Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
5.6 โรคติดเชื้อร่วมกับการตั้งครรภ์ - Coggle Diagram
5.6 โรคติดเชื้อร่วมกับการตั้งครรภ์
:pencil2: โรคเริมที่อวัยวะเพศ (Genital
herpes simplex infection)
การติดเชื้อ HSV
- HSV type 1
เกิดเริมที่ปาก (Orolabial herpes infection)
- HSV type 2
เกิดโรคเริมที่อวัยวะเพศ และทวารหนัก
(anogenital herpes infection)
อาการและอาการแสดง
Vesicles ที่ผิวหนังของอวัยวะเพศ
อาการปวดแสบปวดร้อนมาก
ไข้ ปวดเมื่อยตัว อ่อนเพลีย
ต่อมน้ำเหลืองโต
ภาวะแทรกซ้อน
ตาอักเสบ
ไข้ หนาวสั่น ซึม
ตับ ม้ามโต
ตุ่มน้ำใสๆ
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
ปัจจัยเสี่ยง ประวัติการสัมผัสผู้ติดเชื้อ
การตรวจร่างกาย
สังเกตเห็นตุ่มน้ำใสแตกจะเป็นแผลอักเสบ มีอาการปวดแสบปวด ร้อนมาก ขอบแผลกดเจ็บและค่อนข้างแข็ง ลักษณะตกขาว
การตรวจ LAB
การเพาะเชื้อ (culture) โดยใช้ของเหลวที่ได้จากตุ่มใส ที่แตกออกมาหรือการขูดเอาจากก้นแผล จะพบ
multinucleated giant cell
เซลล์วทิยา (cytology) โดยวิธี Tzancksmear ขูดเนื้อเยื่อบริเวณก้นแผล แล้วย้อมสี Wright หรือ
Giemsa เพื่อดู multinucleated giant cells
การรักษา
ควรให้ยาปฏิชีวนะและดูแลแผลให้สะอาดในรายที่ติดเชื้อ
แผลไม่สะอาด
การให้ยา antiviral drug เช่น acyclovir, valacyclovir และ
famciclovir
กรณีที่มี Herpes lesion ควรได้รับการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องเพื่อ
หลีกเลี่ยงไม่ให้ทารกได้รับเชื้อจากการสัมผัสสิ่งคัดหลั่งในช่องคลอด
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
ลดความไม่สุขสบายจากการปวดแสบปวดร้อน
แนะนําการดูแลแผลให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอ
ล้างแผลด้วยน้ำเกลือ 0.9 % หรือสารละลาย zinc
sulphate 0.25-1% วันละ 2-3 ครั้ง แนะนําเกี่ยวกับ
การนั่งแช่ก้นด้วยน้ำอุ่น
ดูแลการให้ยาต้านไวรัสตามแผนการรักษา
หลีกเลียงการมีเพศสัมพันธ์ขณะมีแผล ควรใช้
ถุงยางอนามัย
ระยะคลอด
เน้นการใช้หลัก Universal precaution และหลีกเลี่ยง การทำหัตถการ
ระยะหลังคลอด
สามารถให้นมได้ตามปกติ ล้างมือก่อนและหลังสัมผัสทารก
:fire: หูดหงอนไก่ (Condyloma
accuminataand pregnancy)
หูดหงอนไก่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อ ไวรัส Human papilloma virus (HPV) ชนิดที่ทําให้เกิด หูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศ ส่วนใหญ่เป็น type 6 และ 11
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
ปัจจัยเสี่ยง ประวัติการสัมผัสผู้ติดเชื้อ อาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ
การตรวจร่างกาย
สังเกตเห็นรอยโรค ซึ่งเป็นติ่งเนื้อบริเวณ
อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก รอบทวารหนัก
ปากช่องคลอด ซึ่งสามารถช่วยประเมินสภาพ ได้ค่อนข้างแน่ชัด
การตรวจ LAB
โดยทำ pap smear พบการเปลี่ยนแปลงที่เซลล์ เป็น koilocytosis (halo cell)
อาการและอาการแสดง
ก้อนสีชมพู นุ่ม ผิวขรุขระ มีสะเก็ด
คล้ายดอกกระหล่ำ
ตกขาวมีกลิ่นเหม็นและคัน
หูดขึ้นรอบๆ ทวารหนัก
และในทวารหนัก
การรักษา
จี้ด้วย trichloroacetic acid จี้ไฟฟ้า แสงเลเซอร์
การคลอดสามารถให้คลอดทางช่องคลอดได้ ยกเว้นหูดมีขนาดใหญ่ซึ่งทําให้ขัดขวางช่องทางคลอด
การพยาบาล
1.ดูแลให้ได้รับการรักษาตามแผนการรักษา เช่น จี้ด้วย trichloroacetic acid หรือ laser surgery
2.แนะนําการรักษาความสะอาดของอวัยวะเพศ หลีกเลี่ยงการอับชื้นบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์
3.แนะนําส่งเสริมสุขภาพตนเองให้แข็งแรง
4.เน้นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
5.การออกกำลังกายที่พอเหมาะ การลดภาวะเครียด และสังเกตการติดเชื้อซ้ำ
:black_flag: โรคเอดส์ (Acquired immunodefiencysyndrome)
การวินิจฉัย
การซักประวัติ เช่น ร่วมเพศกับผู้ติดเชื้อ ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
อาการทางคลินิก
การตรวจร่างกาย มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต น้ำหนักลด เป็นต้น
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่
การตรวจคดักรองโรคเอดส์คือการทดสอบที่เรียกว่า
Enzyme–linked Immunosorbent assay (ELISA)
การตรวจยืนยันด้วยการตรวจ confirmatory test เช่น
Western Blot (WB) และ Immunofluorescent assay
(IFA) ถ้าให้ผลบวกเป็นการแน่นอนว่าผู้ป่วยติดเชื้อเอดส์
อาการและอาการแสดง
กลุ่มที่ 1
เป็นกลุ่มที่ไม่มีอาการทางคลินิก การตรวจ Elisa ให้ผลบวก
กลุ่มที่ 2
เป็นกลุ่มอาการคล้ายเอดส์ คือ ไข้ ปวดเมืjอยตามตัว
อ่อนเพลีย ผื่นตามตัว ปวดศีรษะ เจ็บคอ ผล CD4 ต่ำกว่า 500-200 cm3
กลุ่มที่ 3
เป็นกลุ่มอาการที่มีอาการสัมพันธ์กับเอดส์ คือ มีไข้สูงฉับ พลัน ไข้ต่ำๆ นานกว่า 2-3 เดือนปวดศีรษะ เจ็บคอ คลื่นไส้อาเจียน ต่อม น้ำเหลืงโตทั่วไป ท้องเดินเรื้อรัง น้ำหนักลด อาจตรวจพบเยื่อหุ้ม สมองอักเสบชนิดไร้เชื้อร่วมด้วย
การติดต่อ
1.การมีเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยงมากที่สุด คือ การร่วมเพศทางทวารหนัก
2.จากมารดาสู่ทารก (vertical transmission) โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ ที่ไม่ได้รับการรักษาทารกในครรภ์จะมีโอกาสตดิเชื้อ 15 - 25%
3.ทางกระแสเลือด จากการรับเลือดหรือส่วนประกอบของเลือดที่มีเชื้อ เอดส์ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
การรักษา
การให้ยาต้านไวรัสระหว่าง เจ็บครรภ์คลอด
1.ให้เพิ่ม AZT 300 mg ทุก 3 ชม. หรือ AZT 600 mg ครั้งเดียว
ไม่ว่าจะใช้ยาสูตรใด
หากคลอดโดยการผ่าตัดให้กินยาก่อนเริ่มผ่าตัดอย่างน้อย 4 ชม
ในรายที่ viral load น้อยกว่า 50 copies / ml ไม่ต้องให้ยา ระหว่างเจ็บครรภ์คลอด
หลีกเลี่ยงการให้ยา Methergine เนื่องจากจะทำให้เกิด
severe vasoconstriction ได้
การให้ยาต้านไวรัสหลังคลอด
1.ให้ยาหลังคลอดต่อทุกราย
CD4 < 500 cells / mm 3
คู่มีผลเลือดลบหรือไม่ทราบผลเลือด
มีการติดเชื้อร่วม เช่น วัณโรค ไวรัส ตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี
2.การให้ยาต้านไวรัสในทารกแรกเกิด
AZT ขนาด 4 mg/kg/dose ทุก 12 ชม. ให้นานต่อเนื่อง 4 สัปดาห์
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
ตรวจหาระดับ CD4 ถ้าต่ำกว่า 400 เซลล์ต่อลูกบาศก์ มิลลิเมตร อาจพิจารณาให้ prophylaxis pneumocystis
carinii pneumonia (PCP)
ดูแลให้ยาตามแผนการรักษา (แนวทางการให้ยา)
แนะนําวิธีการปฏิบัติตัวป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
ระยะคลอด
จัดให้ผู้คลอดอยู่ในห้องแยกป้องกัน การแพร่กระจายเชื้อ
หลีกเลี่ยงการทำให้ถุงน้ำแตกหรือรั่ว
ทําคลอดโดยยึดหลัก Universal
precaution
ระยะหลังคลอด
1.จัดให้อยู่ในห้องแยก
2.แนะนําการปฏิบัติตัวเมื่อกลับบ้านเพื่อ
ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
4.ทารกหลังคลอด ให้ NPV 2 มก/กก ทันที และให้ AZT 2 มก/ กก/วัน และติดตามการติดเชื้อในทารกหลังคลอด 12 - 18 เดือน
3.งดให้นมบุตร เพราะทารกอาจติด เชื้อจากแม่ทางน้ำนมได้
:star: ไข้หวัดซิกก้า
(Zika fever)
เกิดจากเชื้อไวรัสซิกา (Zika virus) อยู่ในตระกูลฟลาวิไวรัส เช่นเดียวกับไวรัสไข้เลือดออก ไวรัสไข้สมองอักเสบและไวรัส เวสต์ไนล์ “ยุงลายเป็นพาหะสําคัญของโรค”
อาการและอาการแสดง
ไข้ ปวดศีรษะ ออกผื่นที่ลำตัว และแขนขา
ปวดข้อ ปวดในกระบอกตาเยื่อบุตาอักเสบ
การตรวจวินิจฉัย
การซักประวัติ
อาการ การเดินทาง ลักษณะที่อยู่อาศัย
การวินิจฉัยการติดเชื้อ ของทารกในครรภ์
สามารถตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยใช้สิ่งส่งตรวจ
เช่น น้ำครํ่า เลือดจากสะดือหรือรก
การทดสอบ LAB
การตรวจหาแอนตบิอดี IgM และ IgG ต่อไวรัสซิกา
สําหรับการตรวจหา IgM สามารถตรวจพบได้ภายใน
3 วัน นับแต่แสดงอาการ การตรวจหาภูมิคุ้มกัน
(IgM) ด้วย วิธี ELISA หรือ Immunofluorescence
หากพบว่าผลการตรวจเป็นลบแนะนําให้เก็บ
Plasma ส่งตรวจซํ้ำภายใน 3-4 สัปดาห์
วิธีการตรวจดีเอ็นเอสามารถตรวจได้จากน้ำเหลือง
การตรวจหาพันธุกรรมของเชื้อด้วยวิธี RT-PCR
ภายใน 1-3 วัน เมื่อเริ่มแสดงอาการ
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะศีรษะเล็กแต่กำเนิดของทารกในครรภ์
การพยาบาล
การวัดรอบศีรษะในทารกแรกเกิด 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อแรกเกิด และครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 24 ชั่วโมง
ยังไม่มียารักษาโรคไข้ซิกาโดยตรง
การให้พักผ่อนอย่างเพียงพอ
ดื่มน้ำในปริมาณ 2,000-3,000 ลิตรต่อวัน
การให้ยาพาราเซตามอลเพื่อบรรเทา อาการปวด ลดไข้
ห้ามรับประทานยาแอสไพรินหรือยากลุ่มลดการอักเสบ (NSAIDs)