โรคติดต่อ

Hepatitis

สาเหตุ

  • เกิดจากการเสียหน้าที่ของตับจากภาวะตับอักเสบ การบาดเจ็บที่ตับ ตับแข็ง ตับวาย และมะเร็งตับ
  • ตับอักเสบที่พบบ่อย คือ Viral Hepatitis มี 3 ชนิด คือ Hepatitis A Virus (HAV) Hepatitis B Virus (HBV) และ Hepatitis Non A Non B (Hepatitis C Virus)

พยาธิสภาพของ Viral Hepatitis

  • การอักเสบของ cell ตับ จะมีลักษณะ huperpasia ของ Kupffer cell ร่วมกับมีการคั่งของน้ำดี และเกิด necrosis ตามมา ซึ่งระยะในการอักเสบ แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ
  1. Prodomal Stage : 3 – 7 วัน ก่อนตาเหลือง อาการสำคัญคือเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดตัว อ่อนเพลีย มีไข้ต่ำๆ อาจมีปวดท้องใต้ชายโครงขวา หรือกดเจ็บ ในระยะท้ายๆ มีปัสสาวะสีโคล่า เนื่องจากมี birirubin สูง และอุจจาระซีด ใน HAV มีอาการรุนแรงน้อยกว่า HBV
  2. Icteric Stage : ระยะตา ตัวเหลือง นาน 1 – 4 สัปดาห์ อาการต่างๆ ในระยะแรกจะหายไป แต่มีอาการตัว ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม อาจพบม้ามและต่อมน้ำเหลืองโต
  3. Recovery Period : ระยะพักฟื้น ใช้เวลา 3 – 4 เดือน โดยทั่วไปผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้น และหายเป็นปกติ ใช้เวลา 6 สัปดาห์ ถ้าไม่ดีขึ้นอาจมีภาวะแทรกซ้อน

Hepatitis A Virus (HAV)


ลักษณะและอาการที่สำคัญของ HAV
เกิดจากเชื้อไวรัสชนิด RNA. ติดต่อได้ทาง feacal – oral transmission (การกินอาหารหรือดื่มน้ำไม่สะอาด) ไม่ค่อยติดต่อทางเลือด (อาจพบได้บ้าง)
สามารถตรวจพบเชื้อในอุจจาระได้ 2 สัปดาห์ ก่อนแสดงอาการ และหลังจากตา ตัวเหลือง 1 สัปดาห์
ส่วนใหญ่ไม่ทำให้ผู้ป่วยเป็น Chronic hepatitis หรือ cirrhosis หรือ C.A liver แต่สามารถตรวจพบ antibody ทำให้มีภูมิต้านทานตลอดไป ไม่เป็น carrier
ใช้เวลาฟักตัว 15 – 50 วัน ติดต่อได้ในช่วงครึ่งหลังของการมีในระยะฟักตัว จนถึง 2 – 3 วัน หลังจากตัวเหลือง

Hepatitis B Virus (HBV)


ลักษณะอาการของ HBV.
เกิดจากเชื้อไวรัสชนิด DNA. ฟักตัว 6 สัปดาห์ - 6 เดือน
ติดต่อได้ทางเลือด หรือ serum เช่น การฉีดยา การถ่ายเลือด การสัมผัสกับ secretion หรือ สิ่งคัดหลั่งต่างๆ (น้ำมูก น้ำลาย) เพศสัมพันธ์ (อสุจิ)
ไม่พบเชื้อนี้ใน gastric content, bile, faces เพราะเชื้อถูกทำลายได้ด้วย intestinal mucosal enzyme
อาการจะรุนแรงกว่าชนิดอื่นๆ และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น Chronic hepatitis, Cirrhosis, C.A liver ถ้าเป็นนานกว่า 6 เดือน

Hepatitis Non A Non B (nAnB): Hepatitis C Virus (HCV)


NAnB เชื้อที่เป็นสาเหตุไม่ทราบแน่ชัด อาการไม่รุนแรง ตรวจ serum ไม่พบ Anti HAV และ HBs Ag มีโอกาสเกิด Chronic Hepatitis และ cirrhosis ติดต่อได้ทั้งการรับประทานอาหารทางเลือด และ serum

การพยาบาล


ปัญหาที่สำคัญได้แก่ การได้รับสารอาหารและน้ำไม่เพียงพอ อ่อนเพลีย และถ้ารุนแรงมากจะทำให้เกิดภาวะตับวายได้ ดังนั้นการพยาบาลที่สำคัญได้แก่
สังเกตอาการไข้ อาการตา ตัวเหลือง อาการที่แสดงภาวะตับวาย เช่น ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลงไป
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนเต็มที่ งดการทำกิจกรรมใดๆ
ดูแลการได้รับอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง หลีกเลี่ยงไขมันทุกชนิด
บรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน โดยจัดสิ่งแวดล้อมและอาหารที่ไม่กระตุ้นความรู้สึกอยากอาเจียน ถ้ามีอาการรุนแรงมาก ดูแลการได้รับยาแก้อาเจียนตามแผนการรักษา
การดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำและอิเลคโตรไลท์ทางหลอดเลือดตามแผนการรักษา
ติดตามผลการระมัดระวังการแพร่กระจายเชื้อโดยเฉพาะทางเลือด และสิ่งคัดหลั่งต่างๆ
การให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและแพร่กระจายเชื้อ เช่น การฉีดวัคซีนตับอักเสบ การระมัดระวังเกี่ยวกับการรับประทานอาหารและการร่วมเพศ และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน

โรคไข้หวัดใหญ่ (Human influensa)

โรคไวรัสอีโบร่า (Ebola virus disease)

เป็นเชื้อประจำถิ่นแถบประเทศ Africa โรคไวรัสอีโบลาจัดอยู่ในสกุล Ebolavirus

  • Bundibugyo virus, BDBV
  • Ebola virus, EBOV
  • Sudan virus, SUDV
  • Taï Forest virus, TAFV
  • Reston virus, RESTV

การแพร่กระจายเชื้อ

  • การสัมผัสกับเลือดหรือสารน้ำร่างกายจากผู้ติดเชื้อโดยตรง
  • การสัมผัสกับเวชภัณฑ์ที่ปนเปื้อน

พยาธิวิทยาหลังติดเชื้อ

  • จะมีการสร้างไกลโคโปรตีนที่หลั่งออกมา (secreted glycoprotein, sGP) ชื่อ อีโบลาไวรัสไกลโคโปรตีน (Ebola virus glycoprotein, GP) ก่อเป็นกลุ่มรวมไตรเมอร์ (trimeric complex) ซึ่งยึดไวรัสกับเซลล์เนื้อเยื่อบุโพรงตามผิวด้านล่างของหลอดเลือด sGP ก่อโปรตีนไดเมอร์ (dimer) รบกวน neutrophil ไวรัสแพร่กระจายปุ่มน้ำเหลือง ตับ ปอดและม้าม
  • เกิดการปล่อยไซโทไคน์ (กล่าวโดยเจาะจง คือ TNF-α, IL-6, IL-8 ฯลฯ) ทำให้ความแข็งแรงของหลอดเลือด (vascular integrity) เสียไป การเสียความแข็งแรงของหลอดเลือดนี้ยังส่งเสริมด้วยการสังเคราะห์ GP ซึ่งลดอินทีกริน (integrin) นำไปสู่ลิ่มเลือดผิดปกติ[

การวินิจฉัย
การตรวจหาอาร์เอ็นเอไวรัสโดยปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรส(PCR) และการตรวจหาโปรตีนโดยวิธีอีไลซา (ELISA)

ภาวะแทรกซ้อน

  • หลายอวัยวะล้มเหลว
  • เลือดออกรุนแรง
  • ดีซ่าน
  • สับสน
  • ชัก
  • โคม่าหมดสติ
  • ช็อค

การรักษา

  • รักษาสมดุลของเหลวและอิเล็กโทรไลต์เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
  • การให้สารกันเลือดเป็นลิ่ม

การป้องกัน

  • กำจัดไวรัสอีโบลาได้ด้วยความร้อน (ให้ความร้อน 60 °C เป็นเวลา 30 ถึง 60 นาที หรือต้มเป็นเวลา 5 นาที
  • แยกผู้ป่วย และการสวมเสื้อผ้าป้องกัน ได้แก่ หน้ากาก ถุงมือ กาวน์และแว่นตา
  • ไม่สัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งที่ติดเชื้อ

คำจำกัดความ

  • Seasonal influensa เกิดขึ้นประจำทุกปี ติดจากคนสู่คน
  • Avian influensa, Bird Flu, Avian Flu ติดจากสัตว์ปีกสู่คน
  • Pandemic influensa

สาเหตุ
ติดเชื้อ Influensa virus มี RNA 3 ชนิด ชนิด A,B,C
A แหล่งเชื้อโรค คือ นกน้ำตามธรรมชาติ
ระยะฟักตัวของโรค 1- 4 วัน หลังรับเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่

Onset of Symptoms
about 1 to 4 days, with an average of about 2 days.

Signs and Symptoms of Flu

  • Fever* or feeling feverish/chills
  • Cough
  • Sore throat
  • Runny or stuffy nose
  • Muscle or body aches
  • Headaches
  • Fatigue (very tired)


การแพร่กระจายเชื้อโรค

  • การกระจายสู่คนทางละอองฝอย
    • สัมผัสโดยตรงกับสิ่งคัดหลั่งต่าง ๆ ที่ปนเปื้อน เช่นน้ำมูกและน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย

ภาวะแทรกซ้อน
ระบบทางเดินหายใจ

  • Ottitis media
  • Pneumonia
    ระบบหัวใจ
  • Myocarditis,Pericarditis
    ระบบประสาท
  • Encephalitis
  • Guillain Barre Syndrom

การวินิจฉัย

  • ตรวจสารคัดหลั่งภายใน 72 ชั่วโมง
  • การตรวจหา RNA ของ Virus ด้วย RT-PCR (Reverse transcriptase –polymerase chain reaction)
  • การตรวจน้ำเหลืองหา Antibody โดยเจาะห่าง 2 สัปดาห์ Antibody จะเพิ่มขึ้น 4 เท่า
  • ตรวจหาแอนติเจน



    DIA(direct immunofluorescent antibody)



    IFA(direct immunofluorescent antibody)

การรักษา

  • ให้ยาต้าน Antiviral teatment


    ให้ภายใน 48 ชั่วโมงแรกของอาการป่วย



    ให้ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง



    ได้แก่ โรคหัวใจ ปอด หอบหืด ตั้งครรภ์ไตรมาส 2,3 HIV เด็กอายุครบน้อยกว่า 2 ปี เมตาบอลิกเรื้อรัง ได้รับการรักษาด้วย Aspirin

  • ยาต้านมี 2 กลุ่ม
    กลุ่ม 1 amantadine และ Rimantadin ยับยั้งการแบ่งตัวของ cell
    ชนิด A อาการไม่พึงประสงค์ อาการเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาทและทางเดินอาหาร
    กลุ่ม 2 Neuraminidase inhibitor
    Oseltamivia (Tamiflu) ผลข้างเคียง คลื่นไส้อาเจียน
    Zanamivia (Relenza) พ่นทางปาก ผลข้างเคียง หลอดลมตีบ

การพยาบาล
พักผ่อนมากๆ และอยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
ลดไข้ผู้ป่วย
การล้างมือ
กินอาหารที่มีประโยชน์และย่อยง่าย ควรดื่มน้ำมากๆ
ปิดจมูก ปาก เวลาไอหรือจาม และบ้วนน้ำลายลงในภาชนะที่ใส่ยาฆ่าเชื้อโรค
ควรพบแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
ควรหยุดพักงานหรือการเรียนชั่วคราว จนกว่าจะหายเป็นปกติ เพื่อป้องกันการแพร่ของเชื้อโรค
ควรจัดให้ผู้ป่วยอยู่ห้องแยก

เชื้อไข้หวัดนก ( Avian influenza) 


ระยะฟักตัวในคนสั้น ประมาณ 1 ถึง 3 วัน

อาการ
มีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออ่อนเพลียมีน้ำมูกไอและเจ็บคอบางครั้งพบว่ามีอาการตาแดง

อาการแทรกซ้อนจะมีอาการรุนแรงถึงปอดบวมและเกิดระบบหายใจล้มเหลว (Acute espiratory Distress Syndrome)

การวินิจฉัยไข้หวัดนก


  1. มีไข้มากกว่า 38 องศา
  2. มีอาการทางเดินระบบหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ หายใจหอบ และ
  3. ประวัติสัมผัสกับสัตว์ที่เป็นโรค หรือสัมผัสกับคนป่วยภายใน 10 วันก่อนเกิดอาการ
  4. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
  5. การเพาะเชื้อไวรัสจากสารคัดหลั่ง เช่นเสมหะ น้ำมูก
  6. การตรวจสารคัดหลั่งด้วยวิธี PCR influenza type A ให้ผลบวก

ยาที่ใช้รักษา

ยาที่ใช้ในการรักษาได้แก่
Oseltamivir [tamiflu]
Zannamivir[Relenza]
เป็นยาที่จะช่วยบรรเทาอาการของโรคแต่ต้องให้ยาภายใน 48 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ

วิธีป้องกันการระบาด

  1. ต้องกำจัดแหล่งแพร่เชื้ออย่างรีบด่วน
  2. ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เพื่อไม่ให้เชื้อกลายพันธุ์
  3. คนที่สัมผัสไก่ที่เป็นโรคและมีไข้ต้องกินยาต้านไวรัส
  4. ผู้ที่ทำลายไก่ต้องสวมชุดเพื่อป้องกันการรับเชื้อ
  5. ต้องมีระบบคัดกรองผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นไข้หวัดนก ออกจากผู้ป่วยอื่นทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน
  6. ผู้ป่วยที่มีอาการไอหรือจาม ต้องใช้ Tissue ปิดปากและจมูก
  7. จัดให้มี Alcohol สำหรับเช็ดมือ
  8. แยกผู้ป่วยที่มีอาการไอออกจากผู้อื่นอย่างน้อย 3 ฟุต

การป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล

  1. ให้ผู้ป่วยนอนห้องแยก
  2. หากต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกนอกห้องต้องสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง
  3. ห้ามแพทย์หรือญาติที่เป็นหวัด เยี่ยมผู้ป่วย
  4. หากจะเข้าใกล้ผู้ป่วยน้อยกว่า 3 ฟุตต้องสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง
  5. ผู้ที่จะเข้าไปดูแลผู้ป่วยต้องสวมถุงมือ เสื้อคลุมทุกครั้ง และถอดออกเมื่อออกนอกห้อง
  6. ล้างมือก่อนและหลังสัมผัสผู้ป่วยทุกครั้ง

โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง
( Severe Acute Respiratory Syndrome :SARS)

สาเหตุ
เกิดจาก เชื้อไวรัสโคโรนา coronavirus (SARS-CoV)
ระยะฟักตัวของโรค
จะใช้เวลาประมาณ 2 ถึง 7 วัน โดยทั่วไปมักไม่เกิน 10 วัน
การติดต่อ
สัมผัสกับผู้ป่วย โดยเฉพาะของเหลว เช่น น้ำลาย น้ำมูก

อาการ
ไข้สูงมากกว่า 38 องศาเซลเซียส
ปวดเมื่อยตามร่างกาย
ปวดศีรษะมาก
หนาวสั่น
อาการเจ็บคอ ไอแห้ง ๆ
ปอดบวมอักเสบ
อาการหายใจลำบาก

MERS-CoV หรือ Middle East Respiratory Syndrome-Corona Virus

  • MERS-CoV หรือ EMC/2012 (HCoV-EMC/2012)
  • มีระยะฟักตัวตั้งแต่ 2 – 14 วัน ดังนั้นหากผู้ป่วยเริ่มมีอาการไข้สูงมากกว่า 38 องศาเซลเซียส ไอ หอบ หายใจเร็ว และภายใน 14 วันก่อนหน้ามีประวัติเดินทางไปในประเทศที่มีการระบาดของโรค

อาการแสดงของ Mers-CoV

  • 
ไข้สูง อาการไอ หายใจหอบมากกว่า 28 ครั้ง Oxygen saturation น้อยกว่า 90 และอาจเกิดภาวะปอดอักเสบ ไตวายทางเดินหายใจล้มเหลวเฉียบพลันอย่างรุนแรง (Severe Acute Respiratory Distress Syndrome :ARDS) จนทำให้เสียชีวิตในที่สุด
  • บางรายอาจมีอาการทางระบบทางเดินอาหารร่วมด้วย เช่นคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว

การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  • ผลเอกซเรย์ ปอด (Chest imaging (e.g. X-ray or CT scan): ลักษณะปอดอักเสบอาจพบภาพฉายรังสีไม่แตกต่างจากภาวะปอดอักเสบจากโรคอื่น
  • ในการตรวจหาเชื้อ MERS-CoV พบว่าการตรวจจากเสมหะให้ความไวในการตรวจพบเชื้อสูงกว่าการเก็บตัวอย่างจาก Nasopharyngeal Aspiration
  • reverse-transcriptase polymerase chain reaction (RT-PCR)

การรักษา/การดูแล
1.การให้ยาต้านไวรัส
2.การให้ยาปฏิชีวนะ กรณีมีปอดอักเสบ
3.การรักษาตามอาการ ให้ supplemental oxygen therapyโดยเฉพาะผู้ป่วยที่ SpO2 < ร้อยละ 90 เริ่มโดย การจากให้อ็อกซิเจน 5 ลิตรต่อนาที และปรับขนาดตามอาการของผปู้ ่วย จนระดับ SpO2 ≥ ร้อยละ 90 ในคนทั่วไป และ SpO2 ≥ ร้อยละ 92-95 ในหญิงตั้งครรภ์

Infection Control

  • Standard precautions รวมถึง Hand hygiene, Respiratory hygiene and coughetiquette, Safe injection practices และข้อปฏิบัติอื่นๆ
  • MERS-CoV เป็น droplet nuclei or tiny droplet ถ้าไอในระยะ 1 เมตร สามารถแพร่กระจายเชื้อได้
  • Airborne precaution โดยให้ผู้ป่วยอยู่ใน Airborne infection isolation room (AIIR)หรือห้องเดี่ยวที่มีพัดลมดูดอากาศสู่ภายนอกและนอกอาคารบริเวณที่เหมาะสม (ปิดประตูตลอดเวลา)
  • ผู้ป่วยสวม Surgical Mask
  • ส่วนบุคลากรทางการแพทย ให้ใช้ Surgical Mask หากทำหัตถการที่จะก่อให้เกิดฝอยละอองขนาดเล็ก (aerosol) ให้สวมหน้ากากระดับ N95 หรือเทียบเท่าในการดูแลผู้ป่วย สวม Goggle หรือ Face Shield และเสื้อคลุมแขนยาว (Gown) ชนิดกันน้าได้
  • ไม่เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกนอกห้องหากไม่มีความจำเป็นจริง ๆ เนื่องจากไม่ทราบระยะเวลาการแพร่เชื้อ ที่แน่นอน

การป้องกัน

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการ ไอ จาม หรือโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เฉียบพลัน
  • ควรล้างมือบ่อยๆด้วยน้ำและสบู่ โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากผู้ป่วย หรือสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วย รวมทั้งก่อนรับประทานอาหาร และหลังขับถ่าย
  • หลีกเลี่ยง การเข้าไปในพื้นที่ แออัด หรือที่ สาธารณะที่มีคนอยู่จำนวนมาก เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรค
  • แนะนำให้ผู้ป่วยใส่หน้ากากอนามัย ปิดปากปิดจมูกเวลาไอหรือจาม
  • ปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยที่ดี ได้แก่ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ

Covid-19

image

image

image

image

image

นิยามที่ 1 กรณีที่ 1 การเฝ้าระวังที่ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ
ผู้ป่วยมีอาการ และอาการแสดง ดังนี้
อุณหภูมิร่างกายตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป ร่วมกับ มีอาการของระบบทางเดินหายใจ
อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ ไอ น้ำมูก เจ็บคอ หายใจเหนื่อย หรือ หายใจลำบาก
มีประวัติในช่วงเวลา 14 วันก่อนวันเริ่มป่วย อย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
1) มีประวัติเดินทางไปยัง หรือ มาจาก หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดต่อเนื่องของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
2) มีผู้ที่อยู่อาศัยร่วมบ้านเดินทางกลับมาจากพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดต่อเนื่องของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019
3) เป็นผู้ที่ประกอบอาชีพที่สัมผัสใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
4) มีประวัติใกล้ชิดหรือสัมผัสกับผู้ป่วยเข้าข่ายหรือยืนยันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
5) เป็นบุคลากรทางการแพทย์หรือสาธารณสุข ที่สัมผัสกับผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

นิยามที่ 2กรณีที่ 2 การเฝ้าระวังที่สถานพยาบาล
ผู้ป่วยมีอาการ และอาการแสดง ดังนี้
2.1 อุณหภูมิร่างกายตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป หรือให้ประวัติว่า มีไข้ในการป่วยครั้งนี้ ร่วมกับมีอาการของระบบทางเดินหายใจ อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ ไอ น้ำมูก เจ็บคอ หายใจเหนื่อย หรือ หายใจลำบาก
2.2 ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบ
ประวัติในช่วงเวลา 14 วันก่อนวันเริ่มป่วย อย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
1) มีประวัติเดินทางไปยัง หรือ มาจาก หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดต่อเนื่องของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
2) มีผู้ที่อยู่อาศัยร่วมบ้านเดินทางกลับมาจากพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดต่อเนื่องของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019
3) เป็นผู้ที่ประกอบอาชีพที่สัมผัสใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
4) มีประวัติใกล้ชิดหรือสัมผัสกับผู้ป่วยเข้าข่ายหรือยืนยันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
5) เป็นบุคลากรทางการแพทย์หรือสาธารณสุข ที่สัมผัสกับผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

นิยามกรณีที่ 3 การเฝ้าระวังที่สถานพยาบาล
ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบ
ร่วมกับ การมีประวัติ อย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
1) ใกล้ชิดผู้สงสัยติดเชื้อ SARS-CoV-2 ในช่วงเวลา 14 วันก่อนวันเริ่มป่วย
2) เป็นบุคลากรทางการแพทย์หรือสาธารณสุข 3) รักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้น
4) หาสาเหตุไม่ได้
5) มีอาการรุนแรง หรือ เสียชีวิตโดยหาสาเหตุไม่ได้

นิยาม กรณีที่ 4 การป่วยเป็นกลุ่มก้อน กลุ่มก้อน (cluster) ของผู้มีอาการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ (Acute respiratory tract infection) ที่ตรวจ rapid test หรือ PCR ต่อเชื้อ ไวรัสไข้หวัดใหญ่แล้วให้ผลลบทุกราย
• กรณีเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ตั้งแต่ 3 รายขึ้นไป ในแผนก เดียวกัน ในช่วงสัปดาห์เดียวกัน (หากสถานพยาบาลขนาดเล็ก เช่น คลินิก ใช้เกณฑ์ 3 รายขึ้นไปในสถานพยาบาลนั้น ๆ)
• กรณีในสถานที่แห่งเดียวกัน (ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์) ตั้งแต่ 5 รายขึ้นไป ในช่วงสัปดาห์เดียวกัน