Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
กรณีศึกษา ระบบหัวใจและหลอดเลือด กลุ่ม1.1 - Coggle Diagram
กรณีศึกษา
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
กลุ่ม1.1
พยาธิสภาพ
ST Elevation MI ( กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิด STEMI) เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจจะมีผนังไม่หนา ไม่แข็ง ยืดหยุ่นได้ผนังหลอดเลือด ได้รับอันตรายจากความดันหรือไขมันทำให้มีการสะสมของไขมัน และแคลเซียมทำให้เกิดคราบหรือที่เรียกว่า Plaque เมื่อมีการพอกของไขมัน ที่ผนังหลอดเลือดมากขึ้นทำให้ขนาดของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจเล็กลงหลอดเลือดเกิดฉีดขาดทำให้เกิดลิ่มเลือดโดยเกิดลิ่มเลือดมาอุดหลอดเลือดแดงก็จะเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิด ST Elevation
แผนการพยาบาล
พร่องความรู้ในการปฏิบัติตนเนื่องจากขาดความรู้ในการทำบอลลูนหัวใจ
จุดมุ่งหมายการพยาบาล
เพื่อให้เลือดผ่านเส้นเลือดที่ตีบและนำเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจให้เพียงพอ
มีความรู้ในการปฏิบัติตนก่อนและหลังการทำบอลลูนหัวใจ
เกณฑ์การประเมิน
ผู้ป่วยทราบและเข้าใจในการปฏิบัติตนเกี่ยวกับการทำบอลลูนหัวใจ
ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตนได้ถูกต้อง
ไม่มีอาการเจ็บจุกหรือแน่นหน้าอก
ไม่เกิดเลือดออกบริเวณที่แทงสายสวนหัวใจ
ไม่มีการติดเชื้อหลังจากการทำหัตถการ
กิจกรรมการพยาบาล
การพยาบาลหลังการทำหัตถการ
1.ประเมินสัญญาชีพเพื่อประเมินอาการหลังจากการทำหัตรการโดยการวัดvital sign ทุก15นาที×1ชั่วโมง ทุก30นาที×1ชั่วโมง,ทุกชั่วโมงจนstableหลังจากนั้นทุก4ชั่วโมง,ติดตามระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด(O2 saturation)ตลอดเวลา
ให้นอนหงายราบห้ามยกศีรษะ,ห้ามงอขาข้างขวา(แขนขวา)หรือข้างที่ใส่สายสวนหัวใจและจะมีการวางหมอนทรายทับแผลไวเป็นเวลา ชั่วโมงเพื่อห้ามเลือดและป้องกันภาวะเลือดออก
5.หากคลำบริเวณท้องน้อยแข็ง(ต้องไม่ปวดปัสสาวะ)ปวดมึนศีรษะ,หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม(นอนพักไม่ดีขึ้น) ปัสสาวะไม่ออกระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลงให้รายงานแพทย์ทันที
6.ให้คำแนะนำ ห้ามไอ จามแรงๆ หรือเบ่งเพราะอาจทำให้เลือดออกจากแผลบริเวณขาหนีบได้
3.ห้ามลุกนั่ง,ห้ามงอขาหนีบข้างที่ทำนานอย่างน้อย6ชม.หลังเอาท่อนำออกสามารถพลิกตะแคงตัว,ขยับข้อเท้าและเกร็งกล้ามเนื้อขาได้เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปยังส่วนปลายเท้าได้
4.สองชั่วโมงแรกให้นอนราบ(ห้ามยกศีรษะเพื่อดูแผล)2ชั่วโมงต่อมานอนศีรษะสูง30องศา2ชั่วโมงต่อมาไขหัวเตียงสูง45องศาครบ6ชั่วโมงสามารถลุกนั่งได้ควรเดินเพื่อให้ร่างกายมีการเคลื่อนไหวและมีการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ
การดูแลเมื่ออยู่บ้าน
1.ให้คำแนะนำเมื่อถึงบ้านต้องหมั่นดูบริเวณแผลที่ทำหัตถการถ้ามีการปวดผิดปกติหรือบวมมากขึ้นหรือมีจ้ำเลือดเกิดขึ้นให้รีบติดต่อโรงพยาบาลทันที
2.ระวังอย่าให้แผลเปียกน้ำ1วันหลังจากนั้นเอาผ้าปิดแผลออกแผลถูกน้ำได้ตามปกติ
3.หากมีการใช้เครื่องปิดแผลหรืออุปกรณ์ปิดแผลพิเศษพยาบาลจะแจ้งให้ทราบถึงข้อควรปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจง
4.สอนวิธีการอาบน้ำ,การดูแลบริเวณแผลและห้ามทำกิจกรรมหนักไปสักระยะหนึ่งหลังทำหัตถการ
5.
6.
การพยาบาลก่อนการทำหัตถการ
2.เซ็นใบยินยอมก่อนการทำหัตถการเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมายในการทำหัตถการ
3.ทำความสะอาดโกนขนบริเวรขาหนีบซ้ายและขวาหรือแขนซ้ายและขวาหลังจากนั้นให้ทำความสะอาดร่างกายและสระผมเพื่อสะดวกต่อการทำหัตถการ
1.อธิบายถึงขั้นตอนและวิธีการทำหัตถการและให้ผู้ป่วยเข้าใจและหายสงสัยใสเพื่อไม่ให้ผู้ป่วยเกิดภาวะเครียด
4งดน้ำและงดอาหารก่อนมาทำหัตถการ
5.ให้สารน้ำตามแผนการรักษาของแพทย์
6.ประเมินชีพจรส่วนปลาย(หลังเท้า)เพื่อดูสัญญาณชีพก่อนการทำหัตถการ
7.ไม่ควรนำของมีค่าฟันปลอมและไม่สวมแว่นไม่สวมรองเท้าไม่ใส่ชุดชั้นในเข้าไปในห้องสวนหัวใจเพื่อให้ป้องกันของสูญหาย
สอนการหายใจลึกๆแล้วกลั้นหายใจไว้10-15วินาทีเพื่อช่วยให้กระบังลมเลื่อนต่ำลงทำให้เห็นหลอดเลือดหัวใจชัดเจนยิ่งขึ้น
พร่องความรู้ในการปฏิบัติตนเนื่องจากขาดความรู้ในการฉีดสีสวนหัวใจ
จุดมุ่งหมายการพยาบาล
มีความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติตนก่อน-หลังการฉีดสีสวนหัวใจ
เกณฑ์การประเมิน
ผู้ป่วยทราบและเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติตนในการฉีดสีสวนหัวใจ
ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตนได้ถูกต้อง
กิจกรรมพยาบาลก่อนทำการฉีดสีสวนหัวใจ
1.งดน้ำและอาหาร อย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง
2.ทำความสะอาดโกนขนบริเวรขาหนีบซ้ายและขวาหรือแขนซ้ายและขวา หลังจากนั้นให้ทำความสะอาดร่างกายและสระผม
3.ไม่ควรนำของมีค่า ฟันปลอม และไม่สวมแว่นไม่สวมรองเท้า ไม่ใส่ชุดชั้นในเข้าไปในห้องสวนหัวใจ
4.ตรวจผลเลือด เช่น ค่าการทำงานของไต การทำงานของเม็ดเลือดแดง และเกลือแร่ในกระแสเลือด เมื่อพบว่ามีภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำให้ดูแลให้โพแทสเซียมคลอไรด์ (KCl)
5.ควรได้รับการตรวจเอ็กซ์เรย์ปอด และตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
6.ปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนเข้าห้องตรวจสวนหัวใจ
กิจกรรมพยาบาลขณะทำการฉีดสีสวนหัวใจ
1.ให้ผู้ป่วยนอนบนเตียงเตรียมตรวจเมื่อผู้ป่วยถึงห้องสวนหัวใจ
2.ทายาฆ่าเชื้อ พร้อมกับห่มตัวผู้ป่วยด้วยผ้าอบฆ่าเชื้อ
3.1หลังจากฉีดยาชาเฉพาะที่แขนหรือขาหนีบแพทย์จะใส่สายสวนขนาดเล็กบริเวณนั้น แล้วใส่สายสวนขนาดเล็กเข้าไปทางหลอดเลือดแดง สายสวนเป็นท่ออ่อนที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดใหญ่ประมาณไส้ปากกาลูกลื่นและมีหัวเป็นเข็ม สายสวนจะเข้าไปในหลอดเลือดจนถึงหัวใจ
3.2จากนั้นแพทย์จะฉีดสารทึบรังสีเข้าไปตามหลอดเลือดหัวใจ แล้วใช้เครื่องเอกซเรย์ถ่ายภาพหลอดเลือดเป็นชุดอย่างรวดเร็ว
3.3ภาพที่ได้แสดงเห็นช่องทางไหลเลือดเลี้ยงหัวใจอย่างละเอียด
3.4ขั้นตอนการสวนหัวใจและฉีดสีใช้เวลาประมาณ 30–60 นาที
3.4เมื่อเรียบร้อยแล้ว สายสวนจะถูกดึงออกแล้วต้องใช้พลาสเตอร์ปิดแผลห้ามเลือดจุดที่ใส่สายสวนสักระยะหนึ่ง
กิจกรรมพยาบาลหลังทำการฉีดสีสวนหัวใจ
ห้ามงอขาหรือข้อมือข้างที่ทำการฉีดสีสวนหัวใจเป็นเวลา 6 ชั่วโมงซึ่งบริเวณแผลจะมีผ้าปิดทับแผลไว้ที่ขาหนีบจะมีหมอนหรือถุงทรายกดทับอีกรอบหนึ่ง เพื่อห้ามเลือด
ถ้ามีอาการปวด บวม ชา เลือดซึมที่แผล หรือปลายมือปลายเท้าข้างที่ทำซีดหรือเย็นให้รีบแจ้งแพทย์หรือพยาบาล
3.ในผู้ป่วยที่มีค่าการทำงานของไตเสื่อมอยู่ก่อนแล้ว หรือมีการใช้สารทึบรังสีปริมาณมาก จะมีการเจาะเลือดเพื่อตรวจติดตามค่าการทำงานของไต
4.สามารถทานยาเดิมได้ตามปกติ รวมถึงยาต้านเกล็ดเลือด ยาละลายลิ่มเลือด ยาบางอย่างต้องหยุดต่ออีก1-2 วันเพื่อให้แน่ใจว่าค่าการทำงานของไตยังปกติดี เช่น ยาเบาหวานเมตฟอร์มิน
5.ติดตามอาการคลื่นไส้ อาเจียนเพื่อประเมินว่า สามารถดื่มน้ำและรับประทานอาหารได้ตามปกติหรือไม่
เกิดภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากได้รับยา streptokinase (SK)
จุดมุ่งหมายการพยาบาล
ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนขณะรับยา
เกณฑ์การประเมินผล
ระดับความรู้สึกตัวปกติ
ไม่มีอาการของภาวะเลือดออกจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
ไม่มีอาการเจ็บหน้าอก ปวดหลัง
BP = 90-140/60-90 mmHg
ไม่มีอาการเวียนหัว หน้ามืด
ไม่มีอาการอ่อนเพลีย
มือและเท้าไม่เย็น
กิจกรรมการพยาบาลและเหตุผล
ติดตามประเมินความรู้สึกตัวเป็นระยะ ๆ ตรวจวัดและบันทึกความดันโลหิต ชีพจร คลื่นไฟฟ้าหัวใจ และ O2 sat อย่างน้อยทุก ๆ 1-2 นาทีระหว่างที่ได้รับยา Streptokinase
2.ติดตามลักษณะคลื่นไฟฟ้าหัวใจอย่างต่อเนื่องขณะให้ยาละลายลิ่มเลือดเพื่อป้องกันการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ventricular fibrillation (VF) และ pulseless ventricular tachycardia(VT)
3.ประเมินระดับความรู้สึกตัวและอาการเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาท เพื่อป้องกันการเกิดภาวะเลือดออกในสมอง
4.สังเกตุภาวะเลือดออกจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเพื่อเฝ้าระวังการเกิดภาวะเลือดออกรุนแรง (major bleeding) เช่นเลือดออกในทางเดินอาหาร ถ่ายดำ ปัสสาวะเป็นเลือด
5.ประเมินอาการเจ็บหน้าอก ปวดหลังเพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน
6.บันทึกเวลาที่เริ่มให้ยาและอาการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นระหว่างที่ได้รับยาและหากจำเป็นต้องหยุดยาต้องบันทึกปริมาณที่ได้รับยาและเวลาที่หยุด
ประเมินอาการที่แสดงถึงการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตต่ำ เช่น อาการเวียนหัว หน้ามืด อ่อนเพลีย มือและเท้าเย็น เพื่อให้การพยาบาลได้ถูกต้อง
รายงานแพทย์เพื่อพิจารณาการช่วยเหลือโดยให้สารน้ำชนิด 0.9% NSS ทางหลอดเลือดดำ ภายใน 15-20 นาที
รายงานแพทย์เมื่อให้สารน้ำชนิด 0.9% NSS ทางหลอดเลือดดำแล้วแต่อาการของผู้ป่วยยังไม่ดีขึ้น แพทย์จะทำการรักษาโรคความดันโลหิตต่ำโดยการให้ยาเพิ่มความดันหรือเพิ่มการบีบตัวของหลอดเลือด
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยายาครบถ้วนและตรงเวลาตามแผนการรักษาของแพทย์ เช่น ยาเพิ่มความดันโลหิต
วินิจฉัยการพยาบาล
ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจใน 1 นาทีลดลง เนื่องจากการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติจากการขาดเลือดไปเลี้ยง
เจ็บแน่นหน้าอก เนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง
อาจเกิดภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจน เนื่องจากปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจต่อนาทีลดลง
วิตกกังวลเนื่องจากเป็นโรคและความเจ็บปวดของตนเอง
ปฏิบัติตัวไม่ถูกต้องเนื่องจากขาดความรู้ในการดูแลตนเองเกี่ยวกับโรค
ให้ความรู้ผู้ป่วยในการดูแลตนเองก่อนกลับบ้าน เนื่องจากขาดความรู้ในการดูแลตนเอง
อาการ
อาการสำคัญของเคสที่มาโรงพยาบาล
เจ็บแน่นตรงกลางหน้าอก ร้าวไปต้นแขนด้านในทั้งสองข้าง 30 นาทีก่อนมาโรงพยาบาล
อาการและอาการแสดงของโรค
เจ็บหน้าอก
แน่นเสียดบริเวณกลางอกอย่างน้อย 2-3 นาที
ร้าวไปกราม หัวไหล่ แขนด้านใน
เหงื่อออก เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เหนื่อยหอบ
มีอาการเวลาออกแรง เครียด หลังอาหารมื้อใหญ่ๆ
อาการทุเลาเมื่อหยุดพัก หรืออมยาอมใต้ลิ้น
ประวัติ
สูบบุหรี่
กินข้าวมันไก่และข้าวขาหมูประจำ
เครียดตลอดเวลา
ไม่เคยออกกำลังกาย
ประวัติการเจ็บป่วย
มีโรคไขมันสูง กินยาลดไขมันไม่สม่ำเสมอ
สาเหตุ
เพศ ผู้ชายจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดหัวใจตีบ มากกว่าผู้หญิง
การสูบบุหรี่
มีไขมันในเลือดสูง และทานยาไม่ต่อเนื่อง
ขาดการออกกำลังกาย
การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ มักซื้อข้าวมันไก่แลพข้าวขาหมู
เป็นประจำการรับประทานผักและผลไม้น้อยจะเพิ่มอัตราการเกิดโรคหัวใจร้อยละ31
ความเครียดและความโกรธ
อายุ 40-60 ปี อุบัติการณ์การเกิดโรคเพิ่มขึ้น 5 เท่า
การตรวจวินิจฉัย
ซักประวัติ
ตรวจร่างกาย
จีบชีพจร ฟังเสียงการเต้นของหัวใจ
ตรวจ EKG
ตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ถ่ายภาพรังสีทรวงอก
การรักษาที่ได้รับ
ได้รับการส่งตัวไปฉีดสีสวนหัวใจ
ผู้ป่วยได้รับยา streptokinase (SK)
ทำบอลลูนเส้นเลือดหัวใจที่ตีบ บริเวณข้าหนีบ