Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 5.6 โรคติดเชื้อร่วมกับการตั้งครรภ์ - Coggle Diagram
บทที่ 5.6 โรคติดเชื้อร่วมกับการตั้งครรภ์
1.ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B)
การวินิจฉัย
Anti HBc-IgM = พบในตับอักเสบเฉียบพลัน
Anti HBc-IgG = พบทั้งตับอักเสบเฉียบพลัน, เรื้อรังแม้แต่ผู้ที่ตรวจไม่พบเชื้อแล้ว
Anti HBc = เป็นภูมิค้มกันบอกถึงเคยติดเชื้อไวรัส
Anti HBe = พบหลังตรวจไม่พบ HBeAG แล้ว
HBsAG = ความสามารถในการแบ่งตัวของไวรัสตับอักเสบบี
Anti HBs = พบหลังตรวจไม่พบ HBsAG ในเลือดแล้วหรือเป็นภูมิค้มกันต่อการติดเชื้อ
HBsAg = การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
อาการและอาการแสดง
ระยะฟักตัว 60-150 วัน โดยเฉลี่ยหลัง 90 วัน
อาการของการติดเชื้อ
ปัสสาวะสีเข้ม
อุจจาะสีซีด
คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง
ปวดข้อ
มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
ในรายที่มีอาการรุนแรง มีอาการตัวเหลืองและตาแหลือง
ผลกระทบ
ต่อมารดา
มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
พบอัตราการชักนำการคลอด
ความดันโลหิตสูง
อัตราการผ่าตัดคลอดเพิ่มขึ้น
เบาหวานขณะต้งครรภ์
ต่อทารก
การติดเชื้อจากมารดาไปสู่ทารก
การคลอดก่อนกำหนด
การเกิดน้ำเดินก่อนเจ็บครรภ์คลอด
การแท้งและการตายคลอด
แนวทางการรักษา
1.การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจากมารดาสู่ทารกระยะก่อนคลอด
ควรหลีกเลี่ยงการทำสูติศาสตร์หัตถการ
พิจารณาให้ยาต้านไวรัสจาก HBeAg
ผลเป็นลบฝากครรภ์ปกติ
ผลเป็นบวกให้เริ่มยาต้านไวรัสในไตรมาสสุดท้าย GA 28-32 Wks.
Tenofovir Disoproxil Fumarate (TDF) 300 mg
Lamivudine 100 mg
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจากมารดาสู่ทารกระยะหลังคลอด
ด้านมารดา
ควรรับประทานยา Tenofovir Disoproxil Fumarate (TDF) 300 mg วันละ 1 เม็ดจนถึง 4 สัปดาห์หลังคลอด
การดูแลทารก
Hepatitis B immunoglobulin (HBIG) 400IU ขนาด 0.5 ml IM
หลังคลอดทันทีหรือภายใน 12 ชั่วโมงหลังคลอด ภายใน 7 วัน
ให้ซ้ำ 1 เดือนและ 6 เดือน
Hepatitis B Vaccine ภายใน 12 ชั่วโมงหลังคลอด ขนาด 0.5 ml IM จากนั้นฉีดต่อเมื่ออายุครบ 1,2,4 และ 6 เดือน
บทบาทพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
การคัดกรองโดยการซักประวัติประวัติครอบครัวเน้นหากลุ่มเสี่ยงของการติดเชื้อเช่นจำนวนครั้งการแต่งงานจำนวนคู่นอนการใช้สารเสพติด
การส่งตรวจเลือดหา HBsAg โดยมีการให้คำปรึกษาก่อนและหลังการเจาะเลือดในรายที่ผลเลือด HBsAg ให้ผลบวกจะต้องให้คำแนะนำการปฏิบัติตัว
ให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวกรณีที่มีการติดเชื้อเพื่อป้องกันการการแพร่กระจายและความรุนแรงของโรค
ระยะคลอด
ดูแลให้การคลอดดำเนินไปตามปกติ ได้แก่ ติดตามความก้าวหน้าของการคลอดไม่กระตุ้นการคลอดจนเกินไปประเมินเสียงหัวใจทารกดูแลความสุขสบายทั่วไป
ดูแลทารกแรกเกิดโดยการใช้หลัก universal precaution ในการจับต้องหรืออุ้มทารกการดูดมูกจากปากและจมูกอย่างรวดเร็วและสบู่และเช็ดซ้ำด้วยแอลกอฮอล์
ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากการสัมผัสเลือดสารคัดหลั่งโดยใช้หลักUniversal Precaution ทั้งในระยะรอคลอดและขณะคลอด
ระยะหลังคลอด
ประเมินภาะหัวนมแตกและส่งเสริมการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาอย่างเดียว 6 เดือน (exclusive breastfeeding)
แนะนำการคุมกำเนิดและการวางแผนครอบครัวอย่างเหมาะสม
ให้คำแนะนำในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อเกี่ยวกับน้ำคาวปลาและสิ่งคัดหลั่ง
แนะนำการปรับบตัวด้านจิตสังคมการผ่อนคลายความเครียด
หัดเยอรมัน (Rubella)
การวินิจฉัย
การซักประวัติการสัมผัสโรค ตรวจร่างกายมีผื่นขึ้น
การตรวจน้ำลายและการตรวจเลือด
ELISA
IgM
IgG
อาการและอาการแสดง
ตาแดง คออักเสบ
ปวดกล้ามเนื้อ
ไข้ต่ำ ปวดศีรษะ
ก่อนออกผื่น 2 วันหลังมีไข้จะพบ Koplik's spot
ส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ
ระยะออกผื่น หลังมีไข้ 3-4 วัน จะมีผื่นแดงเล็กๆ มีตุ่มนูน
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะหัวใจพิการแต่กำเนิด
ติดเชื้อในช้วง GA 3 wks.
หูหนวก
หัวใจพิการ
ต้อกระจก
การรักษาพยาบาล
ถ้าตรวจพบในระยะ 3 เดือนแรกแพทย์จะให้คำแนะนำยุติการตั้งครรภ์
รักษาแบบประคับประคอง
แนะนำดื่มน้ำให้เพียงพอ จิบบ่อยๆ
ถ้ามีไข้แนะนำรับประทานยา paracetamal ตามแผนการรักษา
แนะนำพักผ่อนให้เพียงพอ
3.ซิฟิลิส (syphilis)
การวินิจฉัย
การตรวจเลือด
ไม่เแพาะเจาะจง
VDRL
RPR
เฉพาะเจาะจง
FTA-ABS
การส่งตรวจน้ำไขสันหลัง
อาการและอาการแสดง
ซิฟิลิสทุติยภูมิ
ผื่นลักษณะสีแดงน้ำตาลไม่คัน
มีไข้ต่ำๆ ปวดตามข้อ
ผื่นช่วงหลัง 2-3 สัปดาห์แผลริมแข็งหายแล้ว
ต่อมน้ำเหลืองโต ผมร่วง
ซิฟิลิสระยะแฝง
หลังได้รับเชื้อ 2-30 ปี
ไม่มีอาการ
ซิฟิลิสปฐมภูมิ
แผลริมแข็งมีตุ่มแดงที่อวัยวะเพศ ริมฝีปาก
ขอบนูนไม่เจ็บ
หลังรับเชื้อ 10-90 วัน
ต่อมน้ำเหลืองโตกดไม่เจ็บ
ซิฟิลิสระยะตติยภูมิ
หลังจากได้รับเชื้อ 2-30 ปี
เชื้อทำลายอวัยวะภายใน เช่นหัวใจและหลอดเลือดสมอง ตาบอด
ภาวะแทรกซ้อน
การคลอดก่อนกำหนด
ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์
ทารกตาบอด
ทารกบวมน้ำ
เสี่ยงต่อการแท้ง
การพยาบาล
ระยะคลอด
เน้นการใช้หลัก Universal precaution และป้องกันการติดเชื้อโดยดูดเมือกออกจากปากและจมูกโดยเร็วและเจาะเลือดจากสายสะดือทารกเพื่อส่งตรวจการติดเชื้อซิฟิลิส
ระยะหลังคลอด
สามารถให้นมได้ตามปกติล้างมือก่อนและหลังสัมผัสทารก
ระยะตั้งครรภ์
ควรอธิบายให้เห็นความสำคัญของการตรวจคัดกรองซิฟิลิสขณะตั้งครรภ์โดยการแรกเมื่อมาฝากครรภ์ครั้งแรกและตรวจซ้ำอีกครั้งในไตรมาสที่ 3
ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
แนะนำการรักษาความสะอาดอวัยวะเพศและการป้องกันโรคโดยการสวมถุงยาง
แนะนำให้พาสามีมาตรวจและรักษาด้วยเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
ให้การปรึกษาและดูแลทางด้านจิตใจเปิดโอกาสให้ซักถามและระบายความรู้สึก
4.โรคเริมที่อวัยวะเพศ (Genital herpes simplex infection)
อาการและอาการแสดง
มีอาการปวดแสบปวดร้อนมาก
มีไข้ ปวดเมื่อยตัว
ต่อมน้ำเหลืองโต
อ่อนเพลีย
ภาวะแทรกซ้อนต่อทารก
ซึม ไม่ดูดนม
ตับม้ามโต
มีไข้หนาวสั่น
มีการอักเสบของปาก
ตาอักเสบ
มีตุ่มน้ำใสๆตามร่างกาย
กาวินิจฉัย
การตรวจร่างกายสังเกตเห็นตุ่มน้ำใสแตกจะเป็นแผลอักเสบมีอาการปวดแสบปวดร้อนมากขอบแผลกดเจ็บและค่อนข้างแข็งลักษณะตกขาว
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การเพาะเชื้อ (culture)
เซลล์วิทยา (cytology) โดยวิธี Tzanck smear
การซักประวัติปัจจัยเสี่ยงประวัติการสัมผัสผู้ติดเชื้ออาการและอาการแสดงของการติดเชื้อเช่นตุ่มน้ำใสเป็น ๆ หาย ๆ บริเวณเดิมปวดแสบปวดร้อนถ่ายปัสสาวะลำบาก
การรักษา
การให้ยา antiviral drug เช่น acyclovir, valacyclovir และ famciclovir
หญิงตั้งครรภ์ทีเจ็บครรภ์คลอดโดยที่มี Herpes ควรได้รับการผ่าตัดคลอด
ควรให้ยาปฏิชีวนะและดูแลแผลให้สะอาดในรายที่ติดเชื้อแผลไม่สะอาด
การพยาบาล
ระยะคลอด
เน้นการใช้หลัก Universal precaution และหลีกเลี่ยงการทำหัตถการ
ระยะหลังคลอด
สามารถให้นมได้ตามปกติล้างมือก่อนและหลังสัมผัสทารก
ระยะตั้งครรภ์
ดูแลการให้ยาต้านไวรัสตามแผนการรักษา
หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ขณะมีแผลควรใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันแพร่กระจายของเชื้อ
เพิ่มภูมิต้านทานโดยการรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการพักผ่อนอย่างเพียงพอออกกำลังกายเป็นประจำและการตรวจสุขภาพประจำปี
แนะนำการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาควรล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสหรือให้นมบุตร
ลดความไม่สุขสบายจากการปวดแสบปวดร้อนโดยแนะนำการดูแลแผลให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอ
ลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการผ่าตัดและการแพร่เชื้อไปยังทารก
5.หูดหงอนไก่ (Condyloma accuminata and pregnancy)
การวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
pap smear
การซักประวัติ ปัจจัยเสี่ยง การสัมผัสผู้ติดเชื้อ อาการและอาการแสดง
อาการและอาการแสดง
ขนาดแตกต่างกัน
รวมกันเป็นก้อนใหญ่คล้ายดอกกะหล่ำ
ลักษณะเป็นก้อนสีชมพู นุ่ม ผิวขรุขระ มีสะเก็ด
ตกขาวมีกลิ่นเหม็นและคัน
หูดขึ้นรอบๆทวารหนักและในทวารหนัก
การรักษา
การจี้ไฟฟ้า แสงเลเซอร์
คลอดทางช่องคลอดได้ยกเว้นหูดมีขนาดใหญ่
การรักษาด้วยสารเคมี
การพยาบาล
แนะนำการรักษาความสะอาดของอวัยวะเพศ
แนะนำให้สตรีตั้งครรภ์ส่งเสริมสุขภาพตนเองให้แข็งแรง
1.ดูแลให้ได้รับการรักษาตามแผนการรักษา
โรคเอดส์ (Acquired immune defiency syndrome)
การวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย มีไข้ต่อมน้ำเหลืองโตน้ำหนักลดเป็นต้น
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจคัดกรองโรคเอดส์คือการทดสอบที่เรียกว่า Enzyme-linked Immunosorbent assay (ELISA)
การตรวจยืนยันด้วยการตรวจ confirmatory test เช่น Western Slot (WB) และ Immunofluorescent assay (IFA)
การซักประวัติ เช่นร่วมเพศกับผู้ติดเชื้อหรือใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อ
อาการและอาการแสดง
กลุ่มที่ 1
ไม่มีอาการ
ตรวจ Elisa ให้ผลบวก
กลุ่มที่ 2
ไข้ ปวดเมื่อยตามตัว
อ่อนเพลีย ผื่นตามตัว
ปวดศีรษะ เจ็บคอ
CD4 ต่ำกว่า 500-200 cm3
กลุ่มที่ 3
มีไข้สูงฉับพลันไข้ต่ำ ๆ นานกว่า 2-3 เดือน
ปวดศีรษะ เจ็บคอ
คลื่นไส้ อาเจียน
ต่อมน้ำเหลืองโตทั่วไป
ท้องเดินเรื้อรัง น้ำหนักลด
อาจตรวจพบเยื่อหุ้มสมองอักเสบชนิดไร้เชื้อ
การติดต่อ
จากมารดาสู่ทารก (Vertical transmission)
ทางกระแสเลือดจากการรับเลือดหรือส่วนประกอบของเลือด
การมีเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยงมากที่สุดคือการร่วมเพศทางทวารหนัก
การรักษา
ยากลุ่ม Non-nucleoside analogues reverse transcriptase inhibitor
ยากลุ่ม Protease inhibitors lauri indinavir, ritonavir, saquinavir, nelfinavir และ amprenavir
ยากลุ่ม Nucleoside analogues reverse transcriptase inhibitor
การให้ยาต้านไวรัสขณะตั้งครรภ์
กรณีที่ 1
สูตรแรก TDF + 3TC + EFV โดยแนะนำให้ยาต่อหลังคลอดทุกราย
สูตรที่ 2 AZT + 3TC + LPW / r หรือ TDF + 3TC + LPVVr ในกรณีที่ดื้อยากลุ่ม NRTIS หรือจำเป็นต้องหยุดยาหลังคลอด
หญิงตั้งครรภ์ไม่เคยได้รับยาต้านไวรัสมาก่อน
กรณีที่ 2
หญิงตั้งครรภ์ได้รับยาต้านไวรัสมาก่อน
ไม่ต้องหยุดยา
ควรใช้สูตรยาที่ทำให้ Viral load ลดลงจนวัดไม่ได้จะดีที่สุด
หากพบว่า viral load มากกว่า 1000 copies / ml ทั้งที่กินยาสม่ำเสมอนาน 6 เดือนให้ส่งปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทันที UIS 18-20 druhumin
การให้ยาต้านไวรัสระหว่างเจ็บครรภ์คลอด
หากคลอดโดยการผ่าตัดให้กินยาก่อนเริ่มผ่าตัดอย่างน้อย 4 ชม.
ในรายที่ viral load น้อยกว่า 50 copies / ml ไม่ต้องให้ยาระหว่างเจ็บครรภ์คลอด
ให้เพิ่ม AZT 300 mg ที่ก็ 3 ชม. หรือ AZT 600 mg ครั้งเดียวไม่ว่าจะใช้ยาสูตรใด
หลีกเลี่ยงการให้ยา Methergine เนื่องจากจะทำให้หญิงที่กินยา LPN / r หรือ EFV อยู่เกิด severe vasoconstriction ได้
การให้ยาต้านไวรัสหลังคลอด
ให้ยาหลังคลอดต่อทุกรายที่สมัครใจ มีความพร้อม
CD4 <500 cells / mm 3
มีการติดเชื้อร่วมเช่นวัณโรคไวรัสตับอักเสบบีไวรัสตับอักเสบซี
คู่มีผลเลือดลบหรือไม่ทราบผลเลือดคู่
การให้ยาต้านไวรัสในทารกแรกเกิด
AZT ขนาด 4 mg / kg / dose ทุก 12 ซม. ให้นานต่อเนื่อง 4 สัปดาห์
การพยาบาล
ระยะคลอด
หลีกเลี่ยงการทำให้ถุงน้ำแตกหรือรั่วทำคลอดโดยยึดหลัก Universal precaution
ระยะหลังคลอด
ให้อยู่ในห้องแยก
งดให้นมบุตร
เน้นให้มาตรวจหลังคลอดตามกำหนดและแนะนำวิธีการคุมกำเนิด
ในทารกหลังคลอดให้ NPV 2 มก. / กก. ทันทีและให้ AZT 2 มก. / กก. / วันและติดตามตรวจหาการติดเชื้อในทารกหลังคลอด 12-18 เดือน
ระยะการตั้งครรภ์
ตรวจหาระดับ CD4 ถ้าต่ำกว่า 400 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตรอาจพิจารณาให้ prophylaxis pneumocystis carinii pneumonia (PCP)
ให้ AZT โดยให้ AZT 300 มก. รับประทานวันละ 2 ครั้งตั้งแต่อายุครรภ์ 28 สัปดาห์จนกระทั่งคลอด
ให้ความเห็นใจและให้กำลังใจผู้ป่วยและแนะนำการปฏิบัติตัวในการรักษาสุขภาพตนเองและป้องกันการแพร่เชื้อ
7.การติดเชื้อไวรัสซิกกา (Zika fever)
อาการและอาการแสดง
ระยะฟักตัว 2-7 วัน
ออกผื่นที่ลำตัวและแขนขา
ไข้ ปวดศีรษะ
ปวดข้อปวดในกระบอกตา
เยื่อบุตาอักเสบ
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะศีรษะเล็ก แต่กำเนิดของทารกในครรภ์
การป้องกัน
ป้องกันยุงกัดและทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงยุงลายที่เป็นพาหะมักออกหากินเวลากลางวัน
การรักษา
ยังไม่มียารักษาโรคโดยตรง
รักษาตามอาการ
การให้ยาพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาอาการปวดลดไข้
ห้ามรับประทานยาแอสไพรินหรือยากลุ่มลดการอักเสบ (NSAIDs)