Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ, นางสาวปุณยาพร เงาฉาย เลขที่75…
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ
ระบบทางเดินหายใจ
ความหมาย
ขบวนการแลกเปลี่ยนgasเกิดที่ถุงลม
จึงต้องส่งออกซิเจนไปให้ถึง อย่างเพียงพอ
อัตราการหายใจของเด็กในแต่ละวัย
ต่ำกว่า 2 เดือน
ไม่เกิน 60 ครั้ง/นาที
2-12 เดือน
ไม่เกิน 50 ครั้ง/นาที
1-5 ปี
ไม่เกิน 40 ครั้ง/นาที
(O2 saturation) มากกว่า 95-100 %
การหายใจปีกจมูกบาน (nasal flaring)
เป็นลักษณะของการหายใจลำบาก
เพื่อช่วยขยายท่อทางเดินหายใจให้อากาศที่หายใจเข้าเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
ขณะหายใจเข้ามีการยุบลง (retraction)
เสียงหายใจผิดปกติ
เกิดจากการที่ลมผ่านเข้าไปในท่อทางเดินหายใจที่มีความผิดปกติ
stridor sound
เกิดจากการที่มีการตีบแคบของบริเวณกล่องเสียงหรือหลอดลม
จะได้ยินตอนหายใจเข้าและออก
พบได้พบในกลุ่มอาการของเด็กที่เป็น Croup
acute laryngitis
laryngotracheitis
laryngotrachebronchitis
crepitation sound
เป็นเสียงแตกกระจายเป็นช่วงๆ
เกิดจากการที่ลมผ่านท่อทางเดินหายใจที่มีน้ำหรือเสมหะ
พบได้ในภาวะปอดอักเสบ(pneumonia)
rhonchi sound
เกิดจากการไหลวนของอากาศผ่านเข้าไปในทางเดินหายใจที่ตีบแคบกว่าปกติ
การตีบแคบ
เกิดจากเสมหะอุดตัน
เยื่อบุทางเดินหายใจบวม
หลอดลมตีบเกร็งจากภาวะภูมิแพ้
wheezing
เสียงที่มีความถี่สูงหรือเสียงหวีด
ได้ยินชัดในช่วงหายใจออก
เกิดจากหลอดลมฝอยเกิดการบีบเกร็ง
พบในผู้ป่วยป่วยหอบหืด
พบในผู้ที่มีภาวะหลอดลมมีความไวในการตีบตัวมากกว่าปกติ
เสียงผิดปกตินี้ แสดงให้เห็นว่า ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
หอบหืด
ความหมาย
Asthma เป็นภาวะที่มีการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม
เมื่อพยาธิสภาพที่ 3 อย่างเกิดขึ้น ผู้ป่วยจึงมีอาการหายใจเหนื่อย
การดูแลจึงต้องให้ผู้ป่วยได้รับยาขยายหลอดลม ได้รับออกซิเจน ให้พัก เพื่อลด activity
ได้ยาลดอาการบวม เช่น Dexa ซึ่งเป็นยา Steroid
ในรายที่มีเสมหะจะไม่ใช้วิธีการเคาะปอดในเด็กที่เป็น Asthma ที่กำลังหอบ เพราะจะทำให้หลอดลมเกิดการหดเกร็งมากขึ้น
ในเด็กเล็กๆ ที่อาย ุ1 - 2 ปี โรคหอบหืดมักเกิดตามหลังอาการ การติดเชื้อไวรัส ส่วนในเด็กวัยเรียน หอบหืดมักจะเกิดจากการ มีประวัติภูมิแพ้
ผลกระทบของการอักเสบ
ทำให้หลอดลมหดเกร็งตัว
ทำให้หลอดลมตีบแคบลงเยื่อบุภายในหลอดลม บวม ขึ้น
สร้างเมือกเหนียวจำนวนมาก ทำให้ช่องทางเดินอากาศ
ในหลอดลมแคบลง ทำให้เกิดอาการหอบหืดขึ้น
อาการโรคหอบหืด
มักเริ่มต้นด้วยอาการ หวัด ไอ มีเสมหะ ถ้าไอมากขึ้นเรื่อยๆ ก็มักจะมี เสียง Wheezing ในช่วงหายใจออก เมื่อร่างกายขาดออกซิเจนมาก ขึ้น ก็เกิดอาการหอบมาก ปากซีดเขียว ใจสั่น
บางครั้งการเกร็งตัวของหลอดลมเกิดขึ้นไม่มากนัก ผู้ป่วยจะมีอาการไม่ มาก แต่ก็เป็นอยู่เรื่อยๆ
ผู้ป่วยเด็กบางคนจะมีอาการไออย่างเดียว และมักจะมีอาการอาเจียนร่วม ด้วย อาการไอจะดีขึ้น หลังจากที่เด็กได้อาเจียนเอาเสมหะเหนียวๆ ออกมา
ความรุนแรงของหอบหืด
ขั้นปานกลาง
ตื่นกลางคืนบ่อยๆ วิ่งเล่นซนไม่ค่อยได้ ขณะเล่นมัก ไอ หรือมีเสียง Wheezing ไปด้วย
ขั้นรุนแรง
กระสับกระส่ายจนนอนไม่ได้ เล่นซนไม่ได้ เหนื่อย หอบจนพูดหรือกินอาหารไม่ได้ หรือรอบริมฝีปากเป็นสีเขียว ต้องส่งโรงพยาบาล
ขั้นเล็กน้อย
เริ่มไอ และ/หรือ มีเสียงวี้ด แต่ยังเล่นซนได้ตามปกติ และทานอาหารไดต้ามปกติ การนอนยังปกติ (ไม่ถูกรบกวนโดย อาการไอ)
การรักษาหอบหืด
คือ การลดอาการของเด็ก ให้เด็กมีกิจกรรมได้ตามปกติ พยายามหลีกเลี่ยงจากสิ่งกระตุ้นและการใช้ยาอย่างถูกต้อง ยาที่ใช้ได้แก่
ยาขยายหลอดลม ( Relievers ) มีทั้งชนิดพ่น และ ชนิดรับประทาน
ยาชนิดพ่นจะให้ผลได้เร็ว ช่วยให้หายใจโล่งขึ้น เพราะไปขยายกล้ามเนื้อเล็กๆ ซึ่งอยู่ภายในหลอดลมที่หดเกร็ง จะใช้เมื่อปรากฏอาการหอบ ได้แก่ ventolin
บางรายอาจได้รับยาพ่นกลุ่ม Corticosteroids ได้แก่ Flixotide Evohaler (Fluticasone propionate 250 microgram) Serotide ต้องดูแลให้บ้วนปากหลัง พ่นยาทุกครั้งเพื่อป้องกันเชื้อราในปาก
ยาลดการบวม และการอักเสบของหลอดลม (Steroid ) ควรใช้เพียงระยะสั้นๆ คือ 3 - 5 วัน เพื่อการรักษาและป้องกันไม่ให้โรครุนแรงขึ้น การใช้ยาระยะสั้นจะไม่มีผลข้างเคียงในเด็ก ได้แก่ Dexa , Hydrocortisone ต้องให้ภายใต้แผนการรักษาของแพทย์เท่านั้น
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงได้แก่
ไม่ควรมีตุ๊กตาที่มีขนในห้องนอน ไม่ใช้พรมในห้องนอน ควรเช็ดฝ่นุทุกวัน
หมอน ซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ใช้ที่นอน จากใยสังเคราะห์ หรือฟองน้ำ
ตัวไรฝุ่น ฝุ่น มักอาศัยอยู่ที่เตียงนอน หมอน พรม จึงควรนำไปตาก หรือผึ่งแดดบ่อยๆ
ไม่นำสัตว์เลี้ยงเข้าห้องนอน
ควันบุหรี่ เป็นสิ่งที่อันตรายต่อปอดที่กำลังเจริญเติบโตของเด็ก และเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการหอบหืดได้
การออกกำลังกาย ถ้าควบคุมโรคหอบหืดได้ดี จะไม่มีปัญหาในการออกกำลังกาย หรือวิ่งเล่น ซึ่งควรให้เด็กได้มีกิจกรรมนี้ตามปกติ ในการที่ควบคุมอาการของโรคได้
อากาศเย็น เด็กบางคนกระทบอากาศเย็น มักจะไอ หรือหายใจมีเสียง วี้ด Wheezing จึงควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากอากาศเย็นจะมีผลต่อการ พัดโบกของ Cilia
การใช้ baby haler
หลังล้างทำความสะอาด ต้องสอนผู้ป่วย ให้พ่นยาทิ้ง 1 ครั้ง เพื่อให้ยาจับผนังของ Spacer ก่อน เพื่อให้การพ่นครั้งต่อๆไป ยาก็จะเข้าผู้ป่วย
Baby haler ต้องล้างทำความสะอาดบ่อยๆ แต่ไม่จำเป็นต้องทุกครั้ง หลังใช้ ล้างด้วยน้ำยาล้างจานตากให้แห้ง ไม่ควรใช้ผ้าเช็ดถู เพราะจะทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตที่ผนังของ Spacer เวลาพ่นยา ยาจะไปเกาะกับผนัง ของ Spacer ส่งผลให้ยาจะเข้าผู้ป่วยน้อยลง
กลไกการสร้างเสมหะ
กลไกธรรมชาติในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม
ประกอบด้วย3กลไก
กระบวนการสร้างสารมูก Mucous
การพัดโบกของขนกวัด Cilia
กลไกการไอ Cough Reflex
เมื่อมีการติดเชื้อ
ต่อมสร้างสารคัดหลั่ง(mucus gland)
จะสร้าง mucous เพิ่มมากขึ้น
มีการทำลายเซลล์เยื่อบุหลอดลมและทำลาย Cilia เพิ่มมากขึ้น
จำนวน Ciliaลดน้อยลง
เสมหะมีปริมาณมากและเหนียวข้นจะไม่ถูกพัดพาออกจากทางเดินหายใจ
เสมหะคั่งค้างในหลอดลมเพิ่มมากขึ้น
ถ้าอากาศเย็นการพัดของCiliaจะไม่มีประสิทธิภาพ
การไออย่างมีประสิทธิภาพจึงช่วยลดการคั่งค้างของเสมหะในหลอดลม
เหตุผลที่ต้องเพิ่มน้ำ
จะช่วยให้ความชุ่มชื้นต่อทางเดินหายใจ
ทำให้เสมหะเหนียวน้อยลงขับออกได้ดี
ทำให้Ciliaพัดโบกได้ดีขึ้น ทำให้ผู้ป่วยขับเสมหะออกได้ดีขึ้น
ลักษณะของเสมหะ
เสมหะเหนียว
มูกคล้ายแป้งเปียก ติดกันเป็นก้อน มีความหนืดมาก ไอออกมาได้ยาก
เสมหะไม่เหนียว
เป็นเมือกเหลว ไม่เป็นก้อน
มีความหนืดน้อย ไอออกมาได้ง่าย
หลอดลมอักเสบ
หลอดลมฝอยอักเสบ
ข้อมูลทั่วไป
เป็นปัญหาติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างที่พบบ่อยในเด็กเล็ก
เกิดขึ้นเนื่องจากมีการอักเสบและอุดกลั้นของหลอดลม
เชื้อที่เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด Respiratory syncytial virus
เด็กที่ไม่กินนมแม่จะพบได้ค่อนข้างสูงกว่าเด็กทั่วไป
พบในเด็กเล็กมากกว่าเด็กโต อายุประมาณ 6 เดือน
เป็นช่วงอายุที่พบบ่อยที่สุด เด็กโตอาการน้อยกว่าเด็กเล็ก
กลไกการเกิดเชื้อไวรัส ทำลายเนื้อเยื่อของหลอดลมฝอยทำให้เกิดอาการ อักเสบ บวม และมีการคั่งของเสมหะ เกิดการอุดกั้นของหลอดลมฝอย ผลที่ตามมา คือ เกิดAtelectasis
อาการ
เริ่มจากไข้หวัดเพียงเล็กน้อย มี น้ำมูกใส จาม เบื่ออาหาร ต่อมาเริ่มไอเป็นชุดๆ ร้องกวน หายใจเร็ว หอบ หายใจมี ปีกจมูกบาน ดูดนมหรือน้ำได้น้อย หรือ ไม่ได้เลย
การรักษา
การรักษาตามอาการ ให้ยาลดไข ้ยาปฏิชีวนะ
ยาต้านการอักเสบ(Corticosteroid )ยาขยายหลอดลม
การดูแลให้เด็กได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ ได้รับน้ำ ดูแลไข้
ดูแลปัญหาการติดเชื้อ ดูแลเสริมสร้างภูมิต้านทานให้อาหารที่มีประโยชน์
ปอดบวม
สาเหตุ
สำลักสิ่งแปลกปลอม ติดเชื้อ แบคทีเรีย ไวรัส
อาการ
ไข้ ไอ หอบ ดูดน้ำ ดูดนมน้อยลง ซึม
เกณฑ์ที่องคก์ารอนามัยโลก
เดก็อายุ2 เดือนถึง 1 ปี อัตราการหายใจที่มากกว่า 50 ครั้งต่อนาที
เด็กอายุ1-5 ปี อัตราการหายใจที่มากกว่า 40 ครั้งต่อนาที
เด็กแรกเกิด อัตราการหายใจที่มากกว่า 60 ครั้งต่อนาที
การรักษา
ดูแลให้ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ เป็นเรื่องสำคัญเพื่อให้เสมหะอ่อนตัว ขับออกได้ง่าย ช่วยลดไข้
ดูแลเรื่องไข ้Clear airway suction เพื่อให้การแลกเปลี่ยนออกซิเจนเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดูแลแก้ไขปัญหาพร่องออกซิเจนให้ยาขยายหลอดลม ยาขับเสมหะ ยาฆ่าเชื้อ
การพยาบาลผู้ป่วยเด็ก Pneumonia
ในรายที่เสมหะอยู่ลึกให้ Postural drainage โดยการเคาะปอด และ Suction เพื่อป้องกันภาวะปอดแฟบ (Atelectasis)
การทำ Postural drainage จะช่วยทำให้เสมหะที่อยู่ส่วนปลายถูกกระตุ้นให้เลื่อนขึ้นมาถึงปลายสายดูดเสมหะ ช่วยให้เสมหะถูกดูดออก จากหลอดลมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เด็กโตต้องสอนการไออย่างถูกวิธี กระตุ้นให้ดื่มน้ำมากๆ
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอตามแผนการรักษา
ปัญหาการอุดกั้นทางเดินหายใจเป็นปัญหาสำคัญจำเป็นต้องดูแลแก้ไข
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอตามแผนการรักษา
องค์ประกอบของการระบายเสมหะ
การสั่นสะเทือน
ส่วนการสั่นสะเทือน (Vibration)ในช่วงนาทีที่ 8.30 เป็นต้นไป
ใช้มือวางราบพร้อมทั้งเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณต้นแขน และหัวไหล่ ใน จังหวะการหายใจเข้าเต็มที่ และกำลังหายใจออก
การสอนการไออย่างมีประสิทธิภาพ
ฝึกการไอให้มีประสิทธิภาพ โดยให้ผู้ป่วยหายใจเข้าเต็มที่ช้าๆ กลั้นไว้ สักครู่ และไอออกมาโดยเร็วและแรง
การเคาะ
ใช้ผ้ารองบนส่วนที่จะเคาะ การเคาะแต่ละท่าควรใช้เวลาประมาณ 1 นาที
ขณะเคาะหากผู้ป่วยไอควรหยุดเคาะ ให้ใช้การสั่นสะเทือนแทน
ใช้อุ้งมือไม่ควรใช้ฝ่ามือ โดยทำมือให้เป็นลักษณะคุ้ม นิ้วแต่ละนิ้วชิดกันที่เรียกว่า cupped hand เคาะบริเวณทรวงอกส่วนที่ได้รับการจัดท่า
ควรเคาะก่อนรับประทานอาหาร หรือขณะท้องว่าง หรือหลังรับประทาน อาหารอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการสำลักและอาเจียน
การจัดท่าผู้ป่วย
การจัดท่าเพื่อระบายเสมหะ เป็นวิธีการที่อาศัยแรงโน้มถ่วงของโลก (gravity) เป็นหลัก โดยจัดให้ส่วนของปอดที่ต้องการระบาย อยู่ เหนือกว่าหลอดลมและปาก ทำให้เสมหะไหลออกจากหลอดลมเล็กสู่ หลอดลมใหญ่ และถูกขับออกโดยกระตุ้นให้ผู้ป่วยไอ suction ออกมา
อยู่ด้านซ้ายให้จัดท่านอนตะแคงขวา ถ้าอยู่ด้านขวาให้นอนตะแคงซ้าย
อยู่ส่วนบนนอนหัวสูง อยู่ส่วนล่างนอนหัวต่ำ
อยู่ส่วนหลัง Posterior ให้จัดนอนคว่ำ
อยู่ส่วนหน้า Anterior ให้จัดท่านอนหงาย
การพ่นยาในเด็ก
ข้อปฏิบัติในการพ่นยาแบบละออง
ใช้มือประคองกระเปาะพ่นยาไว้ เพื่อให้อุณหภูมิคงที่ ทำให้ขนาด particle สม่ำเสมอ
เคาะกระเปาะพ่นยาเป็นระยะๆเพื่อไม่ให้ยาตกค้างในกระเปาะมาก เกินไป พ่นจนกว่ายาจะหมด ใช้เวลา 10 นาที
ไม่ควรให้เด็กร้อง เพราะปริมาณยาจะเข้าสู่ปอดน้อยลง
ถ้าไม่เห็นละอองยา หรือละอองยาออกไม่หนาแน่นเท่าที่ควร จะต้องสำรวจเครื่องพ่นยาทำงานหรือไม่ ช่วงรอยต่อหลุดหรือไม่
ออกซิเจนเปิด 6 – 8 ลิตรต่อนาทีหรือไม่
ประโยชน์ที่ผู้ป่วยได้รับ
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการไอขับเสมหะได้ง่ายขึ้น
ให้ความชุ่มชื้นแก่อากาศหรือก๊าซที่หายใจเข้า
ง่ายต่อการระบายออกจากปอด
เป็นหนทางในการบริหารยาทางระบบหายใจ
ทำให้เสมหะที่เหนียวอ่อนตัวลง
อุปกรณ์พ่นยา
Nasal cannula
Nasal cannula เป็นการให้ออกซิเจนที่ต้องการความเข้มข้นไม่สูงมาก ในเด็กเล็กจะปรับอัตราการไหลไม่เกิน 2 lit/mim ส่วนในเด็กโตจะปรับที่ 2 lit/mim
การให้ออกซิเจนด้วยวิธีนี้ไม่ควรปรับการไหลของออกซิเจนที่สูงเกินไป เพื่อจะทำให้เยื่อจมูกแห้ง และเกิดการระคายเคืองได้
ข้อดีของออกซิเจนแบบนี้คือ ประหยัด ยึดติดกับผู้ป่วยง่าย สามารถให้นม และอาหารกับผู้ป่วยได้โดยไม่ต้องหยุดให้ออกซิเจน
แต่มีข้อจำกัดในผู้ป่วยที่มีน้ำมูกมาก เยื่อบุจมูกบวม หรือผนังจมูกเอียง
Oxygen hood/Box
มีลักษณะเป็นกล่องพลาสติก วางครอบศีรษะเด็ก เหมาะกับทารกแรก เกิดและเด็กเล็ก ความเข้มข้นของออกซิเจน ประมาณ 30%-70% ทั้งนี้ ขึ้นกับขนาดของ Hood/Box ควรเปิดออกซิเจนอย่างน้อย 7 lit/min เพื่อป้องกันการคั่งของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ถา้เป็นของทารกที่ใช ้Hood เล็ก การเปิดออกซิเจนไม่จำเป็นต้องมาก สามารถเปิด 3-5 lit/min ไม่ควรลด flow rate ลงเหลือน้อยกว่า 3 lit/min เพื่อป้องกันการคั่งของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
face mask
face mask เป็นออกซิเจนแบบหน้ากากครอบบริเวณจมูกและปาก มี สายรัดศีรษะเพื่อให้หน้ากากยึดและแนบสนิทกับใบหน้า
เหมาะกับผู้ป่วยที่ต้องการออกซิเจนในระดับปานกลาง ความเข้มข้นของออกซิเจนประมาณ 35%-50% ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เปิดออกซิเจน flow rate 5-10 lit/min ไม่ควรให้น้อยกว่า 5 lit/min เพื่อ ป้องกันการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ในmask ที่เกิดขึ้นในขณะที่ ผู้ป่วยหายใจออก :
หลักการให้คำแนะนำในการดูแลเด็ก
ถ้าบวมก็ให้ยาลดบวม ถ้าอักเสบติดเชื้อก็ให้ยา ATB ถ้าตีบก็ให้ยา ขยาย ถ้ามีเสมหะก็เอาเสมหะออก หรือลดไม่ให้สร้างมากขึ้น จึงจะให้ออกซิเจนลงไปได้ถึง
การให้ออกซิเจนเลือกตามความเหมาะสมกับเด็กตามแผนการรักษา ของแพทย์ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน ให้แรงไป หรือเบาไป ก็ไม่โอเค
การดูแลเด็กที่มีปัญหาพร่องออกซิเจน หลักสำคัญ คือ ต้องแก้ไขเส้นทางผ่านของออกซิเจน เพื่อให้ออกซิเจนลงไปถึงจุดที่มีการแลกเปลี่ยนก๊าซให้ได้
Croup
กลุ่มอาการอุดกลั้นทางเดินหายใจส่วนบนบริเวณกล่องเสียง(larynx)
และส่วนที่อยู่ใต้ลงมา
สาเหตุ
มีการอักเสบที่บริเวณ
ฝาปิดกล่องเสียง(acute epiglottitis)
กล่องเสียง (acute laryngitis)
กล่องเสียง หลอดลมใหญ่ และหลอดลม
ฝอยในปอด (Laryngotracheobronchitis)
เกิดจากการติดเชื้อ
virus
Bacteria
H.influenzae
S.pneumoniae
gr.A Streptococus
อาการ
inspiratory stridor หายใจเข้ามีเสียงฮืด
ไอเสียงก้อง Barking cough
ไข้ เจ็บคอ หายใจลำบาก Dyspnea
อาการน้ำลายไหล(drooling)
จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไม่ตอบสนองต่อการพ่นยา
ส่วนใหญ่จะพ่นAdrenaline แต่ต้องใส่่Endotracheal tube
ปัญหาสำคัญ
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะพร่องออกซิเจนเนื่องจากมีการอุดกลั้นทางเดินหายใจ
Tonsilitis / Pharyngitis
สาเหต
เกิดจากการติดเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย
อาการ
ไข้ ปวดศีรษะ ไอ เจ็บคอ
บางรายมีตุ่มใส มีผื่นตื้นที่คอหอยหรือเพดานปาก
เกิดจากCoxsackie Virus ที่เรียกว่าHerpangina
คำแนะนำ
ให้กินยาAntibiotic ให้ครบ10วัน เพื่อป้องกันไข้ รูห์มาติค และหัวใจรูห์มาติค หรือกรวยไตอักเสบเฉียบพลัน AGN
การผ่าตัดต่อมทอนซิล
(tonsillectomy)
จะทำเมื่อมีการติดเชื้อเรื้อรัง(chronic tonsillitis)หรือเป็นๆหายๆ (recurrent acute tonsillitis)
มีไข้, เจ็บคอ,กลืนลำบาก รบกวนคุณภาพชีวิต
อุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้เกิดอาการนอนกรนหรือมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
รายที่สงสัยว่าจะเป็นมะเร็งต่อมทอนซิล
(carcinoma of tonsils)
การดูแลหลังผ่าตัด
ในนอนตะแคงไปด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อสะดวกต่อการระบายเสมหะ น้ำลาย หรือเลือดที่ค้างในปาก จนเด็กรู้สึกตัว
สังเกตอาการและการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิต
เมื่อเด็กรู้สึกตัว ให้นั่ง1-2ชั่วโมง อมน้ำแข็งก้อนเล็กๆ
ถ้าปวดให้ใช้กระเป๋ษน้ำแข็งวางที่คอ ถ้าปวดมากให้ยาแก้ปวด
หลังผ่าตัด
ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับบ้านได้หลังผ่าตัด24-48ชั่วโมง
หากรับประทานน้ำและอาหารได้เพียงพอและไม่มีภาวะแทรกซ้อน
ผู้ป่วยอาจจะมีไข้ บวม หรือรู้สึกตึงๆ คล้ายมีสิ่งแปลกปลอมบริเวณ คอ หรือมีเสียงเปลี่ยนได้ ซึ่งอาการดังกล่าวมักจะหายไปภายใน 1 สัปดาห์
หลังการผ่าตัด 1-2 วันแรก เพดานอ่อน หรือผนงัในคออาจบวมมาก ขึ้นได้ ท าให้หายใจอึดอัด ไม่สะดวก ดังนั้นจึงควรนอนศีรษะสูง โดยใช้ หมอนหนุน อมและประคบน ้าแข็งบ่อยๆ
หลีกเลี่ยงการแปรงฟันเข้าไปในช่องปากลึกเกินไป การออกแรงมาก การเล่นกีฬาที่หักโหม หลังผ่าตัดภายใน 24-48 ชั่วโมงแรก เพราะอาจท า ให้มีเลือดออกจากแผลในช่องปากได้
การประคบหรืออมน ้าแข็งควรประคบ หรืออมประมาณ 10 นาที แลว้จึง เอาออกประมาณ 10 นาที แล้วค่อยประคบหรืออมใหม่เป็นเวลา 10 นาที
ควรรับประทานอาหารอ่อน เช่น โจ๊ก หรือข้าวต้ม ไม่ควร รับประทานอาหารที่แข็งหรือร้อน หรือรสเผ็ดหรือจัดเกินไปอย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด
โดยปกติ หลังผ่าตัดประมาณ 2-4 สัปดาห์ แผลจะหายเป็นปกติ
ไซนัสอักเสบ
(Sinusitis)
เป็นอาการอักเสบของโพรงอากาศข้างจมูก
สาเหตุ
ติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อรา
เมื่อติดเชื้อจะทำให้เกิดการบวมของเยื่อบุโพรงอากาศ
ส่งผลให้เกิดการอุดตั้นที่ช่องระบายโพรงอากาศข้างจมูก
ทำให้เกิดการคั่งของสารคัดหลั่ง ความดันโพรงอากาศเป็นลบ
เมื่อมีอาการจาม สูดหรือสั่งน้ำมูก จะทำให้เชื้อบริเวณ nasopharynx มีโอกาสเข้าไปในโพรงอากาศข้างจมูกได้ง่าย
ระยะของโรค
Acute sinusitis ระยะของโรคไม่เกิน 12 สัปดาห์
Chronic sinusitis อาการจะต่อเนื่องไม่เกิน12สัปดาห์
อาการAcute จะรุนแรงกว่า Chronic
อาการ
มีไข้มากกว่า39องศา
ปวดศีรษะ
ปวดเมื่อยตามตัว
มีน้ำมูกไหล
ไอ
ถ้าติดเชื้อจะมีอาการนานมากกว่า10วันและมีอาการรุนแรง จะมีอาการรุนแรง มีน้ำมูกใสหรือเขียวข้นเป็นหนอง รวมกับอาการไอ ลมหายใจมีกลิ่น ปวดหน้าผากและหัวคิ้วมาก
การวินิจฉัย
X-ray paranasal sinus
ควรทำในเด็กอายุมากกว่า6ปี ไม่งั้นอาจแปลลผิดพลาดได้
CT scan
ได้ผลดีกว่าวิธีอื่น
Transilumination
จะพบว่าไซนัสที่มีการอักเสบจะมีลักษณะมัว
การดูแลรักษา
ให้ยา antibiotic ตามแผนการรักษา
ให้ยาแก้ปวด ลดไข้ เพื่อบรรเทาอาการ
ให้ยาแก้แพ้ เฉพาะรายที่มีไซนัสอกเสบเรื้อรังที่มีสาเหตุมาจากเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้
ให้ยาSteroid เพื่อลดอาการบวม ลดการคั่งของเลือดที่จมูก ทำให้รูเปิดของโพรงไซนัสสามารถระบายสารคัดหลั่งได้ดีขึ้น
การล้างจมูก
ล้างก่อนใช้ยาพ่นจมูก จะทำให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ล้างจมูกวันละ 2-3 ครั้ง เมื่อปวด
ล้างโดยใช้น้ำเกลือ 0.9% NSS เพื่อช่วยลดความเหนียวของน้ำมูก และทำให้เชื้อไม่เจริญเติบโต
นางสาวปุณยาพร เงาฉาย เลขที่75 รุ่นที่36/1
รหัสนักศึกษา612001076