Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การบำบัดหัตถการ, 753689, afp20081015p945-f1, โดยทั่วไปการตัดไหมจะทำให้วันท…
การบำบัดหัตถการ
-
-
อุปกรณ์
- ชุดเย็บแผล ซึ่งประกอบด้วย
Tooth Forceps ใช้สำหรับหยิบจับภายนอก เช่น ผิวหนัง หรือถ้าหากต้องการหยิบจับภายใน อาจเป็นประเภทของการหยิบจับพังผืด
-
-
วัสดุเย็บ หรือด้าย ที่ใช้กันโดยทั่วไปคือ Silk และ Nylon เป็นด้ายที่ใช้เย็บภายนอกแต่ Silk จะมีราคาถูกกว่า
นอกจากนั้นก็จะมีไหมละลาย (Chromic Catgut) ซึ่งใช้สำหรับเย็บอวัยวะภายใน โดยจะกล่าวโดยละเอียดในหัวข้อวัสดุเย็บต่อไป
-
-
หลักการเย็บแผล
-
2.เลือกเข็มให้เหมาะกับแผลที่จะเย็บ เข็ม Cutting คือเข็มที่มีคมด้านข้าง ใช้สำหรับเย็บเนื้อที่มีความเหนียว เช่น พังผืด ผิวหนัง และเอ็นต่างๆ เป็นต้น เข็ม Taper หรือ เข็มกลม (Round) ใช้สำหรับเย็บเนื้อที่อ่อนและไม่ต้องการให้ขอบเข็มบาดเนื้อได้แก่การเย็บลำไส้ กล้ามเนื้อ ต่อมต่างๆ และหลอดเลือด ปลอกประสาท เป็นต้น เข็มโค้งมาก สำหรับเย็บแผลแคบๆ เข็มโค้งน้อย สำหรับแผลที่มีเนื้อที่เย็บกว้าง
3.การจับเข็มถ้าเป็นเข็มเย็บผ้าหรือเข็มตรงใช้มือจับเย็บ แต่ถ้าเป็นเข็มโค้ง ต้องใช้คีมจับเข็มที่ประมาณ 1/3 ค่อนมาทางโคนเข็ม เพราะหากจับที่ปลายเข็มมากไป จะทำให้แทงเข็มผ่านโค้งเข้าไปในเนื้อที่จะเย็บลำบาก สนด้ายที่จะใช้เย็บเข้าที่รูเข็ม ตัดด้ายให้เหลือความยาวประมาณ 1 คืบ
การใช้คีมจับเข็ม (Needle Holder) ควรจับให้ด้ามอยู่ในอุ้งมือ นิ้วชี้วางใกล้กับข้อต่อ เพื่อจะตักได้มั่นคงและแม่นยำ
5.เวลาตักควรปักเข็มลงไปตรงๆให้ตั้งฉากกับผิวหนัง หรือเนื้อที่จะเย็บ เพราะจะทำให้ง่าย ไม่ควรตักเฉียง เพราะผิวหนังที่จะถูกเย็บจะมีความยาวมากทำให้เย็บยาก และการปักเข็มควรปักให้ห่างจากขอบแผลพอสมควร
6.หมุนเข็มให้ปลายเข็มเสยขึ้น โดยใช้ข้อมือ อย่าดันไปตรงๆ เพราะเข็มโค้งอาจจะหัก ให้ปล่อยคีบจากโคนเข็มมาจับปลายที่โผล่พ้นผิวหนังอีกด้านหนึ่งของแผลขึ้นมา ให้ปลายแหลม(ถ้าจับตรงปลายแหลม จะทำให้งอหรือทื่อ) แล้วค่อยๆหมุนเข็มตามความโค้งของเข็ม จนกระทั้งโคนเข็มหลุดจากผิวหนัง
7.ใช้มือซ้ายจับโคนเชือกไว้ มือขวาถือคีมจับเข็มรูดออกไปจนเข็มหลุดจากเชือกแล้ววางคีมมาจับปลายเชือกอีกด้านหนึ่ง จัดความยาวของเชือกสองด้านให้เท่ากัน พร้อมกับดึงขอบแผลให้มาติดกันแล้วผูกเงื่อนตาย
8.ใช้กรรไกรตัดไหม ตัดด้ายโดยให้เหลือโคนไว้ ยาวประมาณครึ่งเซนติเมตร จะเย็บกี่เข็มก็สุดแล้วแต่ความยาวของแผล โดยทั่วไปจะเย็บแต่ละเปลาะห่างกันประมาณ 1 เซนติเมตร ถ้ายังเห็นว่าห่างเกินไปอาจเย็บเสริมตรงกลางได้ และในกรณีที่แผลใหญ่มากอาจเย็บเสริมตรงกลางได้ และในกรณีที่แผลใหญ่มากอาจตักเข็ม 2 ครั้ง
วัสดุในการเย็บแผล
- วัสดุที่ละลายได้เอง (Absorbable Sutures)
ประกอบด้วยเส้นใยธรรมชาติ ได้แก่ Catgut ทำมาจาก Collagen ใน Submucosa ของลำไส้แกะหรือวัว ละลายได้เพราะกระตุ้นให้เกิด acute inflammation โดยรอบ เริ่มยุ่ยและแตกภายใน 4-5 วัน และจะหมดไปภายใน 2 สัปดาห์ เส้นใยสังเคราะห์เช่น Polyglycolic acid (Dexon), Polyglycan (Vicryl) และ Polydioxanone (PDS)
Plain catgut ละลายได้เร็ว 5-10 วัน ใช้เย็บกล้ามเนื้อที่ไม่ลึกมาก ไม่ต้องใช้แรงในการดึงรั้งมาก เช่น บริเวณปาก ลำตัวที่แผลไม่ลึก
Chromic catgut ละลายได้ช้า 10-20 วัน ไม่ค่อยระคายเคือง ใช้ในการเย็บกล้ามเนื้อที่ต้องใช้ระยะเวลานานเพื่อที่จะทำให้แผลติด
- วัสดุที่ไม่ละลายเอง (Non-Absorbable Sutures)
ประกอบด้วยเส้นใยตามธรรมชาติ เช่นไหมดำ (Silk) ราคาถูก ผูกปมง่าย และไม่คลาย แต่ทำจากเส้นใยหลายเส้นมาประกอบกันจึงทำให้มีซอกมุมที่มีเชื้อแบคทีเรียหลบซ่อนได้ วัสดุเหล่านี้จะเปราะเมื่ออยู่ในเนื้อเยื่อประมาณ 1 ปี
-
เส้นใยสังเคราะห์ เช่น Nylon เส้นเหล่านี้มีความแข็งแรงมากกว่าไหมดำ แต่ผูกปมยากและคลายง่าย ไม่มีปฏิกิริยากับเนื้อเยื่อมากแต่ผูกปมลำบาก
วัสดุที่เย็บเป็นโลหะอาจมาในรูปแบบสำเร็จรูป (Staples) ซึ่งใช้เฉพาะงาน เช่น ต่อกระเพาะหรือลำไส้ Tape มีการนำเทปมาใช้ปิดแผลที่ผิวหนังแทนวัสดุเย็บ ใช้ง่าย จะติดแน่นขึ้นถ้าทาผิวหนังด้วย Tincture Benzoin ก่อน ไม่เหมาะในบริเวณที่มีเหงื่อมาก เช่น รักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือ บริเวณที่เคลื่อนไหวมากเช่น ข้อพับ หรือแผลที่มีน้ำเหลืองซึมหรือเปียกชื้นมาก
ลักษณะการเย็บแผล
แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1.เย็บแผลโดยใช้ไหมผูกเป็นปมแยกเป็นอัน ๆ (interupted) ได้แก่ การเย็บธรรมดา (plaininterupted) โดยใช้เข็มตักเนื้อใต้ผิวหนังที่จะเย็บเพียงครั้งเดียวและผูกไหมเป็นปมไว้ด้านข้าง ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมใช้มากหรือการเย็บแบบสองชั้น(mattressinterupted)โดยใช้เข็มตักเนื้อใต้ผิวหนังลึกจากขอบแผลข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งแล้วย้อนกลับมาตักขอบแผลตื้น ๆ ให้โผล่ใกล้ตำแหน่งที่ตักครั้งแรกจึงผูกปมวิธีนี้จะไม่มีเส้นไหมเย็บข้ามขอบแผล
-
การตัดไหม
1.ตรวจสอบคำสั่งการรักษาของแพทย์ทุกครั้งว่ามีจุดประสงค์ให้ตัดไหมทุกอัน (total stitches off) หรือตัดอันเว้นอัน (partial stitchess off)
2.ไหมที่เย็บแผลส่วนที่มองเห็นเป็นส่วนที่มีการสัมผัสเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ตาม ผิวหนัง ในการตัดและดึงไหมออกจึงไม่ควรดึงไหมส่วนที่มองเห็นลอดผ่านใต้ผิวหนัง และจะต้องดึงไหมออกให้หมด เพราะถ้าไหมตกค้างอยู่ใต้ผิวหนัง จะกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมและเกิดการอักเสบได้
-
วิธีการ
1.ทำความสะอาดบาดแผล โดยใช้แอลกอฮอล์เช็ดรอบแผล และอาจใช้ไฮโดรเจนเปอร์ ออกไซด์เช็ดคราบที่ไหมเย็บ (suture) ออก
2.การตัดไหมที่เย็บแผลโดยใช้ไหมผูกเป็นปมแยกเป็นอัน ๆ โดยใช้ปากคีบไม่มีเขี้ยวจับ ชายไหมส่วนที่อยู่เหนือปมที่ผูกไว้ ดึงขึ้นพอตึงมือส่วนของจะเห็นไปใต้ปมโผล่พ้นผิวหนังขึ้นมา 2 เส้น และใช้สอดปลายกรรไกรสำหรับตัดไหมในแนวราบขนานกับผิวหนัง ตัดไหมส่วนที่อยู่ชิด ผิวหนังซึ่งอยู่ใต้ปมที่ผูก แล้วดึงไหมในลักษณะดึงเข้าหาแผลเพื่อป้องกันแผลแยก
3.การตัดไหมที่เย็บแผลโดยใช้ไหมผูกเป็นปมเป็นอัน ๆ ชนิดสองชั้น ให้ตัดไหมส่วนที่มองเห็นและอยู่ชิดผิวหนังมากที่สุด ซึ่งอยู่ด้านตรงกันข้ามกับปมไหมให้ตัดไหมด้วยวิธีเดียวกับการเย็บธรรมดา
4.การตัดไหมที่เย็บแผลแบบต่อเนื่อง ให้ตัดไหมส่วนที่อยู่ชิดผิวหนังด้านตรงกันข้ามกับปมที่ผูกอันแรก และอันถัดไปด้านเดิม เมื่อดึงไหมออกส่วนที่เป็นปมผูกไว้อันแรก และส่วนที่อยู่ชิด ผิวหนัง ซึ่งติดกับไหมที่เย็บอันที่สองจะหลุดออก ส่วนไหมปมอันถัดไปให้ตัดไหมส่วนที่อยู่ชิดผิวหนังด้านเดิม ทำเช่นนี้จนถึงปมไหมอันสุดท้าย สำหรับไหมที่เย็บต่อเนื่องชนิดทบห่วง ให้ใช้กรรไกร ตัดไหม ส่วนที่อยู่ชิดผิวหนังด้านตรงข้ามกับที่พันทบเป็นห่วงทีละอัน และดึงออก
-
การบาดแผลอุบัติเหตุ
-
-
ยาชาฉพาะที่และการฉีดยาชา
ยาชาเฉพาะที่ คือ ยาที่ออกฤทธิ์ปิดกั้นการส่งกระแสประสาทกับเส้นประสาท ทำให้ไม่รู้สึกบริเวณที่ฉีด แต่ผู้ป่วยจะยังรู้สึกตลอดเวลา
ยาชาที่นิยมใช้
ลิโดเคน (Lidocaine)
ปริมาณที่ใช้ : 4.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
การออกฤทธิ์ : ออกฤทธิ์เร็ว มีผลต่อร่างกาย 120 นาที
เมพิวาเคน (Mepivacaine)
ปริมาณที่ใช้ : 5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
การออกฤทธิ์ : ออกฤทธิ์เร็ว มีผลต่อร่างกาย 180 นาที
บูพิวาเคน (Bupivacaine)
ปริมาณที่ใช้ : 2.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
การออกฤทธิ์ : ออกฤทธิ์ช้า มีผลต่อร่างกาย 4 ชั่วโมง
โรพิวาเคน (Ropivacaine)
ปริมาณที่ใช้ : 2-3 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
การออกฤทธิ์ : ออกฤทธิ์เร็วปานกลาง มีผลต่อร่างกาย 3 ชั่วโมง
เลโวบูพิวาเคน (Levobupivacaine)
ปริมาณที่ใช้ : 2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม หรือ 400 มิลลิกรัม ใน 24 ชั่วโมงการออกฤทธิ์ : ออกฤทธิ์เร็วปานกลาง มีผลต่อร่างกาย 4-6 ชั่วโมง หรือ 8-12 ชั่วโมง
โพรเคน (Procaine)
ปริมาณที่ใช้ : 8 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
การออกฤทธิ์ : ออกฤทธิ์ช้า มีผลต่อร่างกาย 45 นาที
คลอโรโพรเคน (Chloroprocaine)
ปริมาณที่ใช้ : 10 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
การออกฤทธิ์ : ออกฤทธิ์เร็ว มีผลต่อร่างกาย 30 นาที
เอทิโดเคน (Etidocaine)
ปริมาณที่ใช้ : 2.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
การออกฤทธิ์ : ออกฤทธิ์เร็ว มีผลต่อร่างกาย 4 ชั่วโมง
ไพรโลเคน (Prilocaine)
ปริมาณที่ใช้ : 5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
การออกฤทธิ์ : ออกฤทธิ์เร็วปานกลาง มีผลต่อร่างกาย 90 นาที
เตตราเคน (Tetracaine)
ปริมาณที่ใช้ : 1.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
การออกฤทธิ์ : ออกฤทธิ์เร็วปานกลาง มีผลต่อร่างกาย 3 ชั่วโมง
-
-
การฉีดยาชา
-
หลักการฉีดยาชาเฉพาะที่
-
-
-
3.การเดินยาชา ควรฉีดผิวหนังบริเวณ Intradermal wheal > ค่อยๆปักเข้าในเนื้อใต้ผิวหนัง > ดูดดูว่าปลายเข็มเข้าหลอดเลือดหรือไม่ (ต้องไม่เข้าเส้นเลือด) >เริ่มเดินยาช้าประมาณ 1-2 CC. > รอดูการชา 1-2 นาที ร่วมกับประเมินอาการแพ้
-
-
-
-
-
โดยทั่วไปการตัดไหมจะทำให้วันที่ 7-10 ภายหลังการผ่าตัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายในการเย็บแผล ตำแหน่งแผลและถ้าปล่อยไว้นานเกินไปจะทำให้เกิดการอักเสบและแผลแยกในภายหลังได้
-