ปัญหาระบบหลอดเลือดและน้ำเหลือง

หลอดเลือดแดง(Artery)

หลอดเลือดดำ(Vein)

ต่อมน้ำเหลือง(Lymphatic)

หลอดเลือดแดงโป่งพอง (Aneurysm)

ข้อวินิจฉัยและการพยาบาล

ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสูญเสียโลหิตมากในขณะผ่าตัด

เสียงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนเช่น ชัก อัมพาต ภาวะขาดเลือดบริเวณหลอดเลือดเเดงส่วนปลายเนื่องจากทำการผ่าตัด

เสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดปริแตกก่อนการผ่าตัดเนื่องจากมีพยาธิสภาพหลอดเลือดแดงโป่งพอง

ความดันโลหิตสูง(Hypertension)

หลอดเลือดแดงอุดตัน (Arterial occlusion)

สาเหตุการเกิดโรค

เนวทางการรักษา

พยาธิสภาพ

ข้อวินิจฉัยและการพยาบาล

สาเหตุการเกิดโรค

เเนวทางการรักษา

พยาธิสภาพ

ข้อวินิจฉัยและการพยาบาล

แนวทางการรักษา

สาเหตุการเกิดโรค

พยาธิสภาพ

เสี่ยงเกิดภาวะเเทรกซ้อน(หลอดเลือดสมองตีบ,เส้นเลือดหัวใจโป่งพอง,
หัวใจขาดเลือด) เนื่องจากมีความดันโลหิตสูง(Hypertension)

อาจมีพฤติกรรมสุขภาพไม่เหมาะสม เนื่องจากมีการรับรู้เกี่ยวกับสาเหตุโรคเเละการรักษาที่ไม่ถูกต้อง

ข้อมูลสนับสนุน

เกณฑ์การประเมินผล

วัตถุประสงค์ ผู้ป่วยไม่เกิดภาวะเเทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูง

กิจกรรมการพยาบาล

S: LDL= 196 mg/dl

S: ผู้ป่วยบอกว่า" ปวดศีรษะบ่อยโดยเฉพาะเวลาเครียด"

S: HDL= 30 mg/dl

S: BP=180/110 mmHg.

S: Total cholesteral(TC)= 270 mg/dl

S: Triglyceride(TG)= 220 mg/dl

O: ผู้ป่วยมีอาการคลื่นไส้อาเจียน เเละบ่นปวดศีรษะตลอด

  1. ไม่มีอาการปวดศีรษะตาพร่ามัว คลื่นไส้อาเจียน
  1. BP ไม่เกิน 140/85 mmHg.
  1. ผลการตรวจค่าไขมันในเลือดปกติ
  1. ไม่เกิดภาวะเครียดหรือภาวะเครียดลดลง

LDL< 130 mg/dl

TC<200 mg/dl

TG<150 mg/dl

HDL> 45 mg/dl

  1. ติดตามเเละประเมินความดันโลหิตทุก 4 ชั่วโมง
  1. ประเมินอาการที่เเสดงถึงการเกอดภาวะเเทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูง เช่น ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว คลื่นไส้อาเจียน ปากเบี้ยว เเขนขาชาอ่อนเเรง
  1. ดูเเลให้ได้รับยาครบถ้วนตามเเผนการรักษาของเเพทย์ เช่น ยาลดความดันโลหิต ยาเเอสไพลิน ยาต้านการเเข็งตัวของเลือด ยาลดไขมันในเส้นเลือด เเละสอนให้ผู้ป่วยสังเกตอาการข้างเคียงของยา
  1. เเนะนำอาหารที่ช่วยลดไขมันในเลือด โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่มีเเคลอรี่เเละไขมันสูง ลดอาหารเค็มเพื่อป้องกันความดันโลหิตสูงขึ้น
  1. เเนะนำให้รับประทานอาหารที่มีกากใยมากขึ้นเเละดื่มน้ำม่กๆเพื่อป้องกันการเบ่งถ่ายอุจจาระจากอาการท้องผูก ส่งผลให้ความดันโลหิตสูง
  1. เเนะนำให้ผู้ป่วยระมัดระวังการเปลียนท่า อาจส่งผลให้ความดันโลหิตเปลี่ยนเเปลงเเละเกิดอุบัติเหตุได้
  1. ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตเเละภาวะเเทรกซ้อน รวมไปถึงส่งเสริมให้ผู้ป่วยเกิดตระหนักในการดูเเลตนเองเพื่อควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  1. เเนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความดันโลหิตสูง เช่น ภาวะอ้วน ภาวะไขมันในเลือดสูง ภาวะเครียด
  1. เเนะนำให้ผู้ป่วยออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที เพื่อป้องกันหลอดเลือดเเข็งตัว
  1. ติดตามผลการตรวจไขมันในหลอดเลือด

ข้อมูลสนับสนุน

เกณฑ์การประเมินนผล

วัตถุประสงค์ ผู้ป่วยมีพฤติกรรมสุขภาพในการดูเเลตนเองที่เหมาะสม

กิจกรรมการพยาบาล

S: ผู้ป่วยบอกว่า " ชอบเติมเครื่องปรุงเพิ่มเวลารับประทานอาหาร "

O: ผู้ป่วยยังมีพฤติกรรมชอบรับประทานอาหารรสเค็มอยู่

  1. ผู้ป่วยบอกสาหตุของการเกิดโรคได้อย่างถูกต้อง
  1. ผู้ป่วยสามารถบอกวิธิการปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับโรคได้อย่างถูกต้อง
  1. ชี้ให้เห็นความสำคัญของการรับประทานยาเเละการรับประทานอาหาร เพื่อควบคุมระดับความดันโลหิตอยู่ในภาวะปกติ
  1. ให้คำเเนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติที่เหมาะสม ดังนี้
  1. เน้นย้ำการรับประทานยาอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมระดับความดันให้อยู่ในภาวะปกติ หากหยุดรับประทานยาอาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีความดันโลหิตสูงขึ้นเเละเสี่ยงต่อการเกิดโรคเเทรกซ้อนตามมา
  1. เเนะนำให้ผู้ป่วยสังเกตอาการผิดปกติ หากพบอาการผิดปกติให้รีบมาพบเเพทย์
  1. ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิต ดังนี้โรคความดันโลหิตสูง(Hypertension) เป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง
    ที่ความดันเลือดในหลอดเลือดแดงสูงกว่าปกติ ทำให้หัวใจต้องบีบตัวมากขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดให้ไหลเวียนไปตามหลอดเลือด
    ลักษณะอาการในระยะแรกมักไม่แสดงอาการใดๆ จนกระทั่งอาการเริ่มแสดงอาการออกมา โดยอาการที่สังเกตได้ คือ
    อาการปวดศีรษะบ่อยๆ ตาพร่ามัว หูอื้อ มึนงง และอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย การหายใจติดขัด หน้าแดง
    ใจสั่นมีอาการอิดโรย เหนื่อยง่าย
  1. ประเมินระดับความรู้เเละความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับโรค
    เเละการรักษาว่ามีมากน้อยเพียงใด

4.1 การควบคุมอาหารเเละการลดน้ำหนัก สามารถช่วยลดความดันโลหิตและช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด แม้ท่านจะไม่จัดว่าอ้วน แต่การลดอาหารประเภทไขมันก็เป็นสิ่งที่ดี

4.2 การรับประทานอาหารที่ไม่เค็มจัด(Low Salt) ความเค็มจะทำให้ความดันโลหิตสูง และไตทำงานหนัก

4.3 การหลีกเลี่ยงอาหารประเภทของดองเค็ม เนื้อเค็ม ซุปกระป๋อง ซอสมะเขือเทศ อาหารที่โรยเกลือมาก ๆ

4.4 การหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอารมณ์เครียด

4.5 การหยุดสูบบุหรี่ บุหรี่เป็นสาเหตุทำให้เกิดการทำลาย และส่งเสริมการหดตัวของหลอดเลือดทำให้เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเกิดอัมพาต

4.6 การงด/ลดการดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเป็นสาเหตุของความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง

4.7 การออกกำลังกายแต่พอประมาณ เช่น การเดินวันละ 20 – 30 นาที จะช่วยทำให้ระบบไหลเวียนของเลือดดีขึ้น และป้องกันโรคของหลอดเลือดได้

4.8 การติดตามเเละตรวจวัดความดันโลหิตเสมอ

อาการบวมจากต่อมน้ำเหลือง (Lymphedema)

ข้อวินิจฉัยและการพยาบาล

แนวทางการรักษา

พยาธิสภาพ

 การไหลเวียนของน้ำเหลืองในท่อน้ำเหลืองทำได้ไม่ดี เนื่องจากมีการอุดตันที่ท่อน้ำเหลือง หรือมีการทำลายให้ท่อน้ำเหลืองผิดรูป หรือหลังจากที่ได้รับการรักษามะเร็งด้วยวิธีตัดเลาะต่อมน้ำเหลืองร่อมกับการฉายรังสีรักษา ก็ทำให้การไหลเวียนของน้ำเหลืองเข้าสู่กระแสเลือดไม่ได้ จึงทำให้มีของเหลวสะสมที่เนื้อเยื่อรอบๆ จนกระทั่งเกิดอาการบวมตามมา

การรักษาด้วยตนเองเบี้องต้น

Deep vein thrombosis (DVT)

Thrombophlebitis

Varicose veinเส้นเลือดดำขอด

พยาธิสภาพ

แนวทางการรักษา

สาเหตุการเกิดโรค

1.สภาพไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

เดินหรือนั่งเป็นเวลานาน

การรักษาการพยาบาล

การผ่าตัด

การเข้าเฝือก

การตั้งครรภ์

คนอ้วน

สภาพการแข็งตัวของเลืด

ยา

สูบบุหรี่

ความบกพร่องทางพันธุกรรม

โรงมะเร็ง

การได้รับบาดเจ็บของหลอดเลือดดำ

กระดูกแขนหรือขาหัก

กล้ามเนื้อถูกกระแทก

ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดหรือสวนหลอดเลือด

การเกิดหลอดเลือดดำอุดกั้นตามทฤษฎีVirchow อธิบายการเกิด DVT อยู่ 3 ปัจจัย

กิจกรรมการพยาบาล

ดูแลจัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบเหมาะแก่การพักผ่อนเพื่อให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนเต็มที่
ระหว่างรอผ่าตัด

แนะนำให้ผู้ป่วยสังเกตอาการผิดปกติของตนเองเช่น อาการเจ็บแน่นหน้าอก
หรือ หายใจลำบากหากมีอาการให้รีบแจงพยาบาลให้ทราบทันที

เฝ้าระวังสังเกตอาการที่บ่งบอกภาวะหลอดเลือดปริแตกหากพบต้องรีบรายงานแพทย์ทันที

ดูแลบันทึกสัญญาณชีพทุก 1 ชั่วโมง

วัตถุประสงค์

ผู้ป่วยปลอดภัยต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดปริแตกก่อนการผ่าตัด

ข้อมูลลสนับสนุน

O : มีพยาธิสภาพของหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง

S : ผู้ป่วยบอกว่า มีประวัติโรคความดันโลหิตสูง

เกณฑ์การประเมินผล

BP = 60-100 ครั้งต่อนาที

RR = 16-24 ครั้งต่อนาที

ไม่มีอาการแสดงของภาวะหลอดเลือดปริแตกเช่น อาการเจ็บแน่นหน้าอกหรือหลัง ไม่มีอาการหน้ามืด หายใจลำบาก

ผู้ป่วยสามารถพักผ่อนนอนหลับได ในขณะนอนรอผ่าตัด

กิจกรรมการพยาบาล

ประเมินการระดับการเคลื่อนไหวของขาทั้งสองข้างทันทีที่ผู้ป่วยรู้สึกตัวกรณีไม่สามารถขยับขาได้ให้ รีบรายงานแพทย์ทันที

click to edit

ประเมินภาวะขาดเลือดที่ขา วัดชีพจรทุก 15 นาทีเป็นเวลา 1 ชั่วโมงทุก 30 นาที 3 ชั่วโมง หลังจากนั้นทุกชั่วโมงเป็นเวลา 1 วัน

วัตถุประสงค์

ผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดเช่น อัมพฤต อัมพาต ภาวะขาดเลือดบริเวณหลอดเลือดส่วนปลาย

ข้อมูลสนับสนุน

O : ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัด TEVAR ขณะการเย็บซ่อมแซมหลอดเลือดบริเวณขาหนีบ(femoral artery) มีการ clamp หลอดเลือด ทำให้ไม่มีเลือดไปเล้ียงบริเวณขา

O: ผู้ป่วยได้รับการฉีดสารทึบรังสีจากเครื่อง power injector มีโอกาสมี air ค้างใน กระบอกสี

click to edit

O : มีการใช้ catheter ใส่เขาออกภายในหลอดเลือดตลอดการผ่าตัดอาจมีลิ่มเลือดคางในสาย

กิจกรรมการพยาบาล

ติดตามการผ่าตดอย่างต่อเนื่องและเตรียมอุปกรณ์และเครื่องมือให้พร้อมสำหรับการทำผําตัดชนิดเปิดทันทีที่เกิดภาวะหลอดเลือดฉีกขาด

ประสานงานกับวิสัญญีแพทยในการประเมินภาวะของการสูญเสียเลือดโดยดูปริมาณของเลือดในขวดของเครื่องดูดสูญญากาศ (Suction)

ประสานงานกับธนาคารเลือดจัดเตรียมเลือดไวให้ ้พร้อมใชได้ ทันทีที่วิสัญญีแพทย์
ต้องการ

เฝ้าระวังติดตามสัญญาณชีพ ชีพจรค่าความดนโลหิตในขณะผ่าตัด

วัตถุประสงค์

ผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะสูญเสียเลือด

ข้อมูลสนับสนุน

O : ผู้ป่วยได้ร้บการผ่าตัด

O : ระหว่างการผ่าตัดได้ร้บยา Heparin

S : ผู้ป่วยบอกว่า ประวัติโรคความดันโลหิตสูง

O : มีการใช้ Heparin solution อัตราส่วน Heparin 2500 ยูนิต : NSS 500 มิลลิลิตร
สำหรับสวนล้าง catheter และในหลอดเลือดขณะผ่าตัด

เกณฑ์การประเมิน

ผิวหนังของผู้ป่วยไม่ซีดและเย็น

ผู้ป่วยไม่เกิดภาวะหัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia) และภาวะความดันโลหิตลดลง (Blood
pressure drop)

S: ผู้ป่วยบอกว่า เข้ารับการผ่าตัดหลอดเลือด

2.การบาดเจ็บของผนังหลอดเลือด (endothelial injury)

3.ภาวะเลือดแข็งตัวเร็วผิดปกติ (hypercoagulability)

1.การไหลเวียนของเลือดช้าลง (venous stasis)

กระบวนการเกิด DVT เริ่มต้นด้วยการมีเกล็ดเลือดรวมตัวกันที่บริเวณใดก็ตามที่มีการคั่งของเลือดโดยเฉพาะเช่นที่บริเวณเหนือลิ้นหลอดเลือดดำ หรือบริเวณที่มีการบาดเจ็บของผนังหลอดเลือดดำจากการผ่าตัดซึ่งจะไปกระตุ้นทำให้มีการเกิดลิ่มเลือด ทำให้มีก้อนเลือดเกิดบริเวณหลอดเลือดดำที่ขา แม้ว่าในร่างกายมีกระบวนการสลายลิ่มเลือด แต่เนื่องจากกระบวนการเกิดลิ่มเลือดมีการผลิตในอัตราที่เร็วกว่ากระบวนการสลายลิ่มเลือดของร่างกาย ดังนั้น จึงเกิดลิ่มเลือด (venous thrombosis) ขึ้น

  1. ให้ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด anticoagulation (heparin)
  1. ใส่ที่กรอง Caval fillter ใน inferor vena cava ใช้ในกรณีมีลิ่มเลือดหลุดลอยในกระแสเลือด

4.ใส่ถุงน่องทางการแพทย์แบบรัดเพิ่มความดัน (compression stockings) ที่ขาจะช่วยลดการบวมของจากภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน

  1. ฉีดสารละลายลิ่มเลือด Throbolysis ใช้กับผู้ป่วยเข่า มีโอกาสขาเป็นสีเขียวคล้ำให้เกิด venous gangrene

สาเหตุการเกิดโรค

แนวทางการรักษา

พยาธิสภาพ

พยาธิสภาพ

Thrombophlebitis เป็นโรคที่เกิดจากกระบวนการอักเสบที่ผนังหลอดเลือดดำเมื่อมีลิ่มเลือด (thrombus) ในเซลล์ เนื้อเยื่อรอบ ๆ

หรืออาจมีส่วนร่วมในการอักเสบได้ในระดับหนึ่งหรืออีกหนึ่งชั้นกลางของหลอดเลือดดำมีความหนาแน่นน้อยกว่าซึ่งแตกต่างจากผนังหลอดเลือด ความหนาของผนังหลอดเลือดดำก็เล็กลงเช่นกัน คุณสมบัติเชิงโครงสร้างเหล่านี้และอัตราการไหลเวียนของเลือดที่ต่ำลงไปยังหัวใจในขั้นต้นสร้างเงื่อนไขเบื้องต้นภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสมสำหรับการเกิด thrombophlebitis

สาเหตุการเกิด

click to edit

การบาดเจ็บทางกลของแขนขาที่ต่ำกว่า

ความบกพร่องทางพันธุกรรม

การยอมรับยาฮอร์โมน

รักษาและมะเร็งวิทยา

แนวทางการรักษา

. การรักษาทางยา รักษาโดยยาขยายหลอดเลือด เช่น Papaverin Phenoxyhennamine
และยาละลายลิ่มเลือด เช่น Heparin Caumadin

การทำผ่าตัด รักษากรณีรักษาด้วยยาไม่ได้ผล

เกิดจากความอ่อนแรงของผนังเส้นเลือดดำ (weakness of the vein wall) ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งใน great saphenous vein (GSV), small saphenous vein (SSV) และ tributaries ทำให้เกิดการไหลย้อนกลับของเลือด ในระบบหลอดเลือดดำ (reflux)ทำให้หลอดเลือดดำขยายตัวกว้างขึ้น (varicosity) เมื่อเกิดเป็นระยะเวลานานก็จะทำให้มีการซึมของน้ำจากในหลอดเลือดออกไปสู่เนื้อเยื่อข้างเคียง (transudation of fluid into subcutaneous tissue)

  1. การผ่าเอาก้อนเลือดออก (Venous Thrombectomy)
  1. Vein Interrupture ข้อบ่งชี้ของการผ่าตัด คือ ป้องกัน Pulmonary embolism ในรายที่มีVenous Thrombosisเกิดขึ้นเรื้อรัง ทำโดยผู้หลอดเลือดดำใหญ่ ซึ่งจะทำให้ขาบวม

1.Primary varicose vein

2.Secondary varicose vein

เกิดจากการรั่วของลิ้นที่สกัดกั้นการไหล ย้อนกลับของเลือดจาก superficial system สู่ deep system

มักเกิดตามหลัง deep venous thrombosis (DVT) ได้เพราะ DVT ทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดดําหรืออาจเป็นผลมาจากการทำลายลิ้น (ลิ้นรั่ว- venous incompetence) ก็ได้ การอุดตันของหลอดเลือดดําจาก DVT ทำให้มีเลือดไหลกลับ

1.การรักษาแบบ ประคับประคอง(Conservative treatment)

2.การรักษาแบบเฉพาะ (Specific treatment)

จะทำการรักษา เมื่อมีอาการมากขึ้น มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น รวมทั้ง ในแง่ความสวยงาม

2.1 การฉีดสาร Sclerosing เข้าไปในหลอดเลือดดำ ซึ่งจะทำให้ เส้นเลือดนั้น ฝ่อ แล้วยุบตัวไป นิยมทำกันในเส้นเลือด ขนาดเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก หรือ ใช้กับ เส้นเลือดที่หลงเหลือ หรือเป็นซ้ำ หลังจากการผ่าตัด


2.2 การผ่าตัด เหมาะกับหลอดเลือด เป็นยาวเกือบทั้งขา ขนาดใหญ่ ไม่สามารถฉีด Scerosing Agent ได้ ไม่ว่าจะรักษาด้วยวิธีใด หลังจากนั้น ควรสวมถุงน่อง เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ สวมเวลาที่ต้องทำงาน ที่ยืน หรือเดิน

จะเน้นไปทางการป้องกัน และรักษาตามอาการมากกว่า ทำได้โดย สวมถุงน่องทางการแพทย์ ซึ่งจะมีความหนา และแน่นกว่าถุงน่องทั่วไป โดยทั่วไป จะมี ความดัน อยู่ในช่วง 20-30 mmHg การสวมจะต้องสวมตั้งแต่ โคนขา ถึง ข้อเท้า

ข้อวิจนิจฉัยการพยาบาล

ผู้ป่วยมีอาการปวดในขณะทำแผล

เสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดดำชั้นลึกของขาอุดตันซ้ำ

ข้อมูลสนับสนุน
S:ผู้ป่วยบ่นปวดในขณะทำแผล มากกว่า 3
O: สังเกตท่าทางผู้ป่วยไม่ให้ความร่วมมือในขณะทำแผล

เป้าหมายทางการพยาบาล
ผู้ป่วยไม่มีอาการปวดในขณะทำแผล

เกณฑ์การประเมิน

  1. ระดับความปวดในขณะทำแผล น้อยกว่า 3
  2. ผู้ป่วยได้รับการทำแผลได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องหยุดพัก

กิจกรรมการพยาบาล

   1. ปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาให้ยาแก้ปวดก่อนการทำแผล
  1. เลือกใช้วัสดุปิดแผลที่มีคุณสมบัติเป็น autolytic debridement เช่น กลุ่ม hydrocolloid หรือ hydrofiber
    1. อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงความจา เป็นของการกำจัดเนื้อตาย (debridement) ที่แผลออก

ข้อมูลสนับสนุน
S:ผู้ป่วยบอกว่าเคยมีประวัติเป็นหลอดเลือดดำชั้นลึกของขาอุดตัน
S:ผู้ป่วยบอกว่าไม่กล้าเดินมากเนื่องจากกลัวแผลอับเสบ
O:ผู้ป่วยให้ประวัติดื่มน้ำน้อยกว่า 8 แก้วต่อวัน
O:ขนาดของน่องโตกว่าปกติ > 3 เซนติเมตร
O:ค่า BMI > 32.5 kg/m2 6. ค่า INR < 2

เป้าหมายทางการพยาบาล
ผู้ป่วยไม่เกิดภาวะหลอดเลือดดำชั้นลึกของขาอุดตัน

เกณฑ์การประเมิน

  1. ผลตรวจ Duplex scan ไม่พบภาวะหลอดเลือดดำชั้นลึกของขาอุดตัน (หรือในกรณีเป็นการอุดตันเรื้อรังพบว่าลิ่มเลือดได้ละลายหมดไปแล้ว: recanalization)
  1. ผู้ป่วยสามารถเดินออกกำลังขาได้
  1. ผู้ป่วยดื่มน้ำได้อย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน
  1. ขนาดของน่องขาไม่เพิ่มขึ้น
  1. ค่า BMI < 32.5 kg/m2
  1. ในกรณีผู้ป่วยได้รับยา warfarin จะต้องมีค่า INR ปกติ เท่ากับ 2 – 3

กิจกรรมการพยาบาล

  1. อธิบายกายวิภาคและสรีรวิทยาของหลอดเลือดดำที่ขาในเรื่องกายวิภาคของหลอดเลือดดำที่ขา,การทำงานและกลไกการไหลเวียนของเลือดดำความสำคัญของกล้ามเนื้อน่องในการปั๊มเลือด
  1. อธิบายถึงพยาธสิรีรวิทยาของหลอดเลือดดำชั้นลึก อุดตันรวมถึง ผลของการเกิดลิ่มเลือดต่อลิ้นหลอดเลือดดำ,แรงดันที่เกิดขึ้นภายในระบบหลอดเลือด เช่น แรงดัน hydrostatic แรงดันจากหลอดเลือดแดงที่ถูกกถ่ายโอนไประบบหลอดเลือดฝอย และแรงดันในเนื้อเยื่อชั้นใต้ผิวหนัง ,การอธิบายถึงเรื่องต่างๆ เหล่านี้จะช่วยส่งเสริมให้เกิด การยอมรับต่อข้อจำกัด และการปฏิบัติตัวอย่าง เหมาะสมกับภาวะโรคที่เป็นอยู่
  1. ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับยา warfarin ควรดูแลให้ ได้รับการเจาะเลือดเพื่อตรวจค่า INR ทุกเดือน เพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนจากเลือดแข็งตัวผิดปกติ หรือมีอาการเลือดออกผิดปกติ
  1. วัดขนาดน่องขา โดยวัดจากปุ่มกระดูก tibial tuberosity ต่อลงมาประมาณ 10 เซนติเมตร
  2. สอนวิธีการป้องกันการเกิดการอุดตันซ้ำ เช่นการออกกำลังกายโดยการเดินส่งเสริมให้เกิดการเคลื่อนไหวร่างกาย กระตุ้นให้ยกขาสูงกว่าระดับหัวใจ ให้บ่อยที่สุด เท่าที่จะทำได้ในกรณีที่จำเป็นต้องจำกัดการเคลื่อนไหว อาจพิจารณาใช้ pneumatic pumping device
  3. สอนผู้ป่วยและญาติให้เฝ้าระวังอาการต่างๆ ดังนี้ขาหรือเท้ามีอาการบวมเพิ่มขึ้น รู้สึกชาและ เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเย็น หรือมีสีคล้ำขึ้นมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก หรือหายใจลำบาก

ข้อวินิจฉัยการพยาบาล

เสี่ยงต่อการเกิดแผลเลือดดำคั่งที่ขาเนื่องจากพยาธิสภาพของโรคเส้นเลือดขอด

ข้อมูลสนับสนุน

S:ผู้ป่วยบอกว่ามีประวัติความเจ็บป่วย ดังนี้

a. เคยเป็นหลอดเลือดดำชั้นลึกของขาอุดตัน

b. เคยได้รับการผ่าตัดกระดูกขาหรือเคยประสบอุบัติเหตุมีการบาดเจ็บบริเวณขา

c. มีประวัติเป็นแผลเลือดดำคั่งมาเป็นเวลานาน

S:ผู้ป่วยบอกว่าประกอบอาชีพที่ต้องยืนนิ่งๆ เป็นเวลานาน

d. มีประวัติเป็นโรคหัวใจ

O: ค่า BMI66 อยู่ในกลุ่มเสี่ยงระดับปานกลางถึงระดับเสี่ยงมากที่สุด

  • BMI = 18.5 – 23 kg/m2 อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ำ
  • BMI = 23 – 27.5 kg/m2 อยู่ในกลุ่มเสี่ยงปานกลาง
  • BMI = 27.5 – 32.5 kg/m2 อยู่ในกลุ่มเสี่ยงมาก
  • BMI = 32.5 – 37.5 kg/m2 อยู่ในกลุ่มเสี่ยงมากที่สุด

O: ภาวะทุพโภชนาการ (BMI ≤ 18.5 kg/m2 ) 71

O:มีประวัติได้ยาสเตียรอยด์

O:ผู้ป่วยไม่สวมถุงน่องทางการแพทย์ (Incompliance rate = 63%88)

แรงต้านหลอดเลือดส่วนปลายเพิ่มขึ้นเกิดจากการตีบแคบลงของหลอดเลือดแดง ความยืดหยุ่นของหลอดเลือดดำลดลงทำให้เลือดไหลกลับหัวใจทำให้เกิดการบีบเส้นเลือดเพิ่มขึ้น

เป้าหมายทางการพยาบาล
ผู้ป่วยไม่เกิดแผลเลือดดำคั่งที่ขา

1.ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด

ตรวจไม่พบโรคหรือภาวะผิดปกติที่เป็นต้นเหตุให้เกิดความดันโลหิตสูง

2.ทราบชนิด

เกณฑ์การประเมิน

โรคไต

หลอดเลือดแดงไตตีบ

เนื้องอกบางชนิดของต่อมหมวกไตหรือต่อมใต้สมอง

  1. ผู้ป่วยได้รับการตรวจ Duplex scan เพื่อประเมินสาเหตุของการเกิดแผล
  1. ผู้ป่วยได้รับการท าหัตถการหรือการผ่าตัดแก้ไขความผิดปกติที่หลอดเลือดดำชั้นตื้น
  1. ค่า BMI เป็นไปตามเกณฑ์ ดังนี้
    ถ้าค่า BMI = 18.5 – 23 kg/m2 : ให้รักษาระดับเดิมไว้
  • ถ้าค่า BMI = 23 – 27.5 kg/m2 : ลดให้ได้ค่า BMI = 23
  • ถ้าค่า BMI ≥ 27.5 kg/m2 : ลดน้ำหนักลงประมาณร้อยละ 10

1.การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

การลดน้ำหนัก

ใช้อาหารต้านความดัน

จำกัดเกลือในอาหาร

งดบุหรี่และเหล้า

ออกอำลังกาย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ครั้งละครึ่งชั่วโมง

การใช้ยาตามแผนการรักษาของแพทย์

กิจกรรมการพยาบาล

1.อธิบายถึงประโยชน์ของการออกกำลังกายและการบริหารกล้ามเนื้อขา พร้อมทั้งสอนสาธิตโดยในขณะนั่งทำงานให้กระดกปลายเท้าขึ้นลงอย่าง ช้าๆ ทำซ้ำ 10 ครั้ง (tip-toe exercises) ในขณะยืนทำงาน ให้เขย่งปลายเท้าขึ้นลงช้าๆ ทำซ้ำ 10 ครั้งในระหว่างวัน ควรหาเวลายืดกล้ามเนื้อน่องขา (calf stretching) โดยหันหน้าเข้ากำแพง มือดัน กำแพงตั้งฉากกับลำตัว ปลายเท้ากางออกกว้าง เท่าไหล่ และห่างจากกำแพงประมาณ 1 ฟุต บริหารขาขวาโดยวาดขาขวาไปด้านหลัง ย่อเข่า ซ้ายลงพร้อมดันตัวไปด้านหน้า จนรู้สึกน่องขวา ตึง ค้างไว้ 10 วินาที และทำซ้ำแบบเดียวกันใน ขาข้างซ้าย ทำซ้ำข้างละ 10 ครั้ง

2.อธิบายถึงประโยชน์ของ compression therapy โดยเฉพาะการใช้ถุงน่องทางการแพทย์เพื่อป้องกัน การเกิดแผลเลือดดำคั่งซ้ำ ดังนี้ ลดความดันของหลอดเลือดดำ,ลดขนาดของ capillaries pores ส่งผลให้การ รั่วซึมของสารน้ำในหลอดเลือดลดลง,ลดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของหลอดเลือดดำทำให้เลือดไหลเข้าสู่หัวใจเพิ่มมากขึ้น,ลิ้นหลอดเลือดดำทำงานมีดีขึ้น ทำให้เลือดไหล ย้อนกลับลดลง การคั่งของเลือดที่ข้อเท้าก็ลดลง,เมื่อการไหลเวียนเลือดดีขึ้น เนื้อเยื่อมีการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนได้มากขึ้น ส่งผลให้ แผลหายเร็วขึ้น

3.วัดความดันโลหิตอ่างสม่ำเสมอเมื่ออยู่บ้าน

  1. อธิบายถึงเหตุผล ประโยชน์และวิธียกขาสูงที่ถูกต้อง นาน 30 นาทีอย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์การยกขาในท่าที่ถูกต้องทำได้โดยให้นั่งเอนหลัง บนโซฟาหรือนอนบนเตียงและเอาหมอนใบใหญ่ หนุนใต้เข่าและปลายเท้า

ข้อวินิจฉัยการพยาบาล

ผนังหลอดเลือดชั้นกลางศูนย์เสียความยืดหยุ่นทำให้มีแรงดันกระทำในที่สุดผนังจากอ่อนแรง การไหลเวียนเหมือนปกติจากหัวใจไปแนวขวางสุดท้ายผนังจะมีการขยายออก

Nonspecific medial degeneration

Aortic dissection

Genetic disorders

Infection

Aortitis

การผ่าตัดแบบเปิด (open surgery

การผ่าตัดที่เป็นมาตราฐานผ่าตัดผ่านทางช่องทรวงอกโดยผ่าตัดช่องทรวงอกหรือช่องท้องขึ้นอยู่กับตำแหน่งแล้วใส้หลอดเลือดเทียมทดแทน

การผ่าตัดด้วยวิธีการสอดใส่หลอดเลือดเทียมชนิดหุ้มด้วยขดเลือด

วัตถุประสงค์ไม่เกิดภาวะหลอดเลือดดำชั้นลึกที่ขาอุดตันซ้ำ

ใส่ผ่านหลอดเลือดแดงที่ขาหนีบเพื่อสอดหลอดเลือดเทียมแทนหลอดเลือดแดงที่โป่งพอง

มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติจากการรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด

วัตถุประสงค์ไม่เกิดภาวะเลือดออกในอวัยวะที่ผิกปกติจากการรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด

1.มีการอุดตันของหลอดเลือดแดงที่เพิ่มมากขึ้นโดยหลอดเลือดแดงมีการจับตัวกันเป็นลิ่มเลือดในหลอดเลือดแดงและขยายเพิ่มขึ้น

ข้อมูลสนับสนุน

วัตถุประสงค์ไม่เกืดแผลเลือดดำคั่งที่ขาทั้ง 2 ข้าง

S:ผู้ป่วยบอกว่าได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด

O:ค่า INR > 3

เป้าหมายทางการพยาบาล
ผู้ป่วยที่ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด ไม่เกิดภาวะเลือดออกผิดปกติ

เกณฑ์การประเมิน

  1. ผู้ป่วยมีระดับ INR ปกติ 2 - 3
  1. ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะเลือดออกผิดปกติ ได้แก่ ปัสสาวะสีน้ำเหลืองใส ไม่มีรอยจ้ำเขียว ไม่มีเลือดกำเดาไหล ไม่มีเลือดออกตามไรฟัน และสีของอุจจาระไม่เปลี่ยนแปลง

กิจกรรมการพยาบาล

2.เนื้อเยื่อที่ขาดเลือดทำให้ความดันในช่องอกสูงมากยิ่งขึ้น

  1. แนะนำผู้ป่วยและญาติให้สังเกตอาการและอาการแสดงของภาวะเลือดออกผิดปกติ เช่น รอยจ้ำเขียว ปวดศีรษะ ถ่ายอุจจาระมีเลือดปนหรือถ่ายดำปัสสาวะเป็นสีน้ำล้างเนื้อ มีเลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน ไอหรืออาเจียนเป็นเลือด
  1. แนะนำผู้ป่วยและญาติถึงความจำเป็นของการ รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด ตาม ขนาดการรักษาของแพทย์อย่างถูกต้อง
  1. แนะนำให้ผู้ป่วยทราบถึงความเสี่ยงหรืออันตรายที่ อาจเกิดในขณะได้รับยา warfarin โดยเฉพาะถ้ามี การตั้งครรภ์ร่วมด้วย
  1. แนะนำผู้ป่วยและญาติให้หลีกเลี่ยงหรือจำกัด ปริมาณอาหารที่มีวิตามินเคสูง ได้แก่ ดอกกะหล่ำบรอคโคลี กะหล่ำปลี หน่อไม้ฝรั่ง ผักกระเฉด เครื่องเทศ ตับวัว ถั่วเขียว ชาเขียว กาแฟ นมถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากนม

3.เซลล์หลอดเลือดขนาดเล็กทำให้มีการอุดตันที่เพิ่มมากยิ่งขันในระดับ

Acute embolism

การอุดตันเฉียบพลันมี หัวใจ หลอดเลือดแดง aortaมีพยาธิสภาพจะมีภาะที่แตกต่างกัน

Acute thrombosis

การอุดตันเฉียบพลันจากหลอดเลือดแดงที่มีพยาธิสภาะอย่างเดิม

1.ให้ยา heparin ในระยะแรก

2.ประเมินโรคร่วม

3.หาสาเหตุของการอุดตันจาก emboli / thrombosis

4.ประเมินระดับการอุดตันของหลอดเลือด

5.ประเมินความรุนแรงของการอุดตัน

แหล่งอ้างอิง

วันดี โตสุขศรี(2559)การพยาบาลอายุรศาสตร์2(ฉบับปรับปรุงครั้งที่1)(พิมพ์ครั้งที่4)กรุงเทพฯ:โครงการตำราคณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล

ฐิติมา จำนงค์เลิศ. ( 2559 ). คู่มือการพยาบาลผู้ป่วยหลอดเลือดเเดงใหญ่ในช่องอกโปร่งพองที่ได้รับการผ่าตัดวิธีใส่หลอดเลือดเทียมผ่านทางหลอดเลือด. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยมหิดล

ปิยนุช พูตระกูล.(2559).ภาวะหลอดเลือดแดงอุดตัน.สืบค้นมื่อวันที่ 2มิถุนายน 2563 จาก:https://med.mahidol.ac.th/surgery/sites/default/files/public/pdf/Vas03.pdf

สมาคมความดันโลหิตสูงแห่งชาติ.(2562).การรักษาโรคความดันโลหิตสูงในเวชปฏิบัติทั่วไป.(พิมพ์ครั้งที่ 1).เชียงใหม่.สมาคมความดัยโลหิตสูง.

สาเหตุ

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

มีแผล และการอักเสบของเท้า ขา อวัยวะเพศ

การอักเสบของช่องปาก และช่องคอจากเชื้อแบคทีเรีย

ผลข้างเคียงจากการใช้ยาหรือการแพ้ยาบางชนิด

การติดเชื้อของเนื้อเยื่อหรืออวัยวะต่าง ๆ

การอุดตันของท่อน้ำเหลืองหลังผ่าตัดเต้านม

การใช้ยา

การรักษาโรคมะเร็ง

การระบายหนองออกจากฝี

แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานยาลดปวด ลดไข้ ควบคู่กับการประคบด้วยน้ำอุ่นเพื่อให้อาการบวมจากการอักเสบค่อย ๆ ลดลง

ในรายที่มีสาเหตุของต่อมน้ำเหลืองอักเสบจากการติดเชื้อ แพทย์จะสั่งใช้ยาปฏิชีวนะ เพื่อลดอาการติดเชื้อ ซึ่งจะช่วยให้อาการอื่น ๆ เช่น ลดอาการปวดบวมลง

การอักเสบของต่อมน้ำเหลืองอันเนื่องมาจากการติดเชื้อ อาจทำให้เกิดฝีได้ จึงอาจต้องมีการเจาะเพื่อระบายของเหลวภายในฝีออก โดยวิธีนี้ควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญ หรือแพทย์เท่านั้น

หากภาวะต่อมน้ำเหลืองอักเสบเกิดจากเนื้องอกที่มีเซลล์มะเร็ง ผู้ป่วยจะต้องเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งอย่างเป็นขั้นตอน โดยวิธีการรักษานั้นมีหลากหลายวิธี ได้แก่ การผ่าตัด การทำเคมีบำบัด หรือฉายแสง

Wicklin SAV, Ward K, & Cantrell SW.(2006).Implementing a research utilization plan for prevention
of deep vein thrombosis. AORN Journal,83(6),1351-68.

เสียงต่อการอุดตันของท่อน้ำเหลืองเนื่องจากมีการผ่าตัดเต้านม

ข้อมูลสนับสนุน

วัตถุประสงค์

เกณฑ์การประเมินผล

กิจกรรมพยาบาล

ณัฐวุฒิ เสริมสำธนสวัสดิ์.(2016).Pathologic perforator incompetence:ศัลยศำสตร์หลอดเลือดประยุกต์ เล่ม 3,392-398

คมกริช ฐานิสโร.(2560).นานาโรคหลอดเลือดดำกับวิธีการรักษา.สืบค้นเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2563,
จาก https://www.bangkokhospital.com/th/disease-treatment/venous-disease-with-treatment-methods

ผู้ป่วยและญาติพร่องความรู้และทักษะการปฏิบัติตนจากภาวะบามน้ำเหลือง

วัตถุประสงค์

ข้อมูลสนับสนุน

กิจกรรมการพยาบาล

เกณฑ์การประเมินผล

S; ผู้ป่วยบ่นปวดเต้านม

O;- เต้านมผู้ป่วยมีอาการบวม,แดง

-น้ำเหลืองมีการไหลเวียนได้น้อย

ไม่เกิดการอุดตันของท่อน้ำเหลืองหลังจากผ่าตัดเต้านม

ผู้ป่วยเคลื่อนไหวแขนได้ปกติ

มีการไหลเวียนน้ำเหลืองได้ปกติ

ผู้ป่วยไม่มีอาการปวดเต้านม

-ผู้ป่วยบอกแขนเคลื่อนไหวลำบาก

เต้านมผู้ป่วยไม่มีอาการบวม,แดง

3.เฝ้าระวังการติดเชื้อบริเวณข้างที่ผ่าตัด หากมีแผลให้ทาความสะอาดทันที และสังเกตอาการติดเชื้อ เพื่อให้เกิดการหายของแผล

5.แนะนำให้หลีกเลี่ยงยกของหนัก มากกว่า 1 กิโลกรัม สวมเสื้อผ้าที่แน่น ใส่เสื้อเสื้อชั้นในขนาดใหญ่ หรือไม่มีสายคล้อง

4.ฝึกการเคลื่อนไหวของไหล่และแขนสม่ำเสมอ ยกแขนให้สูง ห้อยแขนขณะนอน และไม่นอนทับแขนข้างผ่าตัด เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของน้ำเหลือง

2.ดูแลสายระบายบริเวณแผลผ่าตัด Observe จานวน สี สิ่งคัดหลั่งจากขวดระบาย กดแผลภายนอกบริเวณรักแร้แขนข้างผ่าตัดเบาๆ เพื่อช่วยลดการคั่งค้าง

1.ประเมินสัญญาณชีพ และประเมินอาการบวมทุกๆ 4 ชั่วโมง เพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน

ผู้ป่วยและญาติเข้าใจ และสามารถปฏิบัติตนเกี่ยวกับโรคได้ถูกต้อง

ผู้ป่วยไม่ทราบเความรู้เกี่ยวกับการรักษาภาวะบวมน้ำเหลือง

ผู้ป่วยไม่ทราบเกี่ยวกับสาเหตุและปัจจัยส่งเสริมที่ทำให้เกิดภาวะบวมน้ำเหลือง

ผู้ป่วยทราบและสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับสาเหตุและปัจจัยส่งเสริมที่ทำให้เกิดภาวะบวมน้ำเหลืองได้อย่างถูกต้อง

ผู้ป่วยทราบเกี่ยวกับการรักษาภาวะวมน้ำเหลือง และสามารถปฏิบัติตนได้ถูกต้อง

  1. อธิบายสาเหตุการเกิดภาวะบวมน้ำเหลือง รวมถึงปัจจัยส่งเสริมที่ทำให้เกิดภาวะบวมน้ำเหลืองนี้ เพื่อให้ผู้ป่วยได้เข้าใจถึงสาเหตุการเกิดของโรคนี้
  1. อธิบายการปฎิบัติตัวเมื่อเกิดอาการปวด หรือมีอาการบวม ให้ยกอวัยวะที่บวมนั้นให้สูง เพื่อช่วยให้น้ำเหลืองที่ค่งคืนสู่กระแสเลือด
  1. อธิบายเกี่ยวกับวิธีการรักษาต่างๆ ของภาวะบวมน้ำเหลืองให้ผู้ป่วยทราบ
  1. ตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของผู้ป่วยโดยการซักถามถึงประเด็นที่ได้พูดข้างต้นอและทวนข้อมูลอีกครั้ง

นางสาว ปิยะวดี ไทยแท้ รุ่น36/1 เลขที่ 74 (612001075)

นางสาวดลยา แก้วเกร็ด รุ่น 36/2 เลขที่ 11 (612001091)

นางสาวสหทัย ชาวโพงพาง รุ่น 36/2 เลขที่ 36 (612001116)

นางสาวสิริกร คลอดกลาง รุ่น36/2 เลขที่ 37 (612001118)

นางสาวสุพรรษา แย้มวาที รุ่น 36/2 เลขที่ 42 (612001123)

นางสาวสุรีรัตน์ พึงประสพ รุ่น36/2 เลขที่ 46 (612001127)

นางสาวสุวิมล เกิดเรียน รุ่น 36/2 เลขที่ 50 (612001131)

นางสาวอรณา สุทธิเชษฐ์ รุ่น36/2 เลขที่ 57 (612001138)

นางสาวอรณิชา ไชยเดช รุ่น 36/2 เลขที่ 58 (612001139)

นางสาวอิสรา ภู่มาลี รุ่น36/2 เลขที่ 65 (612001146)

สมาชิกกลุ่ม

เนื้อเยื่อส่วนปลายได้รับเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ
เนื่องจากการอุดตันของหลอดเลือดแดง

ข้อมูลสนับสนุน

S : ผู้ป่วยบอกว่าเป็นโรคไขมันในเลือดสูงมานาน 5 ปี

S : ผู้ป่วยบ่นปวดน่องข้างขวา ปวดมากขณะเดิน
ต้องนั่งพักจึงจะดีขึ้น

O : ผิวหนังบริเวณปลายเท้าข้างขวามีสีคล้ำม่วง
ขนบริเวณหลังเท้าร่วง

O : คลำเท้าข้างขวาเย็นกว่าเท้าข้างซ้าย

O : ผลการตรวจความดันหลอดเลือดที่ขา (ABI) = 0.60

วัตถุประสงค์

เนื้อเยื่อส่วนปลายได้รับเลือดไปเลี้ยงอย่างเพียงพอ

เกณฑ์การประเมินผล

  • ผู้ป่วยมีอาการปวดขาลดลงจากเดิม
  • ผิวหนังบริเวณปลายเท้าไม่คล้ำม่วง ขนไม่ร่วง
  • อุณหภูมิเท้าข้างขวาและซ้ายเท่ากัน และไม่เย็น
  • ความดันหลอดเลือดที่ขาอยู่ในระดับปกติ 1.00 - 1.40

กิจกรรมการพยาบาล

1.ประเมินระดับความรุนแรงการอุดตันของหลอดเลือดแดง
2.ประเมินโรคร่วม โดยเฉพาะโรคที่ที่ส่งผลต่อการอุดตันของหลอดเลือดแดง เช่น โรคไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน เป็นต้น
3.ดูแลให้ได้รับยา Heparin ตามแผนการรักษาของแพทย์ และเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับยา ได้แก่ ภาวะเลือดออก และภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เป็นต้น
4.ให้คำแนะนำในการปฏิบัติตนที่เหมาะสมกับโรค ดังนี้

  • ออกกำลังกายโดยการเดินอย่างน้อย 30 - 45 นาที
    สัปดาห์ละ 3 - 5 วัน
  • ตรวจและควบคุมระดับไขมันในเลือดสูง หรือรับประทานยาไขมันในเลือดสูงตามแผนการรักษาของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
  • งดสูบบุหรี่
  • มาพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ

วิตกกังวลเกี่ยวกับการผ่าตัด เนื่องจากมีเนื้อตายที่นิ้วก้อยเท้าข้างซ้าย จากการอุดตันของหลอดเลือดแดงเรื้อรัง

ข้อมูลสนับสนุน

S : ผู้ป่วยบอกว่ายังไม่พร้อมที่จะผ่าตัด
อายุยังน้อย ถ้าผ่าตัดแล้วไม่ฟื้นจะทำอย่างไร

O : ผู้ป่วยมีอาการซึมลง นอนเอามือก่ายหน้าผาก
และถอนหายใจหลายครั้ง
O : คิ้วขมวด
O : สีหน้าเคร่งเครียด

วัตถุประสงค์

คลายความวิตกกังวล และเข้าใจแผนการรักษาโดยการผ่าตัด

เกณฑ์การประเมินผล

  • ผู้ป่วยมีสีหน้าท่าทางที่ดีขึ้น บอกว่าพร้อมที่จะได้รับการผ่าตัด

กิจกรรมการพยาบาล

1.อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจในความจำเป็นที่จะต้องตัดนิ้วก้อยเท้าข้างซ้าย และขั้นตอนต่างๆในการผ่าตัด รวมทั้งให้ความมั่นใจกับผู้ป่วยเกี่ยวกับทีมบุคลากรสุขภาพที่จะคอยดูแลช่วยเหลือผู้ป่วอย่างใกล้ชิดทั้งก่อนและหลังผ่าตัด
2.เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยระบายความรู้สึกต่างๆ และซักถามข้อสงสัย โดยพยาบาลเป็นผู้ฟังที่ดี
3.แนะนำผู้ป่วยให้พูดคุยกับผู้ป่วยรายอื่น ที่ได้รับการตัดนิ้วเท้า และประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูสภาพ
4.ส่งเสริมให้ญาติมีส่วนร่วมในการดูแลและให้กำลังใจผู้ป่วย
5.เมื่อผู้ป่วยพร้อม ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวก่อนและหลังผ่าตัด

click to edit