Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 3 การพยาบาลผู้ป่วยภาวะฉุกเฉินและการจำแนกผู้ป่วยประสบสาธารณภัย -…
บทที่ 3 การพยาบาลผู้ป่วยภาวะฉุกเฉินและการจำแนกผู้ป่วยประสบสาธารณภัย
3.8 การพยาบาลด้านจิตสังคมของผู้ประสบสาธารณภัย
ปฏิกิริยาของผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์รุนแรง
ด้านร่างกาย
อาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ รู้สึกตีบแน่นในลำคอ
ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง อาการกำเริบ
หนักขึ้น ทำให้สุขภาพทรุดโทรมหนัก
ด้านปฏิกิริยา/การแสดงออก
นอนไม่หลับ ตกใจง่าย ร้องไห้ไม่มีสาเหตุ แยกตัวออกจากสังคม หวาดระแวง หันเข้าหาสุราของมึนเมาและยาเสพติดมากขึ้น
ด้านอารมณ์
ช็อค ไม่ยอมรับในสิ่งที่เห็น วิตกกังวล กลัว เศร้า โกรธ ต้องการแก้แค้น
ฉุนเฉียวง่าย โทษตัวเองและผู้อื่น อารมณ์แกว่งไปแกว่งมา คาดเดาไม่ได้
ด้านการรับรู้
สับสน มึนงง ไม่มีสมาธิ มีปัญหาด้านความจำ การตัดสินใจ โดยจะเกิดขึ้นและลดลงจนหายไปภายใน 1 เดือน ถ้าหากอาการเหล่านี้ยังคงอยู่ จำเป็นต้องพบเชี่ยวชาญทางด้านจิตใจ
ปฏิกิริยาทางจิตใจที่เกิดขึ้นหลังเกิดเหตุการณ์วิกฤตได้
1. ปฏิกิริยาทางจิตใจแบบช็อคและปฏิเสธ (Shock & Denial)
มึนงง สับสน หลงลืม ความคิดแตกกระจาย ปฏิเสธ ไม่ยอมรับ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง มีอารมณ์เศร้า โกรธรุนแรง ควบคุมตนเองไม่ได้ ใจสั่น มือสั่น ตัวสั่น หายใจถี่แรง
2. ปฏิกิริยาทางจิตใจแบบโกรธ (Anger)
กระวนกระวายเดินไปมา ทำร้าย
ตนเองหรือขว้างของรอบตัว กล่าวโทษแก่บุคคลอื่น บางครั้งผู้ประสบเหตุการณ์วิกฤตอาจมีอารมณ์โกรธแต่ไม่แสดงออกอย่างเปิดเผย
3. ปฏิกิริยาทางจิตใจแบบต่อรอง (Bargaining)
พูดซ้ำๆ หรือพูดคาดคั้นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่สามารถยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้ อาจคาดหวังปาฏิหาริย์
4. ปฏิกิริยาทางจิตใจแสดงอารมณ์เศร้า (Depression)
ร้องไห้ เสียใจ ปากสั่น ไม่พูดจา หมดเรี่ยวแรง มักปรากฏร่วมกับการรู้สึกผิด และโทษตัวเอง
ปัญหาที่เกิดขึ้นในผู้ประสบภาวะวิกฤต
ด้านจิตใจ
เกิดอาการหวาดกลัว/หวาดผวา ส่งผลให้ไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตและทำงานเหมือนอย่างเดิมได้ ได้แก่ เครียดแบบเฉียบพลัน (Acute traumatic Stress Disorder) และโรคเครียดหลังเกิดเหตุการณ์ (Posttraumatic Stress Disorder)
ด้านร่างกาย
ร่างกายอ่อนแอ การพักผ่อนไม่เพียงพอ
ด้านพฤติกรรม
ไม่สนใจดูแลตนเองและสิ่งแวดล้อม แยกตัวออกจากสังคม
ระดับทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต (MCATT)
1. ทีมระดับตําบล
เช่น ผอ.รพ.สต.และ
ผู้รับผิดชอบงานสุขภาพจิต แกนนําชุมชน เป็นต้น
2. ทีมระดับอำเภอ
เช่น จิตแพทย์/แพทย์ พยาบาลที่รับผิดชอบงานสุขภาพจิตและจิตเวช นักจิตวิทยาคลินิก/นักจิตวิทยา/นักสังคมสงเคราะห์ เภสัชกร นักวิชาการสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
3. ทีมระดับจังหวัด
จิตแพทย์พยาบาลจิตเวช นักจิตวิทยาคลินิก/นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์นักวิชาการสาธารณสุข เภสัชกร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
4. ทีมระดับกรมสุขภาพจิต
มีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านสุขภาพจิตแก่ทีม MCATT ในพื้นที่ ให้การสนับสนุนทีมMCATT แก่เครือข่าย ดูแลผู้ประสบภาวะวิกฤต/ภัยพิบัติกลุ่มเสี่ยงยุ่งยาก ซับซ้อนที่ส่งต่อมาจากทีม MCATT
การช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤตของทีม MCATT
ระยะเตรียมการ
เพื่อรองรับสถานการณ์วิกฤตต่างๆ อย่างทันท่วงที เตรียมความพร้อมทั้งระดับบุคคล องค์กรและชุมชน ครอบคลุมตั้งแต่การรับนโยบายจากผู้ว่าราชการจังหวัด/นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และแผนการดำเนินงานเพื่อรองรับสถานการณ์วิกฤต จัดตั้งศูนย์อำนวยการช่วยเหลือด้านสุขภาพจิต
2.ระยะวิกฤตและฉุกเฉิน
2.1 ระยะวิกฤต (ภายใน 72 ชั่วโมงแรกหลังเกิดเหตุ) ผู้ประสบภาวะวิกฤตจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และมีผุ้มาให้การช่วยเหลืออย่างไม่มีระบบ/ระเบียบ เน้นการช่วยเหลือตามสภาพความเป็นจริงทั้งด้านร่างกาย ความต้องการพื้นฐาน
2.2 ระยะฉุกเฉิน (72 ชั่วโมง - 2 สัปดาห์) มองโลกในแง่ดี การช่วยเหลือหลั่งไหลเข้ามา ค้นหากลุ่มเสี่ยงในแต่ละวัย และนำมาวางแผนในการช่วยเหลือ
3.ระยะหลังได้รับผลกระทบ (2 สัปดาห์ - 3 เดือน)
ระยะฟื้นฟู (หลังเหตุการณ์ 3 เดือนขึ้นไป)
การปฐมพยาบาลทางจิตใจ(Psychological first Aid: PFA) ด้วยหลักการ EASE
(Engagement: E)
การสังเกตภาษาท่าทางและพฤติกรรม คือ Nonverbal ได้แก่ สีหน้า แววตา ท่าทาง การเคลื่อนไหวของร่างกาย และ Verbal ได้แก่ พูดสับสนฟังไม่รู้เรื่อง
การสร้างสัมพันธภาพ มีการแนะนำ
ตัวเอง มีการมองหน้าสบตา รับฟังด้วยท่าทีที่สงบให้กำลังใจ
การสื่อสาร เริ่มพูดคุยเบื้องต้นเมื่อผู้ประสบเหตุการณ์วิกฤตมีความพร้อม เช่น เริ่มสบตามีท่าทีที่ผ่อนคลาย มีสติรู้ตัว
(Assessment: A)
ประเมินและตอบสนองความต้องการทางด้านร่างกาย เช่น การให้ยา จัดหาน้ำดื่ม ยาดมแอมโมเนีย ผ้าเย็นเช็ดหน้า เป็นต้น
การประเมินสภาพจิตใจ ตามระยะปฏิกิริยาทางจิตใจ เช่น คลายเสื้อผ้ากรณีที่เป้นลมหรือหายใจไม่ออก การโทรศัพท์ติดต่อญาติ การอดทน รับฟัง Breathing Exercise , Touching เป็นต้น และการประเมินภาวะฆ่าตัวตาย
ประเมินความต้องการทางสังคม เช่น ผู้ประสบภาวะวิกฤตไร้ญาติขาดมิตรประสานกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือหน่วยงานที่ให้ความ
ช่วยเหลือ
(Skills: S)
a. การฝึกกำหนดลมหายใจ (Breathing exercise) เกิดความผ่อนคลายทางอารมณ์ลดอาการใจสั่น หายใจถี่แรง
b. Touching skill (การสัมผัส) เชjน แตะบ่า แตะมือ บีบนวดเบาๆ โดยคำนึงถึงความเหมาะสม
c. ทักษะการ Grounding คือ การช่วยให้ผู้ประสบเหตุการณ์วิกฤตที่มีอารมณ์ท่วมท้น (overwhelmed feeling) กลับมาอยู่กับความเป็นจริง
d. การนวดสัมผัส และ การนวดกดจุดคลายเครียด
e. การลดความเจ็บปวดทางใจ เช่น การฟังอย่างใส่ใจ (Active Listening) การสะท้อนความรู้สึก การเงียบ การทวนซ้ำ
f. การเสริมสร้างทักษะการเสริมสร้าง Coping skills สามารถช่วยลดความกังวล
(Education: E)
ตรวจสอบความต้องการ ถามถึงข้อมูลและตรวจสอบความต้องการช่วยเหลือที่จำเป็นและเร่งด่วน
เติมเต็มความรู้ ให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้นจากความเครียด และผลกระทบทางจิตใจ
ติดตามต่อเนื่อง รNวมกันวางแผนและหาแนวทางในการรับการช่วยเหลือต่างๆ เพิ่มเติม