Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลทารกแรกเกิดที่มีภาวะขาดออกซิเจนเมื่อแรกคลอด, นางสาวจิตรวรรณ…
การพยาบาลทารกแรกเกิดที่มีภาวะขาดออกซิเจนเมื่อแรกคลอด
การพยาบาล
สังเกตอาการขาดออกซิเจน เช่น ริมฝีปากและปลายมือปลายเท้าซีด เขียว หายใจปีกจมูกบาน หายใจออกมีเสียงคราง หน้าอกบุ๋ม หรืออาการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ เพื่อให้การช่วยเหลือและปรึกษาแพทย์ต่อไป
ดูแลให้ได้รับการตรวจทางห้องปฏิบัติการและได้รับยาตามแผนการรักษาของแพทย์
ดูแลให่ได้รับอาหารและสารน้ำ ตามแผนการรักษาของแพทย์
บันทึกอัตราการหายใจ การเต้นของหัวใจทารกภายหลังคลอด
เช็ดตัวทารกให้แห้งทันทีหลังคลอดและห่อตัวรักษาความอบอุ่นของร่างกาย เพื่อลดการใช้ออกซิเจน
ดูแลความสะอาดของร่างกาย
ดูดสิ่งคัดหลั่งให้มากที่สุดก่อนคลอดลำตัว
ดูแลให้พักผ่อน
เตรียมทีมบุคลากร เครื่องมือให้พร้อมก่อนคลอด ในรายที่มารดามีภาวะเสี่ยงหรือมีอาการแสดงที่น่าสงสัยว่าจะเกิด asphyxia
10.ส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างมารดาและทารก
ความหมาย
ภาวะที่ทารกแรกเกิดไม่สามารถหายใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นผลให้ขาดสมดุลของการแลกเปลี่ยนก๊าซ ทำให้มีระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ (hypoxia) มีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์(hypercapnia)และมีสภาพเป็นกรดในกระแสเลือด(metabolic acidosis)
พยาธิสภาพ
ร่างกายไม่สามารถดูดซึมออกซิเจนเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดได้ ทำให้มีปริมาณออกซิเจนในกระแสเลือดต่ำ ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนเลือดในร่างกาย โดยมีเลือดไปเลี้ยงอวยัวะที่สำคัญที่สุดในร่างกายก่อน คือ สมอง หัวใจ และต่อมหมวกไต ส่วนอวยัวะอื่นๆ จะมีเลือดไปเลี้ยงน้อยลง การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด คือ มีการเปลี่ยนแปลงอัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจ เริ่มด้วยมีอาการหายใจแบบขาดอากาศ (gasping) ประมาณ 1 นาทีตามด้วยการหายใจไม่สม่ำเสมอและหัวใจเต้นช้าลง ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขทารกจะหยุด หายใจ ซึ่งเป็นการหยุด หายใจคร้ังแรก(primary apnea) ถ้าไม่ช่วยกู้ชีพทารกจะพยายามหายใจใหม่อีกคร้ังแต่เป็นการหายใจที่ไม่สม่ำเสมอประมาณ 4-5 นาที แล้วจะทรุดลงไปอย่างรวดเร็วและหยุดหายใจอย่างถาวร(secondary apnea )การขาดออกซิเจนทำให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาการเผาพลาญโดยไม่ใช้ออกซิเจน เป็นผลให้ร่างกายมีภาวการณ์เผาพลาญเป็นกรด(metabolic acidosis) ซึ่งทำให้การขาดออกซิเจนรุนแรงมากขึ้น ถ้าไม่ไดรับการแก้ไขที่ถูกต้องภายใน 8 นาที หลังเกิดการขาดออกซิเจนทารกจะเสียชีวิต
กลไกการเกิด
2.ไม่มีการแลกเปลี่ยนออกซิเจนที่รก ซึ่งเกิดจากรกมีการแยกตัวออกจากมดลูกเช่น รกลอกตัวก่อนกำหนด (abruptio placenta) รกมีเนื้อตาย(placenta infarction)
มีการนำออกซิเจนหรือสารอาหารจากมารดาไปยงัทารกโดยผ่านทางรกไม่เพียงพอเช่น มารดาที่มีภาวะความดันโลหิตสูง มารดามีอาการช็อค สูญเสียเลือด ซีด การบีบตัวของมดลูกนานเกินไปหรือถี่มากไป
1.การไหลเวียนเลือดทางสายสะดือขัดข้อง มีการหยุดไหลเวียนหรือไหลเวียนลดลง เช่น
สายสะดือถูกกดทับขณะเจ็บครรภ์หรือขณะคลอด
ปอดทารกขยายไม่เต็มที่และการไหลเวียนเลือดยังคงเป็นแบบทารกในครรภ์ ไม่สามารถปรับเป็นแบบทารกหลังคลอดได้และไม่พัฒนาเป็นแบบผู้ใหญ่ เช่น มีทางเดินหายใจอุดตัน มีน้ำคั่งในปอด มีความสามารในการหายใจไม่สมบูรณ์ มีการหายใจล้มเหลวเนื่องจากสมองถูกกด
การรักษา
4.การให้ออกซิเจน ให้ออกซิเจน 100% ที่ผ่านความชื้นและอุ่นผ่านทาง mask หรือท่อให้ออกซิเจนโดยใช้มือผู้ทำให้เป็นกระเปาะเปิดออกซิเจน 5 ลิตร/นาที โดยให้ใกล้จมูกทารกประมาณ 1 นิ้ว เพื่อให้ได้ความเข้มข้นของออกซิเจนสูงสุด
5.การช่วยหายใจ(ventilation)การช่วยหายใจด้วยแรงดันบวก โดยใช้mask และ bag มีข้อบ่งชี้คือ หยุดหายใจหรือหายใจแบบ gasping อัตราการเต้นของหัวใจน้อยกว่า100 ครั้ง/นาที เขียวขณะได้ออกซิเจน 100%
3.การกระตุ้นทารก (tactile stimulation)การเช็ดตัวและดูดเมือกจากปากและจมูกสามารถกระตุ้นทารกให้หายใจได้อย่างดี ถ้าทารกยังไม่ร้องหรือหายใจไม่เพียงพอให้ลูบบริเวณหลังหน้าอก ดีดส้นเท้าทารก ซึ่งจะได้ผลดีในกรณีที่มีprimary apnea
6.ใส่ท่อหลอดลมคอเมื่อต้องช่วยหายใจด้วยแรงดัน บวกเป็นเวลานาน เมื่อช่วยหายใจด้วย mask และ bag แล้วไม่ได้ผล เมื่อต้องการดูดสิ่งคัดหลั่ง ในหลอดลมคอ กรณีที่มีขี้เทาปนเปื้อนน้ำคร่ำ เมื่อต้องการนวดหัวใจและทารกมีไส้เลื่อนกระบังลม หรือน้ำหนักตัวน้อยกว่า 1,000 กรัม
2.ทำทางเดินหายใจให้โล่ง (clearing the airway) หลังจากศีรษะทารกคลอด ใช้ลูกสูบยางแดงดูดสิ่งคัด
หลั่งในปากก่อนแล้วจึงดูดในจมูก
7.การนวดหัวใจ(Chest compression) นวด
บริเวณกระดูกสันอกตรงตำแหน่งหน่ึ่งส่วนสามล่างของกระดูกสันอก ความลึกประมาณ 1/3ของ
1.การให้ความอบอุ่น จึงต้องป้องกันไม่ให้ร่างกายสูญเสียความร้อนโดยดูแลทารกภายใต้แหล่งให้ความร้อน (radiant warmer) หรือหลอดไฟที่เปิดอุ่น ไว้แล้วเช็ดผิวหนังทารกให้แห้งอย่างรวดเร็วด้วยผ้าแห้งและอุ่น แล้วเอาผ้าเปียกออก ห่อตัวทารกด้วยผ้าอุ่นผืนใหม่ หรือวางทารกบนหน้าอกหรือหน้าท้องของมารดาโดยให้ผิวหนังทารกสัมผัสกับผิวหนังมารดาโดยตรง (skin to skin contact)
สรุปการรักษาจำแนกตามความรุนแรงของการขาดออกซิเจน
moderate asphyxia ให้ออกซิเจน 100% และช่วยหายใจด้วย mask และbag เมื่อดีขึ้นจึงใส่ feeding tube เข้ากระเพาะอาหารเพื่อดูดลมออก ถ้าไม่ดีขึ้นหลังช่วยหายใจนาน 30 วินาที ใส่ ET tubeและนวดหัวใจ
severe asphyxia ให้การช่วยเหลือโดยช่วยหายใจทันทีที่คลอดเสร็จ โดยใส่ ET tube และช่วยหายใจด้วยออกซิเจน 100% ผ่าน bag ร่วมกับการนวดหัวใจ ถ้าไม่ดีขึ้นจึงรักษาด้วยยา
mild asphyxia ให้ความอบอุ่น ทา ทางเดินหายใจให้โล่ง กระตุ้นการหายใจ ให้ออกซิเจนผ่านสายออกซิเจนหรือ mask ถ้าอาการดีขึ้น มีคะแนน APGAR ที่5 นาที >8 คะแนน ให้ดูแลต่อเหมือนทารกทั่วไป ถ้าคะแนน APGAR ที่5 นาที < 4 คะแนน ดูแลเหมือนทารกที่มีภาวะ moderate asphyxia
ให้ยา (medication) ใช้ยา Epineprine เมื่อช่วยหายใจด้วยออกซิเจน และ Naloxone hydrochroride (Narcan) เป็นยาต้านฤทธิ์ยาเสพติดที่ไม่กดการหายใจใช้กับทารกที่มารดาได้รับยากลุ่มยาเสพติดที่กดการหายใจภายใน 4 ชั่วโมงก่อนคลอด
การวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย การประเมินคะแนน APGAR จะพบการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ ดังนี้
การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ
การตอบสนองเมื่อถูกกระตุ้น
อัตราการหายใจ เริ่มจากไม่สม่ำเสมอไปจนหยุดการหายใจ
อัตราการเต้นของหัวใจ
สีผิว
อาการและอาการแสดง
ประวัติการคลอด
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
อาการและอาการแสดง
ระยะคลอด
พบขี้เทาปนในน้ำคร่ำ
3.ระยะหลังคลอด
3.2.2การเปลี่ยนแปลงในระบบหัวใจและการไหลเวียนเลือด การขาดออกซิเจนในระยะแรกร่างกายจะส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง หัวใจและต่อมหมวกไต แต่ลดปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงผิวหนัง ลำไส้ กล้ามเนื้อและไต ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว ผิวซีด หายใจแบบ gasping มีmetabolic acidosis อุณหภูมิร่างกายต่ำลง ความดันโลหิตต่า
3.2.3การเปลี่ยนแปลงในระบบประสาท ถ้าขาดออกซิเจนนานทารกจะซึม หยุดหายใจบ่อย หัวใจเต้นช้าลง ม่านตาขยายกว้างไม่ตอบสนองต่อแสง ไม่มี Doll’s eye movement และมักเสียชีวติ ถ้าขาดออกซิเจนในระยะเวลาสั้นๆ หรือสามารถกู้ชีพได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว อาจมีเพียงอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงและดูดนมได้ไม่ดีการเปลี่ยนแปลงในสมองเรียกว่า hypoxic ischemic encephalopathy (HIE)
3.2.1การเปลี่ยนแปลงในปอด การขาดออกซิเจนทำให้หลอดเลือดในปอดหดตัว ความดันเลือดในปอดสูงขึ้น เลือดไปเลี้ยงปอดได้น้อยลง การทำงานของเซลล์ปอดเสียไปทำให้ทารกคลอดก่อนกำหนดเกิดภาวะ RDS ส่วนทารกที่คลอดครบกำหนดจะเกิดภาวะ persistent pulmonary hypertention of the newborn (PPHN) การเปลี่ยนแปลงในปอดดังกล่าวทำให้ทารกมีอาการหายใจหอบ ตัวเขียว
3.2.4การเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินอาหาร ลำไส้จะบีบตัวแรงชั่วคราว ทำให้ทารกถ่ายขี้เทาขณะอยู่ในครรภ์มารดา จึงเสี่ยงก่อการสำลักขี้เทาเข้าปอด สำหรับทารกที่คลอดก่อนกำหนดที่มีอายุครรภ์น้อยกว่า 34 สัปดาห์ ลำไส้จะตอบสนองต่อภาวะขาดออกซิเจนโดยการหยุดทำงาน ทำให้ท้องอืดมาก เยื่อบุลำไส้ถูกทำลาย ถ้าขาดออกซิเจนนานและรุนแรงจะเสี่ยงต่อการเกิดลำไส้อักเสบเน่าตาย(NEC)
3.2.7ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ระดับน้ำตาลในเลือด 30 mg%
ค่าของ calcium ในเลือดต่ำกว่า 8 mg%
1.ค่า arterial blood gas ผิดปกติ คือ PaCO2 > 80 mmHg, PaO2 < 40 mmHg, pH < 7.1
ค่าของ potassium ในเลือดสูง
3.2.6 การเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินปัสสาวะ ทารกจะมีปัสสาวะน้อยลงหรือไม่ถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด (hematuria)
3.2.5 การเปลี่ยนแปลงทางเมตาบอลิซึม หลังจากขาดออกซิเจน ทารกมักจะเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ แคลเซียมต่ำ และโปแตสเซียมสูง มีผลทำให้ทารกชักและเสียชีวิต
1.ระยะตั้งครรภ์หรือก่อนคลอด
ทารกมีการเคลื่อนไหวมากกว่าปกติและต่อมาจะมีการเคลื่อนไหวน้อยลงกว่าปกติอัตราการเต้นของหัวใจทารกในระยะแรกจะเร็วมากกว่า 160คร้ัง/นาทีต่อมาจึงช้าลง
นางสาวจิตรวรรณ คลิ้งคล้าย 601001016