Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 1 การดูแลเด็กเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล, นางสาววริศรา ริมบู…
บทที่ 1
การดูแลเด็กเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
1.Family Centered Care/สิทธิเด็ก
บทบาทของครอบครัวต่อเด็กเจ็บป่วย
มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเจ็บป่วยมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงการพัฒนาการการเจริญเติบโตของเด็กแต่ละวัย
สัมพันธภาพเละความรู้สึกระหว่างเด็กป่วยเละสมาชิกในกรอบครัว
มีความรู้ในการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน
การปรับตัวของเด็กป่วยและสมาชิกในครอบครัว
บิดามารดาต้องมีความรู้ความเข้าใจในการเจ็บป่วยของเด็กเกี่ยวกับสาเหตุการเจ็บป่วยได้รับการดูแลเละการรักษา
การติดต่อกับผู้ให้บริการแก่เด็กและครอบครัว
สิทธิเด็ก
สิทธิขั้นพื้นฐานตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
4.สิทธิในการมีส่วนร่วม (Right of Participation) คือ การให้เด็กได้รับบทบาทที่สำคัญในชุมชนเด็กมีสิทธิที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมในสังคม มีอิสระใน การแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่มีผลกระทบต่อชีวิตของตนเอง
2.สิทธิในการพัฒนา (Right of Development) คือ การได้รับโอกาสในการพัฒนา อย่างเต็มตามศักยภาพ
1.สิทธิการมีชีวิตอยู่รอด (Right of Survival)คือ สิทธิของเด็กที่คลอดออก มาแล้วจะต้องมีชีวิตอยู่รอดอย่างปลอดภัย
3.สิทธิในการได้รับการคุ้มครอง (Right of Protection) คือ การได้รับการ คุ้มครองจากการเลือก
ปฏิบัติการล่วงละเมิดการถูกกลั่นแกล้งการถูกทอดทิ้งการกระทำทารุณ หรือการใช้แรงงานเด็ก
หมายถึง บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบรูณ์แต่ไม่รวมถึงผู้ที่บรรลุนิติภาวะด้วยการสมรส มีอำนาจอันชอบธรรมที่จะกระทำการใดๆ ได้อย่างอิสระ โดยได้รับการรับรองคุ้มครองจากกฎหมาย
บทบาทของพยาบาลในการดูแลครอบครัวเป็นศูนย์กลาง
มีสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ป่วยเด็กและสมาชิกในครอบครัว
ประสานและส ่งต่อกับพยาบาลในชุมชนเกี่ยวกับการดูแลเด็กป่วยและสมาชิกในครอบครัว
ป้องกันภาวะวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นได้ละส ่งเสริมให้เด็กและครอบครัวดูแลการเจ็บป่วยขั้นต้นได้
ส่งเสริมทางด้นจิตสังคมให้เด็กและสมาชิกครอบครัวมีการปรับตัวต่อภาวะวิกฤตได้
มีความรู้เกี่ยวกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการปกติ รวมทั้งระบบของครอบครัว มีการวางแผนการพยาบาล โดยใช้กระบวนการพยาบาลมาใช้
2.ระยะเฉียบพลันและระยะวิกฤติ
1.Separation Anxiety (ภาวะวิตกกังวลจากการพลัดพราก)
ระยะประท้วง (protest)
เด็กจะร้องไห้เสียงดัง กรีดเสียงร้อง
เรียกหาบิดามารดา ร้องไห้
การดูแลเด็กในระยะประท้วง
ให้เด็กมีของรักหรือของคุ้นเคยไว้ติดตัว หรือมอบของเล่นประจ าตัว เช ่น ผ้าเช็ดหน้า
ไว้กับเด็ก เพื่อให้เด็กเกิดความมั่นใจว่าบิดามารดาจะต้องกลับมาหา
ระยะหมดหวัง (despair)
เด็กจะร้องไห้น้อยลง กิจกรรมต่างๆ ลดลง ซึมไม่สนใจสิ่งแวดล้อม การเล่นหรืออาหาร ถอยหนีจากผู้อื่น ดูเศร้าโศกอ้างว้าง แยกตัวเองและเฉยเมย
การดูแลเด็กในระยะหมดหวัง
ปลอบโยน อยู่ใกล้ชิต กอด โยกกล่อมเด็ก
ระยะปฏิเสธ (denial o detachment)
เด็กแสดงการปฏิเสธบิดามารดา จะสร้างสัมพันธภาพอย่างผิวเผินกับเจ้าหน้าที่พยาบาล
การดูแลเด็กในระยะปฏิเสธ
สนับสนุนให้บิดามารดาได้แสดงบทบาทในการดูแลบุตร
แนวทางการพยาบาล
วัยก่อนเรียน
อธิบายเหตุผลต่างๆ ด้วยคำพูดที่เป็นรูปธรรมง่ายๆ
วัยหัดเดิน
มารดาเฝ้าอยู่ในโรงพยาบาล
วัยเรียน
อธิบายอย่างเป็นเหตุผลในเชิงวิทยาศาสตร์
วัยทารก
ของเล่นที่ชอบ
วัยรุ่น
ช่วยเหลือตนเอง
2.Pain (ภาวะเจ็บปวด)
แนวทางการพยาบาล
วัยเรียน
ช่วยโดย อธิบายท าความเข้าใจ - อยู่
คุยขณะทำหัตถการ
วัยเตาะแตะและวัย
ก่อนเรียน
ช่วยโดย เล่นบทบาทสมมุติ -
ครอบครัวมีส่วนร่วมในการท าหัตถการ
วัยรุ่น
ช่วยโดย อธิบายเป็นเหตุผลแบบผู้ใหญ่
วัยทารก
ช่วยเหลือโดยอุ้ม สัมผัส - ทำหัตถการ
เครื่องมือที่ใช้ประเมิน
CHEOPS
3 - 6 ปี หรือเด็กไม่รู้สึกตัว
Face Scale
4 ปีขึ้นไป/เด็กที่ยังไม่ถึงวัยเรียน
FLACC
1 เดือน - 3 ปี หรือเด็กไม่รู้สึกตัว
Numeric
8 ปีขึ้นไป/วัยเรียน
NIPS
แรกเกิดจนถึง 1 เดือน
BPS
เด็ก on ventilator
3.Stress and coping (ความเครียดและการเผชิญกับความเครียด)
ความเครียด (Stress)
ทำให้เด็กสูญเสียการควบคุม เช่น การจำกัดด้านร่างกายการเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจ าวัน
และความไม่เป็นอิสระ
การจัดการกับความเครียด (Coping)
ให้กำลังใจเด็กและพ่อแม่ เปิดโอกาสให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแลเด็กป่วย
3.ระยะเรื้อรัง และระยะสุดท้าย
1.ระยะเรื้อรัง (Chronic stage)
วัยเตาะแตะ
พ่อแม่อาจนำของเล่นที่เด็กชอบมาโรงพยาบาลได้
วัยก่อนเรียน
พยาบาลควรส่งเสริมให้เด็กประสบความสำเร็จตามพัฒนาการเพื่อความมั่นใจและความสามารถของเด็ก
วัยเรียน
ให้เด็กมีส่วนร่วมในการดูแลตนเองและการตัดสินใจเพื่อส่งเสริมความรู้สึกควบคุมและเรียนรู้สิ่งต่างๆ
วัยรุ่น
พ่อแม่ควรส่งเสริมความเป็นอิสระกระตุ้นให้ทำกิจวัตรประจำวัน
วัยทารก
วิธีการอุ้มเด็ก การให้อาหารเด็กที่หายใจลำบาก การให้อาหารเด็กที่หายใจลำบาก การดูแลความสุขสบายแก่เด็กที่กระวนกระวาย
2.ระยะสุดท้าย (End stage)
ภาพลักษณ์ (Body image)
โดยเฉพาะเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ปัจจัยส่วนบุคคล เช่น เพศ อายุ ขนาดและสัดส่วนของร่างกาย ปัจจัยด้านสังคมและวัฒนธรรม เช่น ล้อเลียน การยอมรับของกลุ่ม ปัจจัยด้านจิตใจ สิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกร่างกายที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ รวมถึงวิถีชีวิตในอนาคต
ตามแนวคิดของคูเบอร์ รอสส์ (Kubler-Ross) เป็น 5 ระยะ คือ
3.ระยะต่อรอง
2.ระยะโกรธ
4.ระยะซึมเศร้า
1.ระยะตกใจและปฏิเสธ
5.ระยะยอมรับ
ความตาย (Death & Dying)
วัยหัดเดิน
หมายถึง การสูญเสียผู้ดูแลเท่านั้น
วัยก่อนเรียน
เข้าใจว่าตายแล้วฟื้นได้
วัยทารก
ไม่สามารถรับรู้หรือมีความเข้าใจเกี่ยวกับความตาย
วัยเรียน
เข้าใจว่าความตายเกิดจากร่างกายไม่สามารถทำงานได้ ไม่มีลมหายใจ
วัยรุ่น
เด็กไม่ค่อยยอมรับการจบชีวิต
เป้าหมายการดูแลเมื่อเด็ก
เข้าสู่ระยะสุดท้ายของชีวิต
การดูแลด้านร่างกาย : จัดการกับความเจ็บปวด
การดูแลด้านจิตใจ : ทำให้เด็กรู้สึกสบาย โดยการอุ้ม กอด สัมผัส
การดูแลพ่อแม่
การดูแลพี่น้องเด็ก
การให้ข้อมูลข่าวสาร : ผู้ที่แจ้งข่าวร้าย ควรเป็นผู้ที่รับผิดชอบดูแลเด็ก
การดูแลหลังเด็กเสียชีวิต
นางสาววริศรา ริมบู รหัสนักศึกษา 612901072