออวัยวะในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งการติดเชื้ออาจเกิดได้จากหลายโรค
Cardiacgenic shock
คือ
ภาวะช็อกที่มีสาเหตุมาจากหัวใจและหลอดเลือดขนาดใหญ่ได้รับความเสียหายหรือเกิดความผิดปกติ จึงทำให้เลือดสูบฉีดไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้น้อยลง ซึ่งอาจเป็นผลมาจากกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลาย หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือเต้นช้าผิดปกติ กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Heart Attack) หรือภาวะหัวใจวาย (Congestive Heart Failure: CHF)
Hypovolemic shock
คือ
ภาวะช็อกที่เกิดจากการเสียเลือดหรือน้ำออกจากร่างกาย ทำให้สารน้ำและอิเล็กโทรไลต์ไม่สมดุล เช่น เลือดออกในทางเดินอาหาร ถ่ายเหลวอย่างรุนแรง หรือเสียเลือดจากอุบัติเหตุ ทำให้การไหลเวียนเลือดไม่เพียงพอ
Obstructive shock
คือ
ภาวะช็อกที่เกิดจากเลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ตามปกติ ซึ่งเป็นผลที่เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด (Pulmonary Embolism: PE) หรือสภาวะใด ๆ ที่ทำให้เกิดการสะสมของอากาศและของเหลวในโพรงช่องอก เช่น ภาวะโพรงเยื่อหุ้มปอดมีอากาศ (Pneumothorax) หรือภาวะปอดแตก (Collapsed Lung) ภาวะเลือดออกในช่องปอด (Hemothorax) ภาวะบีบรัดหัวใจ (Cardiac Tamponade)
Anaphylactic shock
คือ
ภาวะช็อกที่เกิดจากการแพ้รุนแรง เป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้แบบฉับพลัน โดยมากมักเกิดภายใน 5-30 นาทีหลังจากได้รับสารก่อภูมิแพ้ หรือไม่เกิน 2 ชั่วโมงหลังได้รับสารก่อภูมิแพ้ชนิดรับประทาน อาจมีความรุนแรงถึงชีวิต อาการแพ้รุนแรงมักมีอาการทั่วร่างกายหรือมีอาการแสดงหลายระบบ
ภาวะช็อก ( Shock )
หมายถึง
ภาวะที่ร่างกาย หรือเนื้อเยื่อต่างๆได้รับเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างความต้องการ และปริมาณออกซิเจนที่เลือดนำไปเลี้ยงเนื้อเยื่อ
สาเหตุ
- ความผิดปกติในการทำงานของหัวใจ ประสาท และต่อมไร้ท่อ
- มีภาวะเสียเลือดหรือน้ำอย่างรุนแรง ( Hypovolumic shock )
- การติดเชื้อในกระแสเลือด ( Septic shock )
- ได้รับสารพิษ เช่น ถูกสัตว์แมลงกัด ได้รับสารเคมี หรือยาบางอย่าง
- มีความผิดปกติของเมตาบอลิซึม เช่น น้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำผิดปกติ ภาวะไตวาย ตับวาย เป็นต้น
อาการช็อก
- ถ้ามีอาการช็อกรุนแรงม่านตาจะไม่ค่อยตอบสนองต่อแสง
1.ระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว เช่น BP < 90/60 มม.ปรอท Pulse pressure ≤ 20 มม.ปรอท mean arterial pressure < 60 มม.ปรอท
- กระสับกระส่าย ชิพจรเบาเร็ว ซีด เหงื่อออก ตัวเย็น กระหายน้ำ อ่อนเพลีย อาเจียน จะเป็นลม ปัสสาวะออกน้อยหรือไม่ออกเลย หายใจเร็วถี่ขึ้น ไม่สม่ำเสมอ หมดสติ
-
การรักษาเบื้องต้น/ส่งต่อ
ภาวะช็อก ( Shock )
4.ให้สารน้ำทดแทนทางหลอดเลือดดำ เพื่อรักษาสัญญาณชีพควรให้สารน้ำที่มีความเข้มข้นใกล้เคียงกับเลือด (isotonic solution) เช่น NSS, Lactated Ringer’s solution ไม่ควรให้สารน้ำที่มีความเข้มข้นน้อยกว่าเลือด เช่น 5% D/W
-
-
-
2.ให้นอนราบยกขาสูงขึ้น 10-20 นิ้ว เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดจากส่วนปลายกลับสู่หัวใจ และเพิ่มเลือดไปเลี้ยงสมอง
-
-
-
-
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
เริ่มจากการซักประวัติโดยละเอียดเพื่อหาสาเหตุของช็อก เช่น การเจ็บป่วยต่างๆ การสูญเสียเลือดหรือสารน้ำ การประสบอุบัติเหตุ การใช้ยาโดยเฉพาะ corticosteroid การได้รับสารพิษ โรคติดเชื้อ เป็นต้น
การตรวจร่างกาย
- pulse pressure กว้างกว่าปกติหรอแคบลงโดยถือว่าความกว้างของ pulse pressure ที่มากกว่า 50 mmHg เป็นค่าที่กว้างกว่าปกติ
- capillary refill ถ้าใช้เวลามากกว่า 3 วินาที แสดงว่า มี capillary refill ช้าลง
- jugular venous pressure หรอื central venous pressure ในกรณที่มีสายสวนอยู่แล้ว
- lung sound เน้นการฟังที่บริเวณชายปอดทั้งสองข้างหากพบว่ามี crepitation ทำให้นึกถึงผู้ป่วย cardiogenic shock ร่วมกับ pulmonary edema
- heart sound โดยตรวจหา S3 galloping sound ซึ่งบ่งบอกว่ามี systolic dysfunction