Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 9 การพยาบาลแบบองค์รวมในทารกแรกเกิดที่มีภาวะเสี่ยง และปัญหาสุขภาพ -…
บทที่ 9 การพยาบาลแบบองค์รวมในทารกแรกเกิดที่มีภาวะเสี่ยง และปัญหาสุขภาพ
Birth Asphyxia และการกู้ชีพ
ภาวะขาดออกซิเจนในทารก
( PERINATAL ASPHYXIA)
การวินิจฉัย : • Fetal monitoring • การประเมินลักษณะของนํ้าคร่ำจากการเจาะถุงน้ำคร่ำ • Apgar score น้อยกว่า 6 • ตรวจเลือดจากสายสะดือพบ การมีภาวะ hypoxemia, hypercarbia และ acidosis
ขั้นตอนการดูแลเบื้องต้นในการกู้ชีพ
การให้ความอบอุ่น --> จัดศีรษะให้อยู่ในท่า “sniffing” --> ทำทางเดินหายใจให้โล่งด้วย bulb syringe หรือ suction catheter ถ้าจำเป็น --> เช็ดตัวให้แห้ง --> กระตุ้นให้เด็กร้อง หรือหายใจ
การควบคุมอุณหภูมิ:
Preterm(น้อยกว่า 1,500 กรัม) มักพบภาวะอุณหภูมิต่ำ
==> ปรับอุณหภูมิห้องคลอดให้อยู่ที่ 26oC ห่อทารกด้วยแผ่นพลาสติก วางทารกบนเบาะให้ความร้อน ติดตามอุณหภูมิทารกอย่างใกล้ชิด
การกดหน้าอกเพื่อนวดหวั ใจ (CHEST COMPRESSION)
อัตราการเต้นของหัวใจที่น้อยกว่า 60 ครั้งต่อนาทีภายหลังได้รับการช่วยหายใจด้วยออกซิเจนที่เหมาะสมนาน 30 วินาที
ตำแหน่งที่กด:
กดบนกระดูกสันอกที่ 1 ส่วน 3 ทางล่างสุดของกระดูกสันอก
แรงกด :
กระดูกสันอกยุบลง 1-1.5 ซม.
อัตราการกด :
สม่ำเสมอ 90 ครัง้ /นาที และช่วยหายใจได้ 30 ครั้ง รวมเป็น 120
ครั้ง ใน 1 นาที ใช้เวลาห่างของแต่ละครั้งประมาณครึ่งวินาที
การนวดหัวใจ: การหายใจ = 3 : 1
ผู้กดต้องพูด “หนึ่ง-และสอง-และสาม-และบีบ-และหนึ่ง-และสอง-และสาม-และบีบ........” โดยช่วงที่นับให้กดหน้าอกไปพร้อมกัน เมื่อพูด“บีบ” ให้บีบ bag ช่วยหายใจ 1 ครั้ง ทำต่อเนื่องกันไป
ข้อบ่งชี้ในการให้ยา : 1.HR <60 ครั้ง/นาที หลังให้ O2 100%และช่วยนวดหัวใจนาน 30 วินาที 2. ไม่มีการเต้นของหัวใจ
อัตราและขนาดการให้ EPINEPHRINE และ NAHCO3
epinephrine: ขนาดที่แนะนำทางหลอดเลือดดำคือ0.01-0.03 มก./กก. ต่อการให้หนึ่งครั้ง หากต้องการให้ epinephrine ทางท่อช่วยหายใจ อาจต้องมีการปรับขนาดยาให้สูงขึ้นเป็น 0.05-0.1 มก./กก.
4.2% NaHCO3 (0.5 mEq/ml) : ขนาดที่ใช้ คือ 2 mEq/kg. เจือจางเท่าตัวด้วย SW ให้ช้า ๆ ทาง umbilical venous catheter
VOLUME EXPANSION : ควรเริ่มให้ volume expansion โดยแนะนำให้ใช้เป็น isotonic crystalloid solution หรือเลือด ขนาดที่แนะนำคือ 10 มก./กก.
การดูแลภายหลัง RESUSCITATION
• ติดตามและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
• Narcan (Naloxone) (0.4 มก./มล.) ขนาดที่ใช้ 0.1 มก./กก.(0.25 ml./kg.) ทางหลอดเลือดดำ/ET-tube/กล้ามเนื้อ/subcutaneous
• Glucose ขนาดที่ใช้ 2 มล./กก./ครั้ง เข้าทาง umbilical catheter ใช้ในกรณีที่ช่วยหายใจด้วยแรงดันบวกและให้ NaHCO3 แล้วยังมีbradycardia แสดงว่าทารกมีภาวะhypoglycemia
การทำให้ทางเดินหายใจโล่ง
น้ำคร่ำใส: แนะนำ suction ทันทีภายหลังการคลอด (ด้วยbulb syringe) เฉพาะในทารกที่มีการอุดตันทางเดินหายใจชัดเจน หรือในทารกที่ต้องการ PPV เท่านั้น
นํ้าคร่ำมีขี้เทาปน: แนะนำให้ทำ endotracheal suction อยู่ในทารกที่มีนํ้าคร่ำปนขี้เทาและไม่ตื่นตัว (non vigorous)
การบาดเจ็บจากการคลอด
1.ก้อนบวมโนที่ศีรษะ
(Caput succedaneum)
สาเหตุ
• เกิดจากแรงดันที่กดลงบนศีรษะทารกระหว่างการคลอดท่าศีรษะ
• ทำให้มีของเหลวซึมออกมานอกหลอดเลือดในชั้นใต้เยื่อหุ้มหนังศีรษะ
• จากการใช้เครื่องสูญญากาศช่วยคลอด (V/ E)
อาการและอาการแสดง
•พบได้บริเวณด้านข้างของศีรษะ
•ก้อนบวมโนนี้ทำให้ศีรษะมีความยาวมากกว่าปกติ
แนวทางการรักษา
• สามารถหายได้เองโดยไม่จำเป็นต้องรักษา
• จะหายภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังคลอด
• ประมาณ 3 วัน ถึง 2 – 3 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับขนาดของก้อนบวมในที่เกิดขึ้น
2.ก้อนโนเลือดที่ศีรษะ
(Cephalhematoma)
• มีขอบเขตชัดเจน
• ก้อนในเลือดที่เกิดขึ้นจะเกิดบนกระดูกกะโหลกศีรษะเพียงชั้นเดียวเท่านั้น
• ไม่ข้ามรอยต่อกระดูกกะโหลกศีรษะ
• พบมากบนกระดูก parietal
สาเหตุ
• เกิดจากมารดามีระยะเวลาการคลอดยาวนาน
• ศีรษะทารกถูกกดจากช่องคลอด
• จากการใช้เครื่องสูญญากาศช่วยคลอด
• เป็นผลให้หลอดเลือดฝอยบริเวณเยื่อหุ้มกระดูกกะโหลกศีรษะทารกฉีกขาด
• เลือดจึงซึมออกมานอกหลอดเลือดใต้ชั้นเยื่อหุ้มกระดูกกะโหลกศีรษะ
อาการและอาการแสดง
• จะปรากฏให้เห็นชัดเจนภายใน 24 ชั่วโมงหลังเกิด
• ลักษณะการบวมจะมีขอบเขตชัดเจนบนกระดูกกะโหลกศีรษะชิ้นใดชิ้นหนึ่ง
• รายที่มีอาการรุนแรงอาจพบอาการแสดงทันทีหลังเกิด
• พบก้อนโนเลือดมีสีดำหรือนํ้าเงินคลํ้า
แนวทางการรักษา
• ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน ก้อนโนเลือดจะค่อย ๆ หายไปได้เอง
• อาจใช้เวลาเป็นสัปดาห์
• ในรายที่ก้อนเลือดมีขนาดใหญ่อาจรักษาโดยการดูดเลือดออก
• เป็นการคั่งของเลือดบริเวณใต้เยื่อหุ้มกระดูกกะโหลกศีรษะ
3.เลือดออกใต้เยื่อบุนัยน์ตา
( Subconjunctival hemorrhage )
สาเหตุ : เกิดจากการที่มารดาคลอดยาก, ศีรษะทารกถูกกด, หลอดเลือดที่เยื่อบุนัยน์ตาแตก ทำให้มีเลือดซึมออกมา
การมีจุดเลือดออกที่ตาขาว (sclera) ของทารกแรกเกิด
•มักพบบริเวณรอบ ๆ กระจกตา
แนงทางการรักษา :
•สามารถหายไปได้เองโดยไม่ต้องการการรักษา
•โดยใช้ระยะเวลา 2 – 3 สัปดาห์
4.เส้นประสาทที่มาเลี้ยงใบหน้า
บาดเจ็บ (Facial nerve palsy )
สาเหตุ : •เกิดจากการได้รับบาดเจ็บจากการคลอด
โดยเฉพาะในรายที่คลอดยาก
อาการและอาการแสดง
• กล้ามเนื้อใบหน้าข้างที่เส้นประสาทเป็นอัมพาตจะอ่อนแรง
• เห็นได้ชัดเจนว่าไม่สามารถเคลื่อนไหวหน้าผากข้างที่เป็นอัมพาตให้ย่นได้
• ไม่สามารถปิดตาได้
• เมื่อร้องไห้มุมปากจะเบี้ยว ไม่สามารถเคลื่อนไหวปากข้างนั้นได้
• กล้ามเนื้อจมูกแบนราบ
• ใบหน้าสองข้างของทารกไม่สมมาตรกัน
แนวทางการรักษา
• ไม่มีการรักษาเฉพาะ
• ส่วนใหญ่อาการจะหายไปได้เอง
• แต่ควรหยอดนํ้าตาเทียมให้เพื่อป้องกันจอตาถูกทำลาย
5.อัมพาตที่แขน
(Brachial plexus palsy)
สาเหตุ
• การทำคลอดไหล่ที่รุนแรง
• การทำคลอดท่าศีรษะผิดวิธี เช่น ทำคลอดโดย
การเหยียดศีรษะและคอของทารกอย่างรุนแรง
• การทำคลอดแขนให้อยู่เหนือศีรษะในรายทารก
ใช้ก้นเป็นส่วนนำ
Erb – Duchenne paralysis เส้นประสาทคอคู่ที่
5 และ 6 ได้รับบาดเจ็บ
• ไม่มีอาการผวา (moro reflex)เมื่อตกใจ ทารกสูญเสีย biceps และ radial reflex
• ยังกำมือ(grasp reflex)ได้
• ต้นแขนอยู่ในท่าชิดลำตัว(adduction)บิดเข้าด้านใน ข้อศอก
เหยียด แขนส่วนล่างอยู่ในท่าคว่ำ ข้อมืองอ
• แขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บอ่อนแรงทั้งแขน
• ไม่สามารถขยับหรือยกแขนพ้นที่นอน
Klumpke’ s paralysis (C7,8 – T1) ได้รับบาดเจ็บ
ทำให้ทารกมืองอ บิดเข้าข้างใน
Horner’s syndrome รูม่ายตาหด หนังตาตก ตาหวำลึก
ต่อมเหงื่อที่บริเวณใบหน้าทำหน้าที่ได้ไม่ดี
กล้ามเนื้อด้านใน (intrinsic muscles) ของมือข้างที่
ประสาทได้รับบาดเจ็บอ่อนแรง ทำให้ไม่สามารถกำมือได้
• แต่ยังมีอาการผวา biceps และ radial
• มีปฏิกิริยาสะท้อนกลับ (reflex) ได้
• ทารกอาจมี Horner’s syndrome ถ้าsympathetic fiber ของเส้นประสาทคู่ที่มาเลี้ยง กล้ามเนื้อหน้าอกคู่ที่ 1 ได้รับบาดเจ็บด้วย
Combined หรือ Total brachial plexus injury
เส้นประสาทคู่ที่ได้รับบาดเจ็บ คือเส้นประสาทคอคู่ที่ 5
เส้นประสาทที่มาเลี้ยงทรวงอกคู่ที่ 1 (C5 – T1)
ถ้าเส้นประสาทคอคู่ที่ 3 และ 4 (C3 – C4) ถูกทำลายร่วมด้วย
ทำให้มีอัมพาตกระบังลม (paralysis of diaphragm)
• กล้ามเนื้อทั้งแขนและมือของทารกจะอ่อนแรง
• ไม่มีปฏิกิริยาสะท้อนกลับ (reflexs) ทั้งหมด
การรักษา
• ให้เริ่มทำ passive movement เมื่อเส้นประสาทยุบบวม
• โดยทั่วไปจะรอจนกว่าทารกอายุ 7 – 10 วัน
• ให้แขนอยู่นิ่ง (partial immobilization)
ให้อยู่ในท่าที่เหมาะสมโดยให้ยึดแขนไว้ในท่าหัวไหล่ทำมุม 90 องศากับลำตัว หมุนแขนออกด้านนอก แขนส่วนล่างอยู่ในท่าหงายและฝ่ามือหันเข้าหาใบหน้า
ในกรณีที่ทารกมีอัมพาตของแขนส่วนล่างหรือมือต้อง
ดามแขนส่วนนั้นในท่าปกติและให้กำผ้านุ่ม ๆ ไว้
ถ้าเป็นอัมพาตทั้งแขนให้การรักษาเช่นเดียวกัน
แต่ควรนวดเบา ๆและให้ออกกำลังแขนแต่ไม่ควรทำด้วยความรุนแรง
6.กระดูกหักในทารก
(Fracture)
การหักของกระดูกแขน (humerus) หรือกระดูกขา
• ได้ยินเสียงกระดูกหักขณะทำคลอด
• บริเวณที่มีกระดูกหักมีสีผิวผิดปกติ
การรักษา:
ถ้าหักไม่สมบูรณ์ (incomplete fracture) รักษาโดยการใส่เฝือกขา
ถ้าหักแยกจากกัน (complete fracture) รักษาด้วยวิธีการใช้แรงดึง กระทำบนผิวหนังโดยตรง (skin fracture) โดยการดึงให้ขาเหยียดตรงห้อยขาให้ก้นและสะโพกลอยจากพื้นเตียง (Bryant’ traction)นาน 2 – 3 สัปดาห์
กระดูกต้นแขนเดาะใช้ผ้าตรึงแขนติดลำตัว
ข้อสะโพกเคลื่อน (hip dislocation)
• หัวกระดูกขาหลุดออกจากเบ้ากระดูกสะโพก
• เส้นเอ็นถูกยืดออกเป็นผลทำให้หัวกระดูกต้นขาถูกดึงรั้งสูงขึ้น
การรักษา:
• จับให้ทารกนอนในท่างอข้อสะโพกและกางออก (human position)
• พยายามให้ทารกอยู่ในท่าดังกล่าวเป็นเวลาอย่างน้อย 1 – 2 เดือน จนพบว่าข้อสะโพกอยู่ในภาวะปกติ โดยการถ่ายภาพรังสีหรือการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasound)
กระดูกไหปลาร้าหัก
(Fracture clavicle)
มีอัมพาตเทียม (pseudoparalysis)
ไม่เคลื่อนไหวแขนข้างที่กระดูกไหปลาร้าหัก (ไม่มี moro reflex)
คลำบริเวณที่หักได้ยินเสียงกรอบแกรบ (crepitus) และไม่เรียบ
กล้ามเนื้ออก กล้ามเนื้อไหปลาร้าและกล้ามเนื้อกกหู(sternocleidomastiod muscle) หดเกร็ง
การรักษา :
ให้แขนและไหล่ด้านที่กระดูกไหปลา
ร้าหักอยู่นิ่ง พยายามไม่ให้เคลื่อนไหว
ทารกแรกเกิดติดเชื้อ
ภาวะติดเชื้อในทารกแรกเกิด
เป็นกลุ่มอาการทางคลินิกที่เกิดจากการติดเชื้อในกระแสโลหิตของทารกแรกเกิด
เป็นปัญหาที่พบบ่อย
เป็นสาเหตุการตายและความพิการที่สำคัญในประเทศไทย
ภาวะติดเชื้อในระยะแรก ( early sepsis ) เป็นภาวะที่การติดเชื้อนั้นเกิดขึ้นระหว่าง 72 ชั่วโมงหรือสัปดาห์แรกหลังเกิด
มารดามีการติดเชื้อในนํ้าครํ่า
( CHORIOAMNIONITIS )
มีไข้ ( มากกว่า 38 องศาเซลเซียส ) ร่วมกับมีleukocytosis
มีอาการเจ็บมดลูก ( uterine tenderness )
นํ้าครํ่ำมีกลิ่นเหม็น
มารดาหรือทารกมีหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ( fetal heart rate > 160 ครั้ง/นาที )
ถ้านำนํ้าครำ่ ไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์พบ PMNมากกว่า 3-5 เซลล์/hpf
การพยาบาล
สังเกตอาการติดเชื้อ
สังเกตพฤติกรรมทั่วไป
การขับถ่าย
การตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น
การนอน ระดับการรู้สติ
การกินนม
1) ควบคุมการแพร่เชื้อ : แยกทารกออกจากทารกอื่น
2) ระมัดระวังการช่วยเก็บ specimen สำหรับ septic work up
3) ช่วยในการหายใจให้สะดวก
จัดท่านอน : ส่วนคอตรง
ให้ออกซิเจน
suction
observe การหายใจ , บันทึก
4) รักษาอุณหภูมิร่างกายให้เหมาะสม
วัด body temp.
ห่มผ้า ใช้ไฟ warmer นอนใน incubator
5) ดูแลให้ได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ
NPO ให้ IVF ( NPO - ดูด content ทิ้ง, บันทึก)
เริ่มอาหารทางสายยาง
เริ่มอาหารทางปาก ชั่งน้ำหนัก, บันทึก I/O สังเกตภาวะน้ำ
6) ให้ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
7) สังเกตอาการของภาวะแทรกซ้อน
อาการทางสมอง (Meningitis)
Shock , DIC
Hypoglycemia
8) ตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ของทารก
สัมผัส อุ้ม ปลอบโยน
พูดด้วยเสียงนุ่มนวลขณะให้ N/C
ส่งเสริมให้พ่อ แม่ เข้าเยี่ยม
ทารกน้ำหนักตัวผิดปกติ ความผิดปกติเกี่ยวกับอายุครรภ์
ประเภทของทารกแรกเกิด
จำแนกตามน้ำหนักแรกเกิด
ทารกแรกเกิดนํ้าหนักน้อย
(Low birth weight)
ทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักตัวต่ำกว่า 2,500 กรัม
ทารกแรกเกิดที่มีนํ้าหนักน้อยมาก
(very low birth weight : VLBW)
ทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักตัวต่ำกว่า 1,500 กรัม
ทารกแรกเกิดที่มีนํ้าหนักน้อยมากๆ
(extremely low birth weight : ELBW)
ทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักตัวต่ำกว่า 1,000 กรัม
จำแนกตามอายุครรภ์
ทารกครรภ์เกินกำหนด
(Postterm Infant)
•ทารกที่คลอดหลังจากอายุครรภ์ 42 สัปดาห์
•ปัจจัยที่อาจส่งผลให้คลอดเกินกำหนด
▫ การตั้งครรภ์ครั้งแรก
▫ การตั้งครรภ์ครั้งที่ 5 เป็นต้นไป
▫ มีประวัติระยะเวลาในการคลอดล่าช้า
▫ มารดาอาจจำประจำเดือนครั้งสุดท้ายคลาดเคลื่อน
▫ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
ภาวะแทรกซ้อน
•น้ำคร่ำน้อย
•รกเสื่อม
•ทารกอาจได้รับสารอาหารและออกซิเจนไม่เพียงพอ
•สายสะดือถูกกด
•มีการถ่ายขี้เทาลักษณะเหนียวเนื่องจากมีน้ำคร่ำน้อย
ลักษณะของทารก
• ตื่นตัว
• ตาเปิ ดกว้าง
• ลำตัวผอมยาว
• ไขมันใต้ผิวหนังน้อย
• ผิวหนังมีขี้เทา
• แห้ง
• ลอก
• ไม่มีไขหรือขนอ่อน
• เล็บยาว
การรักษา
ตรวจอัลตราซาวนด์เพื่อประเมินอายุครรภ์และความผิดปกติของทารก
ประเมินทารกด้วย NST, CST และให้คลอดเมื่ออายุครรภ์ 43
สัปดาห์
ดูดมูกก่อนทารกคลอดทั้งตัว และใส่สาย NG เพื่อดูดขี้เทาที่อยู่ในระดับลึกก่อนที่จะหายใจครั้งแรก
ช่วยเหลือการหายใจของทารก ตรวจระดับแก๊สในเลือด ตรวจเอกซเรย์
ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ กลูโคส ฮีมาโตคริต บิลลิรูบิน
จำแนกตามน้ำหนักแรกเกิด และอายุในครรภ์
น้อยกว่าอายุในครรภ์ (SGA)
นํ้าหนักแรกเกิดน้อยกว่า 2,500 กรัม
ทารกแรกเกิดที่มีนํ้าหนักต่ำกว่าเปอร์เซนต์ไทล์ที่ 10
สาเหตุ
• มารดาติดสารเสพติด
• สุรา
• สูบบุหรี่
• มีภาวะซีดเรื้อรัง
• โรคหัวใจ
• โรคไต
• ตั้งครรภ์แฝด
• ความผิดปกติทางโครโมโซม
• ติดเชื้อแต่กำเนิด เช่น TORCH ซิฟิลิส
อวัยวะต่างๆจะเจริญเติบโตสัมพันธ์กัน แต่ขนาดตัวเล็ก
ลักษณะร่างกายไม่สมส่วน
การรักษา
ระบุความเสี่ยงต่อภาวะ IUGR ของทารกจากการวัด HF. ,U/S เป็น ระยะเพื่อประเมินความพิการและการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์
• ให้คลอดเมื่อครรภ์ใกล้ครบกำหนดหรือทารกอาจไม่ปลอดภัย
• ดูดน้ำคร่ำและช่วยกู้ชีพเมื่อคลอด
• ดูแลควบคุมอุณหภูมิร่างกาย และให้ดูดนมแม่โดยเร็วหลังคลอด
• ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ CBC , TORCH titer ,urine CMV และ drug screening , chromosome studies, total bilirubin
เหมาะสมกับอายุในครรภ์ (AGA)
พบได้ร้อยละ 80 ของทารกทั้งหมด
ทารกแรกเกิดที่มีนํ้าหนักอยู่ระหว่างเปอร์เซนต์ไทล์ที่ 10
ถึง 90
นํ้าหนักมากกว่าอายุในครรภ์ (LGA)
ทารกแรกเกิดที่มีนํ้าหนักมากกว่าเปอร์เซนต์ไทล์ที่ 90
มีนํ้าหนักแรกเกิดมากกว่า 4,000 กรัม
ปัจจัย
• กรรมพันธุ์ (มารดาน้ำหนักมาก)
• เพศ (เพศชายมักมีขนาดตัวใหญ่มากกว่าเพศหญิง)
• ปัจจัยทางด้านพยาธิสรีรวิทยา เช่น hydrops fetalis
• การมีหลอดเลือดใหญ่อยู่ผิดที่ Beckwith-Wiedemann syndrome
การรักษา
• ป้ องกันโดยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดตลอดการตั้งครรภ์
• คาดคะเนขนาดของทารกกับเชิงกรานของมารดา อาจวางแผนC/S
• ประเมินน้ำตาลในเลือดบ่อยๆ ในระยะหลังคลอด
• ให้สารน้ำที่มีกลูโคส 10-15% IV จนกว่าอาการของทารกจะคงที่
• ประเมินการบาดเจ็บของทารกเพิ่มเติมจากการเอกเรย์ หรือ ซีที สแกน (CT-scan)
Meconium Aspiration Syndrome
ภาวะสำลักขี้เทา
การสำลักเอาขี้เทาที่อยู่ในนํ้าครํ่าเขา้ ปอดในทารกแรกเกิด
มีการเคลื่อนไหวของทรวงอกตื้นๆ และไม่สม่ำ เสมอตั้งแต่อายุประมาณ 24 สัปดาห์
มีความถี่ประมาณ 30-90 ครั้งต่อนาที
เมื่ออายุครรภ์ ประมาณ 34 สัปดาห์
การเคลื่อนไหวของทรวงอกจะสม่ำเสมอมากขึ้น
อัตราการเคลื่อนไหวจะมีค่าประมาณ40-60 ครั้งต่อนาที
การเคลื่อนไหวนี้ไม่ใช่การหายใจ
การเคลื่อนไหวนี้จะทำให้ lung fluid ของทารกมีการเคลื่อนที่ใน tracheobronchial tree
ทำให้ lung fluid เคลื่อนจากถุงลมทารกสู่นํ้าครํ่าได้
ในภาวะปกติจะไม่มีน้ำครํ่าเคลื่อนที่เข้าสู่ปอด
การขาดออกซิเจนของทารกในครรภ์เนื่องจากความ
ผิดปกติของรกในการแลกเปลี่ยนก๊าซ
จะกระตุ้นให้ทารกในครรภ์มีการหายใจ
(grasping respiration)
ทำให้น้ำครํ่าเคลื่อนที่เข้าสู่ปอดทารกได้
การรักษา
เตรียมอุปกรณ์ในการดูดเสมหะและเครื่องมือในการ
ใส่ท่อช่วยหายใจและอุปกรณ์ที่ใหอ้ อกซิเจนให้พร้อม
มีความเสี่ยงต่อการสำลักขี้เทาให้ใช้ลูกยางแดงดูดทาง
ปากและจมูกเมื่อศีรษะทารกพ้นจากช่องคลอด
ในรายที่มีขี้เทาที่เหนียวและปริมาณมากจะใส่ท่อช่วย
หายใจและดูดขี้เทาออกทางท่อช่วยหายใจ
หลังจากดูดออกหมดแล้วหากทารกไม่หายใจควรให้แรงดันบวกผ่านทางท่อช่วยหายใจ
หลังจากนั้นจะดูดขี้เทาจากกระเพาะอาหาร โดยการดูดจากสายยางใหอ้ าหารผ่านทางจมูกหรือปาก
อาการแสดง
ทารกที่เป็น MAS มักเป็นทารกที่คลอดครบกำหนด หรือเกินกำหนด
มีประวัติ fetal distress
Apgar score ตํ่า
มีขี้เทาในนํ้าครํ่า
การพยาบาลทารกแรกเกิดที่มารดาติดสารเสพติดในระยะตั้งครรภ์
เฮโรอีน
การพยาบาลทารกแรกเกิด
ที่มารดาเสพสารเสพติดเฮโรอีนในระยะตั้งครรภ์
พบว่าทารกแรกเกิดมีอาการ “ถอนยา” ถึงร้อยละ 90
อัตราตายสูงถึงร้อยละ 90
มีชื่อทางเคมีว่า Diacetyl Morphine Hydrocloride
เฮโรอีนมีฤทธ์ิร้ายแรงกว่า Morphine 3-8 เท่า
ร้ายแรงกว่าฝิ่น 80 เท่า
ถ้าทำให้บริสุทธ์ิจะมีฤทธ์ิร้ายแรงกว่าฝิ่น 100 เท่า
ผลจากการเสพเฮโรอีนในระยะตั้งครรภ์
ต่อทารกในครรภ์และทารกแรกเกิด
ทารกมีภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำ (hypoxia)
ทารกเกิดก่อนกำหนด เนื่องจากมีการติดเชื้อร่วมกับการเกิด
ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด
ความพิการแต่กำเนิด อาจเกิดจากการติดเชื้อ
ภาวะตับอักเสบ
ซิฟิลิสแต่กำเนิด
การเจริญเติบโตล่าช้า เกิดภาวะ IUGR , SGA
แอลกอฮอล์ หรือสุรา
การพยาบาลทารกแรกเกิด
ที่มารดาดื่มแอลกอฮอล์ในระยะตั้งครรภ์
ทารกแรกเกิดที่มีภาวะ FAS อย่างรุนแรง
พบได้ในช่วง 6-12 ชั่วโมงแรกหลังคลอด
ระยะ 1-3 วันแรก
ทารกจะมีอาการสั่น นอนหลับได้น้อย ร้องไห้ตลอดเวลา
ท้องอืด มีลักษณะคล้ายหิวนมตลอดเวลา แต่ดูดได้ไม่ดี
มีการเจริญเติบโตช้าในครรภ์
มีการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อและระบบประสาทไม่ดี
ระดับสติปัญญา (IQ) ต่ำ
มีลักษณะผิดปกติของรูปหน้าอย่างชัดเจน ศีรษะเล็ก
เป็นโรคหัวใจแต่กำเนิด
ลักษณะผิดปกติภายนอก
แนวทางการรักษา
ให้มารดาเลิกดื่มสุราเมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์
ทารกให้ยาที่ใช้รักษาระบบประสาทส่วนกลางให้ทำงานดีขึ้น
ให้ยาระงับหรือป้องกันการชัก คือ Phenobarbital หรือ diazepam
บุหรี่
การพยาบาลทารกแรกเกิดที่มารดาสูบบุหรี่ในระยะตั้งครรภ์
ละอองของเหลว /ทาร์ ก่อให้เกิดโรคมะเร็งปอด และถุงลมโป่งพอง สารระคายเคือง ระคายเคืองในหลอดลม หลอดลมอักเสบเรื้อรัง
สารนิโคติน เข้าสู่สมอง ภายใน 7 นาทีทำให้มีผลต่อระบบประสาท
และระบบไหลเวียนโลหิต
ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) ขัดขวางการลำเลียงออกซิเจนของ เม็ดเลือดแดง carboxyhemoglobin
ทารก:มารดา 1:4
ผลของการสูบบุหรี่ในระยะตั้งครรภ์
ต่อทารกในครรภ์และทารกแรกเกิด
หลอดเลือดหดรัดตัว (vasoconstriction)
ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดมาก
ขาดออกซิเจนอย่างเรื้อรัง มารดาแท้งหรือทารกตาย
ทารกในครรภ์มีกลุ่มอาการติดบุหรี่ (fetal tobacco syndrome )
ทารกมีการเจริญเติบโตช้า
น้ำหนักตัวต่ำกว่าปกติ 150-300 กรัม
เกิดก่อนกำหนด
เกิดภาวะหายใจลำบาก (respiratory distress)
ทารกมีปากแหว่ง เพดานโหว่
ไส้เลื่อน(inguinal hernia)
ตาเหล่ (strabismus)
ระดับ IQ (intelligence quota) ต่ำ
ทารกโตขึ้นจะมีบุคลิกไม่อยู่นิ่ง (hyperactive)