Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ความผิดปกติหลอดเลือดและการไหลเวียนเลือด, นางสาววณิชญา เคลือบคนโท…
ความผิดปกติหลอดเลือดและการไหลเวียนเลือด
Stroke
ประเภท
1.Ischemia stroke
เป็นภาวะ Stroke ที่เกิดมากที่สุดประมาณ 80% ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงสมองลดลง
2.Hemorrhagic stroke
เป็นภาวะ Stroke ที่เกิดจากหลอดเลือดในสมองแตก
อาการ
ระยะหลังเฉียบพลัน (Post acute stage)
เป็นระยะที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการคงที่ 1- 14 วัน
ระยะฟื้นฟูสภาพ (Recovery stage)
3 เดือนแรก
ระยะเฉียบพลัน (Acute stage)
เป็นระยะ 24 - 48 ชั่วโมง ผู้ป่วยมีอาการหมดสติ มีภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูง ระบบการหายใจและการทำงานของหัวใจผิดปกติ
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
อายุ อายุที่สูงขึ้นมีภาวะเสี่ยงสูงขึ้น
เพศ ชายมีภาวะเสี่ยงมากกว่าเพศหญิง
ประวัติครอบครัว
ประวัติเคยเป็น โรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke มาก่อน
ปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงได้
เป็น HT, DM, สูบบุหรี่, สุรา หรือยาเสพติด
โรคของ carotid artery disease และ peripheral
โรคของหัวใจและระบบไหลเวียน cardiovascular disease (HF, congenital heart defects, CHD, cardiomegaly, cardiomyopathy)
Atrial Fibrillation
Transient ischemic attack (TIA)
ไขมันในเลือดสูง
อ้วน
ไม่ออกกำลังกาย
การประเมินผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
ประวัติ
ประวัติโรคหลอดเลือดสมอง โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย
โรคร่วม ความดันโลหิตสูง เบาหวาน
การเจ็บป่วยในช่วงที่ผ่านมา เช่นอุบัติเหตุ ผ่าตัด
การใช้ยา เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
ระยะเวลาที่มีอาการ; conscious, unconscious
ความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง
ผู้เห็นเหตุการณ์
การตรวจร่างกาย
อ่อนแรงของร่างกายครึ่งซีกชาครึ่งซีก
เวียนศีรษะ ร่วมกับเดินเซ
ตามัว หรือ มองเห็นภาพซ้อน
พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง
ปวดศีรษะ อาเจียน
ซึม ไม่รู้สึกตัว
การตรวจพิเศษ
CT scan
angiogram
MRI
การรักษา/พยาบาล
1.การรักษา Ischemic Stroke ที่เกิดจากลิ่มเลือดหรือการอุดตัน ตีบแคบของเส้นเลือด
ในกรณีที่เป็น Stroke ประเภทที่หลอดเลือดแตกและมีเลือดออกในสมอง ต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งการพยาบาลก่อนและหลังผ่าตัดเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการพยาบาลผู้ป่วยที่มีความดันในสมองสูง
ให้คำแนะนำเกี่ยวกับอาการเตือน Stroke แก่ผู้ป่วยและครอบครัว
ข้อห้ามของการให้ยาละลายลิ่มเลือด
มีอาการของโรคหลอดเลือดสมองตีบและอุดตันที่ไม่ทราบเวลาที่เริ่มเป็นอย่างชัดเจน
มีอาการเลือดออกใต้ชั้นเยื่อหุ้มสมอง (subarachnoid hemorrhage)
ความดันโลหิตสูง (SBP≥ 185 mmHg, DBP≥ 110 mmHg)
มีประวัติเลือดออกในสมองหรือ มีประวัติเป็น Stroke/Head injury ภายใน 3 เดือน
History of prior intracranial hemorrhage, neoplasm, or vascular malformation
มีอาการทางระบบประสาทที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว (NIHSS < 4) หรือ มีอาการทางระบบประสาท อย่างรุนแรง (NIHSS >18)
มีอาการชัก
ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด (heparin หรือ warfarin) ภายใน 48 ชั่วโมงหรือตรวจพบ ความผิดปกติของเกล็ดเลือดอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ มีค่า Partial-thromboplastin time ผิดปกติ มีค่า Prothrombin time มากกว่า 15 วินาที มีค่า International normalized ratio (INR) มากกว่า 1.5
มีปริมาณเกล็ดเลือดน้อยกว่า 100,000/mm
มี Hct น้อยกว่า 25%
มีประวัติผ่าตัดใหญ่ภายใน 14 วัน
มีเลือดออกในทางเดินอาหารหรือทางเดินปัสสาวะภายใน 21 วัน
มี BS <50 mg/dl หรือ > 400 mg/dl
มีประวัติ Myocardial infarction ภายใน 3 เดือน
มีการเจาะหลอดเลือดแดงในตำแหน่งที่ไม่สามารถห้ามเลือดได้ภายใน 7 วัน
แขน และหรือ ขา ใบหน้า ซีกใดซีกหนึ่งอ่อนแรงอย่างทันทีทันใด
พูดไม่ออก ไม่เข้าใจคำพูด หรือพูดไม่ชัดอย่างทันทีทันใด
ตาข้างใดข้างหนึ่งมัว มองไม่เห็น เห็นภาพซ้อน มีอาการคล้าย
ม่านบังตาอย่างฉับพลัน
ปวดศีรษะรุนแรงฉับพลัน ชนิดไม่เคยเป็นมาก่อน
มีอาการเวียนศีรษะ อยู่เฉย ๆ ก็เวียนศีรษะ บ้านหมุน เดินลำบาก หรือเป็นลม
BEFAST
F
-Faceหน้าเบี้ยว
A
-Armแขนตก
E
-Eyeตามัว ม่านบังตา ตาข่ายบังตา
S
-Speechพูดช้าๆ
B
-Balance ทรงตัวไม่ดี เดินเซ
T
-Timeดูเวลาที่เกิดอาการ ถ้า3-4.5ชั่วโมงให้ยาrtPAได้ ถ้าเลยนี้ไม่ควรให้ยา
ความดันโลหิตสูง (Hypertension)
ประเภท
1.ความดันโลหิตสูงไม่ทราบสาเหตุ (Essential or primary hypertension)
ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด มีความเชื่อว่ามีความเกี่ยวพันการปฎิบัติตัวเช่น การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย เป็นต้น
2.ความดันโลหิตสูงที่มีสาเหตุ (Secondary hypertension)
เช่น โรคเกี่ยวกับไต และต่อมหมวกไต เป็นต้น
คำศัพท์อื่น ๆ เกี่ยวกับความดันโลหิตสูง
Isolated systolic hypertension/Isolated diastolic hypertension
เป็นความดันโลหิตที่สูงตัวใดตัวหนี่ง ในขณะที่อีกตัวมีค่าปกติ มักพบในคนสูงอายุ
Masked hypertension
เป็นลักษณะความดันโลหิตสูงเมื่อวัดโลหิตที่โรงพยาบาลจะปกติ แต่เมื่อกลับไปอยู่บ้านระดับความดันโลหิตจะสูงผิดปกติ
White coat hypertension
เป็นความดันโลหิตสูงที่พบในคนปกติ ที่ได้รับการวัดความดันโลหิตจากเจ้าหน้าที่สุขภาพ ถ้าคนเหล่านี้ได้รับยาลดความดันโลหิตสูงจะอันตรายมาก
ปัจจัยที่มีผลต่อระดับความดันโลหิต
ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจ (Cardiac output)
ปริมานเลือดในร่างกาย (Blood volume)
Resistance ประกอบด้วย
3.1 ความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือดแดง (Flexibility of arterial wall)
3.2 ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของหลอดเลือด (Diameter of artery)
3.3 ผนังหลอดเลือดหนา (Thickness)
การแบ่งระดับของความดันโลหิตสูง
Prehypertension
ระดับความดันโลหิตอยู่ในช่วง 120/80-139/89 mmHg
Stage 1
ระดับความดันโลหิตอยู่ในช่วง 140/90-159/99 mmHg
Stage 2
ระดับความดันโลหิตตั้งแต่ 160/100 mmHg เป็นต้นไป
ระดับความดันโลหิตที่สูงมากขั้นวิกฤติ (Hypertensive crisis)
Hypertensive urgency
มีความดันโลหิตสูง ตั้งแต่ 180/110 mmHg เป็นต้นไป แต่ยังไม่มี อวัยวะเป้าหมายที่สำคัญถูกทำลาย (Target organ damaged)
Hypertensive emergency
มีความดันโลหิตสูง ตั้งแต่ 180/110 mmHg เป็นต้นไป และมีสัญญาณของอวัยวะเป้าหมายที่สำคัญถูกทำลาย (Target organ damaged) เช่น ตา ไต หัวใจ สมองและหลอดเลือด
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ (Non modifiable risk factor)
ประวัติครอบครัว พันธุกรรมและปัจจัยหลายอย่าง
อายุ (Age) ความดันโลหิตสูงแบบปฐมภูมิพบบ่อยในช่วงอายุ 30-50 ปี อัตราการเกิดโรคเพิ่มขึ้นตามอายุที่สูงขึ้น
เพศ (Sex) ผู้ชายมีความเสี่ยงที่จะเป็นความดันโลหิตสูงมากกว่าผู้หญิง
เชื้อชาติ (Race)
ปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงได้ (Modifiable risk factor)
ภาวะ (Stress) ตัวกระตุ้นทำให้มีภาวะเครียดมีมากมายเช่น เสียง การติดเชื้อ การอักเสบ ความเจ็บปวด การได้รับออกซิเจนลดลง อากาศเย็น ทำงานหนัก เป็นต้น
อ้วนมาก (Obesity) โดยเฉพาะอ้วนลงพุง (พุงใหญ่ แขนขาเล็ก)
สารอาหาร โดยเฉพาะโซเดียม
สารเสพติด บุหรี่ แอลกอฮอล์
ออกกำลังกายหรือมีกิจกรรมทางกายน้อย (Inactivity)
พยาธิสภาพ
ตัวรับความดันโลหิตและตัวรับเคมีในหลอดเลือดแดง (Arterial baroreceptor and chemoreceptor)
ทำให้หลอดเลือดดำขยายตัว หัวใจเต้นช้าลง
ลดการทำงานของหัวใจเต้นช้าลง บีบตัวลดลง ความดันโลหิตลดลง
ทำให้เกิด Reflex ลดความดันเลือดลง
การควบคุมปริมาตรน้ำในร่างกาย
ไตขับน้ำและเกลือออกจากร่างกายระดับความดันโลหิตลดลง
จะดูดน้ำและโซเดียมกลับมากขึ้น
ระบบเรนนินแอนจิโอเทนซิน
มีการหดและขยายส่งผลต่อระดับความดันโลหิตโดยตรง
การควบคุมตัวเองของหลอดเลือด (Vascular autoregular)
หลอดเลือดหดตัว กระตุ้นการหลั่งอัลโดสเตอโรน (Aldosterone) ของต่อมหมวกไต (Adrenal grand) โดยรวมมีผลเพิ่มการทำงานของซิมพาเธติค ยับยั้งการขับโซเดียมออกจากร่างกาย และเพิ่มความต้านทางหลอดเลือดส่วนปลาย
อาการ
ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงเล็กน้อยหรือปานกลางมักไม่มีอาการแสดง
เมื่อมีความดันสูงมากขึ้น จะปรากฎอาการเหล่านี้ได้ แต่ไม่เฉพาะเจาะจง คือมีหรือไม่มีอาการก็ได้
ปวดศีรษะ ลักษณะอาการปวดมักจะปวดที่ท้ายทอย โดยเฉพาะช่วงเช้าหลังตื่นนอน และมักค่อยๆ ดีขึ้นและหายไปเอง
เวียนศีรษะ มึนงง ซึ่งอาจเกิดจากสมองขาดเลือดชั่วขณะ อาจมีอาการคล้ายจะเป็นลม
เลือดกำเดาไหล แต่ไม่พบบ่อย
หายใจลำบากขณะออกแรงหรือทำงานหนัก หรือหายใจลำบากขณะนอนราบ (มักพบในผู้ป่วยที่ภาวะแทรกซ้อนในหัวใจ)
มีอาการเจ็บหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือหลอดเลือดเอออร์ต้าฉีกขาด
อาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้ เช่น ปัสสาวะมาก กระหายน้ำ ใจสั่นและอาการทางพยาธิสภาพของอวัยวะสำคัญที่เสียหน้าที่
การจัดการภาวะ Hypertensive Urgency
สามารถให้ยาลดความดันโลหิตทางปากได้
เป้าหมายการลดความดันโลหิตเบื้องต้นคือ 160/110 mmHg ภายในเวลาเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน
Mean arterial pressure (MAP) (คำนวนจากสูตร คือ [(2xdiastic) + systolic]/3) ควรลดไม่เกิน 25% ภายใน 24 ชั่วโมงแรก
หลีกเลี่ยงการให้ยาลดความดันโลหิตในปริมาณสูง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตที่ต่ำลงอย่างเฉียบพลันโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยขาดน้ำ และผู้ป่วย CVD และ PAD
การรักษาผู้ป่วยในกรณีนี้ขึ้นอยู่กับระดับของอวัยวะเป้าหมายถูกทำลาย
ความเร็วในการลดระดับความดันโลหิตยังไม่แน่นอน
เป้าหมายในการลด MAP ลง 10% ใน 1 ชั่วโมงแรก และ 2-3 ชั่วโมงต่อมา 15%
การลดความดันโลหิตลงเร็วเกินไปจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือ สมองมีเลือดไปเลี้ยงน้อย
ผู้ป่วยที่มีภาวะ Pressure natriuresis มักมีภาวะขาดน้ำนอกเซล (Intravascular volume depletion) ให้หลีกเลี่ยงการใช้ยากลุ่มขยายหลอดเลือดเพราะจะทำให้ความดันโลหิตต่ำได้
ผู้ป่วยเล่านี้ควรได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำ เพื่อรักษาปริมาณน้ำของร่างกายไว้ และหยุดกระบวนของ renin-angiotensin system (RAS)
ผลกระทบของการที่มีภาวะความดันโลหิตสูงเป็นเวลานาน
มีการทำลายผนังหลอดเลือดแดง ทำให้ผนังหลอดเลือดแดงอ่อนแอ (weak) และโป่งพอง (aneurysm) และอาจแตกในที่สุด
ถ้ามีรอยแตกเล็ก ๆ ที่ผนังหลอดเลือด จะเป็นที่สะสมของไขมัน โปรตีน แคลเซียม และอื่น ๆ เมื่อสะสมมาก ๆ จะทำให้ หลดอเลือดตีบแคบ เกิดลิ่มเลือดและอุดตันในที่สุด
การทำงานของหัวใจมากขึ้น
มีการทำลายของอวัยวะสำคัญได้แก่ สมอง ตา ไต หัวใจ เช่น Stroke, ACS, CKD
การรักษา/พยาบาล
มีเป้าหมายในการลดความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 140/90 mmHg เพื่อป้องกัน ภาวะแทรกซ้อนและโรคร่วม และการเสื่อมสภาพของอวัยวะเป้าหมาย มีหลักสำคัญดังนี้
การรักษาแบบไม่ใช้ยา
การควบคุมอาหารในความดันโลหิตสูง
การลดน้ำหนัก
การลดเกลือ
การลดความเครียด
งดแอลกอฮอล์และบุหรี่
2.การรักษาโดยการใช้ยา
เบต้าบล็อคเกอร์ (beta blocker) เพื่อลดอัตราการเต้นของหัวใจ และขยายหลอดเลือด
ยากลุ่ม Calcium channel blocker เพื่อ ลดอัตราการเต้นของหัวใจและลดการรบกวนการทำงานของหัวใจ
ยากลุ่ม ACEI เพื่อขยายหลอดเลือดและเพิ่ม renal blood flow
ยาขับปัสสาวะ (diuratic) หรือ pill water)
การรักษาความดันโลหิตสูงในระยะวิกฤติ
ความดันโลหิตสูงในระยะวิกฤติ เป็นภาวะที่ผู้ป่วยมีระดับความดันโลหิตสูงมาก ซึ่งอาจเกิดอันตรายและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น Stroke, TIA เป็นต้น
ผู้ป่วยที่เป็น Hypertensive urgency ต้องได้รับการควบคุมความดันโลหิตภายใน 12-24 ชั่วโมง
ผู้ป่วยที่เป็น Hypertensive emergency ผู้ป่วยเหล่านี้ ต้องได้รับการควบคุมความดันโลหิตทันที เนื่องจากมีภาวะเสี่ยงสูงที่อวัยวะเป้าหมายจะถูกทำลายมากขึ้น
อาการ
ปวดศีรษะรุน แรง มึนงง คลื่นไส้อาเจียน ชัก เกร็ง หมดสติ
การให้ยาลดความดันในผู้ป่วย Hypertensive emergency มักให้ยาทางปาก ร่วมกับยาฉีดลดความดันโลหิตทางหลอดเลือดดำ เช่น Sodium nitroprusside
หลักการลดความดันโลหิตในผู้ป่วยจะลดช้าๆ โดยมีเป้าหมายที่ 160/100 mmHg เนื่องจากการลดความดันโลหิตที่รวดเร็วเกินไปจะเกิดอันตรายต่ออวัยวะเป้าหมายมากขึ้น เช่น สมอง หัวใจและ ไต
Transient Ischemic Attack (TIA)
หายเป็นปกติในเวลาภายใน 24 ชั่วโมง
10-15% จะเกิดโรคหลอดเลือดสมองภายใน 3 เดือนหลังเกิด TIA ครั้งแรก
มีอาการอ่อนแรง ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด อยู่ประมาณ 2-30 นาที
ร้อยละ 30-50 พบความผิดปกติจากการขาดเลือด
ร้อยละ 5-8 อาจเกิดโรคหลอดเลือดสมองภายใน 48 ชั่วโมง
หลอดเลือดดำตีบ (Deep vein thrombosis)
พยาธิสภาพ
ปกติเลือดในหลอดเลือดดำจะไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อมีภาวะที่เลือดดำหยุดไหลเวียนและจับแข็งตัวเป็นภาวะ Trombosis
Thrombosisในหลอดเลือดเรียกภาวะนี้ว่าลิ่มเลือดคั่งในหลอดเลือดดำ(blood clot) ภาวะนี้อาจจะเกิดร่วมกับการอักเสบของหลอดเลือดดำ thromboplebitis คือมีทั้งลิ่มเลือดและการอักเสบของหลอดเลือด
เส้นหลอดเลือดดำจะนำเลือดที่ใช้แล้วกลับสู่หัวใจ โดยอาศัยการบีบตัวของกล้ามเนื้อ ร่วมกับลิ้นในหลอดเลือดดำ หลอดเลือดดำที่ขามี 2 ชนิด
หลอดเลือดดำที่ผิว superficial veinที่สามารถเห็นได้ด้วยตา ซึ่งจะนำเลือดจากผิวไปสู่หลอดเลือดดำส่วนลึก deep veinซึ่งจะอยู่ในกล้ามเนื้อ
หลอดเลือดดำลึกก็จะนำเลือดไปยังหลอดเลือดดำใหญ่ในท้อง inferior venacava
สาเหตุของลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ
หลอดเลือดดำได้รับอันตราย เช่นอุบัติเหตุกระดูกหัก กล้ามเนื้อถูกกระแทก หรือการผ่าตัด
เลือดในหลอดเลือดมีการไหลเวียนช้าลงเช่นการนั่งหรือนอนนาน หลังผ่าตัด อัมพาต การเข้าเฝือก
การที่เลือดมีการแข็งตัวง่าย
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ
อัมพาต
การเข้าเผือก
คนแก่ นอนไม่เคลื่อนไหวมากว่า 3วัน
หลังผ่าตัดทำให้ต้องนอนนาน
การที่ต้องนั่งรถ รถไฟ เครื่องบิน หรือนั่งไขว่ห้าง
การใช้ยาคุมกำเนิด ฉีดยาเสพติด
การตั้งครรภ์ หลังคลอด
นอนไม่เคลื่อนไหวมากกว่า 3 วัน
โรคมะเร็ง
โรคทางพันธุกรรมบางโรค
อาการ
บวมเท้าที่เป็นข้างเดียว และอาจจะกดเจ็บบริเวณน่อง
เมื่อจับปลายเท้ากระดกเข้าหาตัวโดยที่เข่าเหยียดตรง (เรียกการตรวจนี้ว่า Homans Sign) จะมีอาการปวด
อาจจะตรวจพบว่าหลอดเลือดดำโป่งและอาจจะคลำได้ ถ้าเส้นเลือดอักเสบเวลาคลำจะปวด
ไข้ต่ำๆ
การตรวจพิเศษ
venous ultrasound
MRI
venography
หลอดเลือดขอด (Varicose vein หรือ Varicosities)
สาเหตุ
มีปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดหลอดเลือดขอดเพิ่มขึ้น การยืนนานๆ การตั้งครรภ์ ความร้อน การถูกผูกรัด เช่น การใส่ถุงน่องที่คับเกินไป เป็นต้น กรรมพันธุ์ เชื้อชาติ
การเกิดยังไม่ทราบแน่ชัด
เพศ พบว่าเพศหญิงมีอัตราการเกิดสูงกว่าเพศชาย
อาการ
ปวดตื้อ ๆ บริเวณขา กล้ามเนื้อเป็นตระคริว
มีอาการเมื่อยล้าขามากผิดปกติ
ถ้าเป็นเส้นเลือดขอดในระดับรุนแรง จนมีหลอดเลือดอุดตัน จะมีอาการบวมปวด ขามีสีคล้ำ
อาจมีแผลที่เท้าจากการขาดเลือดไปเลี้ยง
เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ และติดเชื้อได้ง่าย
พยาธิสภาพ
เป็นความผิดปกติของหลอดเลือดดำให้ผิวหนัง (Superficial vein) เกิดจากลิ้นกั้นในเลือดเลือดเสียหน้าที ทำให้การไหลเวียนเลือดผิดปกติ ไม่สามารถไล่เลือดให้ไหลกลับสู่หัวใจได้หมด จึงเกิดการคั่งของเลือดในหลอดเลือดดำ ทำให้หลอดเลือดดำขยายตัวกว้างใหญ่ขึ้น ยาวขึ้นและหงิกงอ คดเคี้ยว พบได้บ่อยบริเวณขา น่อง ข้อเท้า และหลังเท้า
การวินิจฉัย
การตรวจเบื้องต้นโดยการตรวจ Bodiettrendendelenberg test
การตรวจยืนยันโดยการตรวจ Ultrasonography และ venography
การรักษา/พยาบาล
2.การผ่าตัดนำหลอดเลือดที่ขอดออก
2.1 หลังผ่าตัดพยาบาลควรตรวจสอบเกี่ยวกับการตกเลือด (Hemorrhage)
-ควรคลำ pedal pedis pulse ตรวจการทำหน้าที่ของ Motorและ Sensory ของขาทุก 2 ชั่วโมง เป็นเวลานาน 8 ชั่วโมงหลังผ่าตัด
-คลายผ้ายืดวันละ 3 ครั้ง และพันใหม่ทุกครั้ง
-เมื่อผู้ป่วยฟื้นแล้วสามารถเดินได้ตั้งแต่วันแรก แต่ต้องพันขาและสวมถุงน่องไว้นานประมาณ 1 เดือน เวลานอนควรยกขาขึ้น นอกจากนี้ควรออกกำลังกายขาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เลือดบริเวณขาไหลเวียนดีขึ้น
2.2 ซึ่งหลังผ่าตัดต้องให้แนะนำเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
-หลีกเลี่ยงการยืนนาน ๆ
-ห้ามสวมเสื้อผ้าคับ รัดแน่นที่ขา ขาหนีบ เอว เนื่องจากจะทำให้การไหลเวียนเลือดไม่สะดวก
-ลดน้ำหนัก
สวม Elastic stocking
-ออกกำลังกายเป็นประจำ และออกกำลังขาโดยการนอนยกขาสูง
-รับประทานอาหารเส้นใยสูง หลีกเลี่ยงอาการท้องผูก
-ห้ามนั่งไขว่ห้าง
-ลุกเคลื่อนไหว ทุก 35-45 นาที เมื่อนั่งนาน หรือเดินทางด้วยเครื่องบิน
-เดินระยะสั้น ๆ อย่างน้อยทุก 45 นาที เมื่อเดินทางด้วยรถยนต์
1.รักษาแบบประคับประคอง
Peripheral artery disease (PAD) เช่น arterial occlusion
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดตีบ
การสูบบุหรี่
ไขมันในเลือดสูง
ความดันโลหิตสูง
โรคเบาหวาน
โรคอ้วนลงพุง
ขาดการออกกำลังกาย
รับประทานอาหารไม่ถูกต้อง
เพศ
อายุ
ประวัติการป่วยเป็นโรคหลอดเลือดตีบก่อนวัยในครอบครัว
อาการ
คล้ายหลอดเลือดแดงอักเสบ คือ จะมีอาการปวดรุนแรงบริเวณที่หลอดเลือดแดงไปเลี้ยง เช่น บริเวณ แขน ขา น่อง
สาเหตุ
แรงดันของความดันโลหิต
การอักเสบจากโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกัน
โรคติดเชื้อบางชนิดเช่น Chlamydia pneumoniae or Helicobacter pylori) หรือเชื้อไวรัสบางตัวเช่น cytomegalovirus
สารเคมีในร่างกาย เช่น ไขมัน Cholesterol น้ำตาล เป็นต้น
การรักษา/พยาบาล
การดูแลรักษาแบบประคับประคอง
การเดินเป็นวิธีการที่ดีที่สุด กระตุ้นให้เดินจนกระทั่งเริ่มปวด แล้วหยุด เมื่อหายปวดเริ่มเดินใหม่ การเดินจะทำให้หลอดเลือดที่ขามีการสร้างขึ้นใหม่ ช่วยทำให้เดินได้นานขึ้น ปวดน้อยลง
หลีกเลี่ยงการประคบน้ำแข็งหรือน้ำร้อน
สวมรองเท้าที่คับพอดี
หลีกเลี่ยงอาหารที่ให้พลังงานมากเกินไป หรืออาหารมันมากเกินไป
รับประทานอาหารที่มีวิตามินบีมาก
การดูแลเท้า
การออกกำลังกาย
การควบคุมระดับไขมันในเลือด
การควบคุมความดันโลหิต และโรคเบาหวาน
การรักษาด้วยยา
2.1 การใช้ยายาต้านเกล็ดเลือด Anti-Platelet Agents
2.2 Anticoagulation Agents – ยาละลายลิ่มเลือด
การผ่าตัด
3.1 การทำ Balloon angioplasty
3.2 การผ่าตัด Bypass
การพยาบาลหลังผ่าตัด
จัดท่านอนราบขาเหยียดตรง ห้ามงอ ห้ามเอาหมอนรองใต้เข่าเนื่องจากมีระบบไหลเวียนเลือดลดลง
สังเกตออาการ Bleeding, pain, infection, ขาดเลือด, หายใจและวิตกกังวล
4.คำแนะนำป้องกันกลับเป็นซ้ำ ได้แก่ งดบุหรี่ ควบคุมไขมันในเลือด เบาหวาน และความดันโลหิต
เฝ้าระวังภาวะเลือดออกง่ายเนื่องจากได้รับยา Anticoagulance ได้แก่ heparin
5.สังเกตอาการผิดปกติ 6 P ได้แก่ ปวดขามาก ไข้ แขนขาอ่อนแรง เย็น คลำชีพจรไม่ได้ แผลตัดเชื้อให้มาพบแพทย์
หลอดเลือดแดงอักเสบเฉียบพลัน (Thromboangitis Obliterans of TAO หรือ Buerger’s disease)
อุบัติการณ์
พบมากในผู้ชายอายุระหว่าง 20-35 ปี ที่มีประวัติสูบบุหรี่
อาการ
ในระยะแรก
มีอาการปวดบริเวณขา และหลังเท้ารุนแรง อาจมีอาการปวดน่องร่วมด้วยเวลาเดิน เดินไม่ได้ไกล เป็นตะคริวบ่อยที่เท้าและน่อง หลังเดินหรือออกกำลังกาย อาการหายไปเมื่อพัก อาการเหล่านี้เรียกว่า Intermittent Claudication
ในระยะต่อมา
จะมีแผลเรื้อรัง ตามนิ้วมือ นิ้วเท้า ในที่สุดอาจถูกตัดนิ้วมือและเท้าได้
การวินิจฉัย
เบื้องต้นจากประวัติ
การตรวจ ABI หรือ Droppler ultrasound, Artheriograms เพื่อวินิจฉัย ภาวะขาดเลือดที่หลอดเลือดส่วนปลาย
การรักษา/พยาบาล
งดสูบบุหรี่
รักษาแผลเรื้อรังที่เท้า
ให้ยาขยายหลอดเลือด แก้ปวด ตามอาการ
ให้ยา NSIAD เมื่อมีอาการหลอดเลือดดำอักเสบ
5.การรักษาโดยการผ่าตัด
5.1 Debride แผล เป็นการตัดเนื้อตายที่แผล
5.2 Lumbar sympathectomy ตัดเส้นประสาทซิมพาเธติคที่เอวออก เพื่อลดการหดเกร็งของหลอดเลือดแดงทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ปลายเท้าเพิ่มมากขึ้น ร้อยละ 70 จะได้ผลดีในการทำให้แผลเรื้อรังหาย
5.3 การผ่าตัดหลอดเลือดซึ่งมักไม่ได้ผลเพราะหลอดเลือด ที่ต่อไว้มากกว่าร้อยละ 50 จะตีบภายใน 1 ปี
Thrombopheblitis
อาการ
ปวดบริเวณที่เกิดหลอดเลือดอักเสบ บวม แดง มีการขาดเลือดของอวัยวะที่มีการอุดตัน
การพยาบาล
ห้ามวิ่ง เดินนาน หรือยกน้ำหนัก
ใส่ผ้ายืดหรือถุงน่องรัดขาไว้ สังเกตอาการเลือดออกจากการได้รับยาละลายลิ่มเลือด
ดูแลป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำโดยการจัดการปัจจัยเสี่ยง
ลดน้ำหนัก
ห้ามใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมน
สาเหตุ
อ้วน ตั้งครรภ์ ความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด
การอักเสบของผนังหลอดเลือดดำร่วมกับการอุดตันโดยลิ่มเลือดที่หลอดเลือดดำ
การรักษา
ห้ยาขยายหลอดเลือด และยาละลายลิ่มเลือด เช่น Heparine, coumarin
ถ้ารักษาด้วยยาไม่ได้ผลทำการผ่าตัดขยายหลอดเลือดหรือเอาก้อนเลือดออก
นางสาววณิชญา เคลือบคนโท รหัสนักศึกษา 612501067