Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 3 การตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ - Coggle Diagram
บทที่ 3 การตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ
Biochemical assessment
Maternal serum alpha-fetoprotiemn: MSAFP)
เป็นการตรวจเลือดมารดา เพื่อประเมินความพิการแต่กําเนิดและความผิดปกติทางโครโมโซมของทารก โดยเฉพาะภาวะ neural tube defect (NTD)
เวลาที่เหมาะสมในการตรวจ คือ GA16 –18 wks
ระดับ MSAFPสูงผิดปกติ
อาจพบในรายที่มีทารกตายในครรภ์
Congenital nephrosis
Neural tube defect
Esophageal atresia
Turner’s syndrome
ระดับ MSAFPต่ำกว่าปกติ
Down’s syndrome
Amniocentesis
ข้อบ่งชี้การเจาะน้ำคร่ำ
การค้นหาโรคที่ถ่ายทอดพันธุกรรม เช่น โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย
การนำน้ำคร่ำมาวิเคราะห์ DNAหาระดับของ alphafetoprotein(AFP) และ acetylcholinesteraseในกรณีที่สงสัยneural tube defect
การตรวจหาความผิดปกติทางโครโมโซม เช่น Down’s syndrome
ตรวจหาความสมบูรณ์ของปอด
ช่วงเวลาในการเจาะน้ำคร่ำ
GA 9-14 wks
GA16 -18 wks
การแปลผล
การเจาะน้ำคร่ำเพื่อส่งตรวจความผิดปกติของโครโมโซม จะรายงานเป็น แบบแผนและลักษณะของโครโมโซมทั้ง 23 คู่ของทารกในครรภ์ว่าครบ จำนวนหรือไม่ ถ้ามีความผิดปกติ เกิดที่ตำแหน่งใด และโครโมโซมคู่ใด
ภาวะแทรกซ้อน
ทารกบาดเจ็บจากการถูกเข็มเจาะ
การสูญเสียทารกแรกเกิด
การติดเชื้อที่ถุงนํ้าคร่ำ
อาจเกิดความพิการของเท้า กระดูกและเชิงกรานได้
ถุงนํ้าคร่ำรั่วหรือมีเลือดออกทางช่องคลอด
การพยาบาล
ขณะเจาะ
อยู่กับผู้รับบริการขณะแพทย์ทำหัตถการ
สังเกตอาการผิดปกติที่อาจจะพบได ้เช่น supine hypotension syndrome เนื่องจากนอนหงายเป็นเวลานาน
หลังเจาะ
ดูแลให้นอนพักผ่อน30 นาที –1 ชั่วโมง
ฟัง FHS ทุก 15 นาที จนครบ 1 ชั่วโมง
ผู้รับบริการนอนหงาย กดแผลหลังจากแพทย์เอาเข็มออกด้วยก๊อซ นานประมาณ 1 นาที และปิดแผลด้วยพลาสเตอร์
ถ้าปวดแผลบริเวณที่เจาะสามารถรับประทานยาแก้ปวด
งดมีเพศสัมพันธ์ภายหลังการเจาะ 7 วัน
ก่อนเจาะ
ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจและการแก้ปัญหา ในกรณีที่มีความผิดปกติ
ให้ลงนามในใบอนุญาตการยอมรับการตรวจ
นัดตรวจล่วงหน้าเพื่อหาระยะเวลาที่เหมาะสมในการตรวจ
เตรียมผู้รับบริการถ่ายปัสสาวะก่อนตรวจเพื่อให้กระเพาะปัสสาวะว่าง
ให้คำปรึกษาตามแนวทางการให้คำปรึกษาทางพันธุกรรม
จัดให้นอนในท่านอนราบบนเตียง คลุมผ้า และทาเจลบริเวณที่แพทย์จะ U/Sหาตำแหน่งน้ำคร่ำ
การหาระดับEstriolในปัสสาวะและใน Plasma
การตรวจหาระดับ estriolในปัสสาวะ
แปลผลที่ผิดปกติ
ค่า estriolลดลงฉับพลัน คือ ผลการตรวจครั้งใดครั้งหนึ่งตํ่ากว่าค่าเฉลี่ยเกิน50 %
ค่า estriolต่ำอย่างเรื้อรัง คือ ต่ำกว่า 2-SD ของค่าเฉลี่ยทุกคร้ังที่ตรวจ
ค่า estriolค่อยๆ ลดต่ำลงเรื่อย ๆ
การตรวจหาระดับ estriolในเลือด
แปลผล
ค่า สูง พบในเบาหวาน ครรภ์แฝด
ค่า ต่ำ พบในทารกในครรภ์มีต่อมหมวกไตฝ่อ หรือ anencephaly
ข้อบ่งชี้ในการตรวจ
สตรีที่เป็นความดันโลหิตสูง
อายคุรรภ์เกินกําหนด
สตรีที่มีเบาหวานขณะตั้งครรภ์
มีประวัติทางสูติกรรมไม่ดี
Chorionic VilliSampling: CVS
ข้อบ่งชี้
การตรวจวินิจฉัยโรคธาลสัซีเมีย
การตรวจดูความผิดปกติของฮีโมโกลบินในทารกก่อนคลอด
มารดาตั้งครรภ์ที่มีอายุมาก
ภาวะแทรกซ้อน
การแท้ง
การติดเชื้อ
ภาวะทารกพิการแต่กำเนิด
ถุงน้ำคร่ำรั่ว
การพยาบาล
จัดเตรียมอุปกรณ์ให้สะอาดปราศจากเชื้อ น้ำยาเพาะเลี้ยงเซลล์ (culture media)
ให้กำลังใจและอยู่เป็นเพื่อน ขณะแพทย์ทำการตรวจ
วัดสัญญาณชีพ
จัดเตรียมภาชนะใส่พร้อมฉลากที่เขียนชื่อ สกุล HN วันเวลาที่เจาะ
ดูแลให้อยู่ในท่าlithotomyกรณีจะตรวจโดย transcervicalroute
ช่วยแพทย์เก็บเนื้อรก โดยเนื้อรกทเี่ก็บไม่ควรตํ่ากว่า 10 –30 มิลลกิรัม
ภายหลังตรวจเสร็จ ดูแลให้หญิงตั้งครรภ์นอนพักวัดสัญญาณชีพ
แนะนําให้งดทำงานหนักอย่างน้อย 1 วัน และงดการมัเพศสัมพันธ์ 1-2สัปดาห์
ไม่จําเป็นต้องทำให้กระเพาะปัสสาวะว่าง
แนะนําให้รีบมาโรงพยาบาลทันทีถ้ามีอาการผิดปกติภายหลังการทํา เช่น ปวด ท้องรุนแรง มีเลือดออก
อธิบายวัตถุประสงค์ วิธีการทำ และการปฏิบัติตัวภายหลังทำ
Clement’s Foam test (Shake test)
หลักการ
ถ้าในน้ำคร่ำมี surfactantมากพอ เมื่อผสม ethanolจะ เกิดฟองอากาศขึ้นที่ผิวหน้าต่อระหว่างอากาศกับของเหลว
วิธีที่1 ใช้หลอดทดลองขนาด 13 x 100 ml 2 หลอด
ถ้าเกิดฟองอากาศเกิดขึ้นและคงอยู่ นาน 15 นาทีทั้ง 2 หลอด แสดงว่า ได้ผลบวก บ่งชี้ว่าทารกมีโอกาสเกิด RDS น้อย
ถ้าพบฟองอากาศเฉพาะหลอดที่ 1 แสดงว่า ได้ผลลบ ปอดของทารก ยังไม่สมบูรณ์
วิธีที่2 ใช้หลอดทดลอง 5 หลอด
มีฟองอากาศ 3หลอดแรก แสดงว่า ได้ผลบวก ปอดของทารกเจริญเต็มที่
มีฟองอากาศ 2 หลอดแรก แสดงว่า ได้ผล intermediate ปอดทารกยัง
เจริญไม่เต็มที่
มีฟองอากาศหลอดเดียวหรือไม่พบ แสดงได้ผลลบ ปอดทารกยังเจริญไม่เต็มที่
Cordocentesis
ข้อบ่งชี้
การวินิจฉัยโรคทารกก่อนคลอด
ดูความผิดปกติของระบบเลือด เช่น ภาวะเลือดออกผิดปกติธาลัสซีเมีย
มารดาอายุมากที่มาฝากครรภ์ช้า
ความผิดปกติที่พบจาก U/S ที่สงสัยความผิดปกติทางโครโมโซม
การประเมินทารกในครรภ์
การติดเชื้อในครรภ์ เช่น โรคหัดเยอรมัน
Immune thrombocytopenic purpura
ภาวะทารกบวมนํ้า
Red cell isoimmunization
ทารกในครรภ์มีภาวะต่อมไทรอยด์ผิดปกติ
ความผิดปกติทางโครโมโซมในทารก
ภาวะแทรกซ้อน
การเสียเลือดมากเกินไปจนอาจทาํให้ทารกเสียชีวิตได้
ภาวะหัวใจทารกเต้นช้า พบได้บ่อย
การคลอดก่อนกำหนด
การติดเชื้อ
การพยาบาล
การเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
ตรวจสอบการดิ้นของทารก
การฟังเสียงการเต้นของหัวใจทารก
ติดตามประเมินสภาพทารกในครรภ์ โดยใช้เครื่อง EFM
ภายหลังการตรวจ ประเมินภาวะเลือดออกจากสายสะดือโดยการ ติดตามผล U/Sและ fetal monitoring 30 –60 นาที
L/S Ratio
Lecithin และ Sphingomyelin
phospholipids ซึ่งเป็นสาร surfactant คลุมถุงลมปอดทารกในครรภ์
ช่วยให ้alveoliขยายวัดได้ดีไม่เกิด collapse ของ alveoli ในขณะที่ทารกมีการหายใจออก
ค่าปกติ
ใน 26 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ค่า S > L
อายุครรภ์ 26 –34 สัปดาห์ ค่า L/S = 1 : 1
อายุครรภ์34 –36 สัปดาห์ ค่า L จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ S จะลดลงเล็กน้อยทำให้ ้ratio สูงขึ้น เปลี่ยนเป็น 2: 1
ถ้า L/S ratio > 2 แสดงว่า ปอดของทารกสมบูรณ์เต็มที่ โอกาสเกดิภาวะ RDS ตํ่า
Electronic Fetal Monitoring
ชนิด
Internal or direct monitoring
External monitoring
CST
การแปลผล
Suspicious
base line variability อาจปกติหรือลดลง
ถ้าไม่มีการเพิ่มของ FHS เมื่อทารกดิ้น ควรทำซํ้าใน 24 ชั่วโมง
มี late deceleration เป็นครั้งคราว
Hyperstimulation
มดลูกมีการหดรัดตัวมากกว่าปกติ หรือหดรัดตัวแรงมาก
ในกรณีนี้ถ้ามี late deceleration เกิดขึ้นจะแปลผลไม่ได้
Positive
base line variability มักจะลดลงกว่าปกติ
FHSไม่เพิ่มเมื่อทารกดิ้นหรือมดลูกหดรัดตัว
มี late deceleration ทุกครั้งในระยะช่วงท้ายของการหดรัดตัวของมดลูก
Unsatisfactory
ไม่สามารถแปลผลเนื่องจากกราฟที่บันทึกไม่สามารถอ่านได้หรือมีการหดรัดตัวของมดลูกน้อยกว่า 3 ครั้งในเวลา 10 นาที
Negative
ไม่มี late deceleration
base line variability ปกติ
FHS เพิ่มขึ้นหลังทารกดิ้นหรือมดลูกหดรัดตัว
การพยาบาล
สังเกตอาการทุก 15-20 นาทีเพื่อประเมิน FHS
สังเกตการหดรัดตัวของมดลูกถ้ามดลูกหดรัดตัวเองไม่ต้องให้ยา oxytocin
ดูแลให้ได้รับ oxytocin ทางหลอดเลือดดำ
ดูแลให้ tocodynamometer และ Droppler tranducer ติดกับหน้าท้องของหญิงตั้งครรภ์
วัดBP
ถ้าพบว่ามี late deceleration เกิดขึ้นทุกครั้งที่มดลูกหดรัดตัวให้สรุปว่าเป็นผลบวกและให้หยุดทดสอบยา
จัดให้นอนท่าตะแคงซ้ายหรือศีรษะสูงเพื่อให้เลือดไปเลี้ยงมดลูกเพิ่มขึ้น
ดูแลปรับหยด oxytocin เริ่มให้อัตรา 0.5 มิลลิยูนิต/นาทีและเพิ่มอัตราอย่างช้า ๆ เช่นเพิ่ม 2 เท่าทุก ๆ 15 นาทีจน good contraction
ข้อบ่งชี้
เหมือนการทำ NST
ข้อห้ามPlacenta previa, Previous C/S, Preterm, PROM, Multiple gestation เป็นต้น
์NST
ข้อบ่งชี้
ตรวจพบน้ำคร่ำปนขี้เทาจากการเจาะน้ำคร่ำ
ตรวจพบระดับ estriol ผิดปกติ
ประวัติคลอดไร้ชีพ (still birth)
อายุ 35 ปีขึ้นไปและตั้งครรภ์แรก
ตั้งครรภ์เกินกำหนด
ภาวะเลือดแม่ลูกไม่เข้ากัน
สงสัยทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์
หญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงเช่นโรคเบาหวานโรคความดันโลหิตสูงโรคหัวใจโรคโลหิตจางโรคไทรอยด์เป็นพิษเป็นต้น
การแปลผล
Non-reactive
การเพิ่มขึ้นของ FHR ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ห์รือไม่มีการเพิ่มขึ้น ของ FHR เลยในการตรวจนาน 40 นาทีควรตรวจ OCT หรือ BPP ต่อ
Uninterpretable
คุณภาพการทดสอบไม่สามารถแปลผลได้
ควรทำภายใน 24-48 ชั่วโมง
Reactive
FHS เพิ่มจาก baseline ≥15 ครั้ง/นาที และคงอยู่นาน≥ 15 วินาทีในแต่ละครั้งของการดิ้น เกิดขึ้นอย่างน้อย 2 ครั้ง ภายใน 20 นาที
ขณะที่มี acceleration อาจจะมีหรือไม่มีการดิ้นของทารก ในครรภ์ร่วมด้วยก็ได้
FHS 120-160 ครั้ง/นาที
Suspicious
การเพิ่มของ FHS < 2 ครั้ง หรืออัตราเพิ่ม< 15 ครั้ง/ นาที หรืออยู่สั้นกว่า15 วินที เมื่อทารกดิ้น
มี long term variability
การพยาบาล
วัดBP
ดูแลไม่ไห้เครื่องหลุด
จัดท่านอน Semi-fowler position
บันทึก FHS ตลอดการทดสอบ
อธิบายถึงขั้นตอนและวิธีการ
แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์กด marker เมื่อทารกดิ้น
สังเกตอาการของภาวะ supine hypotension
หลังตรวจเสร็จดูแลให้ลุกช้า ๆ และให้คำแนะนำที่เหมาะสม
ความหมาย
Baseline Fetal Heart Rate หมายถึงอัตราการเต้นของหัวใจทารกในภาวะปกติค่าปกติอยู่ระหว่าง 120-160 ครั้ง / นาที
ลักษณะการเต้นของหัวใจทารก
Fetal Tachycardia
ถ้าFHR 161-180ครั้ง/นาที เป็นชนิดเล็กน้อย
ถ้า FHR> 180ครั้ง/นาที เป็นชนิดรุนแรง
baseline >160 ครั้ง/นาที อยู่นานมากกว่า 10นาที
Fetal bradycardia
FHS < 120 ครั้ง/นาที อยู่นาน > 15นาที
ถ้ามี variability ปกติ และ acceleration ร่วมด้วยก็ไม่มี fetal distress
มักเกิดจากการกดศีรษะทารกมาก
ถ้ารุนแรงเป็นผลจาก fetal hypoxia
Periodic FHR pattern
Late deceleration
FHS ค่อย ๆ ลดลงและกลับเข้าสู่ Baseline อย่างช้า ๆ สัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูกเริ่มเกิดขึ้นเมื่อมดลูกเริ่มหดรัดตัวเต็มที่แล้วและ FHS จะเข้าสู่กาวะปกติเมื่อมดลูกคลายตัวเต็มที่
เกิดจากรกเสื่อมสภาพ (utero insufficiency) แสดงว่าทารกขาดออกซิเจนต้องได้รับการช่วยเหลือ
Variable deceleration
กราฟที่แสดงจะเป็นรูปตัว U, W, V shape
ถ้าภายหลังจากที่ FHS ลดลงแล้วกลับคืนสู่สภาพเดิมเร็วเป็นระดับไม่รุนแรง แต่ถ้ากลับคืนสู่สภาพเดิมช้าเป็นระดับรุนแรง
onset, ความลึกและระยะเวลาไม่สัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูก แต่สัมพันธ์กับกาวะที่สายสะดือของทารกถูกกด
เกิดจาก cord compression หรือน้ำคร่ำน้อยทำให้สายสะดือถูกกด
การลดลงของ FHR ต่ำกว่า baseline โดยลดลงมากกว่า 15 ppm เป็นเวลามากกว่า 15 วินาที แต่น้อยกว่า 2 นาที
Early deceleration
FHS เริ่มลดลงเมื่อมดลูกเริ่มหดรัดตัวและกลับสู่ base line เมื่อมดลูกคลายตัว
ถือเป็นกาวะปกติผลจากศีรษะถูกกด (head compression) ทำให้มีการเพิ่มความดันในสมองเกิด Vagus reflex ไปยังหัวใจทำให้ FHR ลดลง
Biophysical assessment
Ultrasound
การพยาบาล
เตรียมอุปกรณ์และสถานที่ตรวจโดยกั้นม่านให้เรียบร้อยจัดให้นอนหงายหัวสูงเล็กน้อยมีหมอนรองใต้เข่าและหลังควรนอนตะแคงซ้ายเล็กน้อยเพื่อป้องกันกาวะ Supine hypotension
เปิดผ้าคลุมเฉพาะหน้าท้องอธิบายให้หญิงตั้งครรภ์ทราบถึงระยะเวลาในการตรวจจะใช้เวลา 10-30 นาที
ในไตรมาสที่ 1 ดูแลให้มี bladder full
ทำความสะอาดหน้าท้องหลังตรวจ
งดน้ำงดอาหารในบางกรณีเช่นครรภ์นอกมดลูก, รกเกาะต่ำที่ต้องผ่าตัด
บันทึกผล
. ให้คำปรึกษา
ระยะเวลาในการUltrasound
ควรตรวจเมื่อ GA 7-10 wks ผิดพลาดไม่เกิน 5 วันช่วงนี้เชื่อถืออายุครรภ์ได้สูงสุด
หากตรวจในช่วงไตรมาสที่ 2 (GA15-28 wks) จะมีความคลาดเคลื่อนจากที่ประเมินไป 1 สัปดาห์
การตรวจเพื่อวินิจฉัยอายุครรภ์ควรประเมินในช่วงแรกของการตั้งครรภ์จะมีความแม่นยำมากกว่าการประเมินในช่วงหลังของการตั้งครรภ์
ข้อบ่งชี้
การตรวจวินิจฉัยความพิการ แต่กำเนิดของทารก
การวินิจฉัยครรภ์แฝด
การตรวจวินิจฉัยสาเหตุการมีเลือดออกทางช่องคลอด
การวินิจฉัยเนื้องอกในอุ้งเชิงกราน
ติดตามการเจริญเติบโตของทารกจากค่า parameter ต่างๆ
วินิจฉัยอายุครรภ์การกำหนดและยืนยันอายุครรภ์ที่แน่นอน
การตรวจตำแหน่งความผิดปกติและภาพของรกบอกตำแหน่งที่รกเกาะ
ใช้ศึกษาหลอดเลือดหลักของทารกเพื่อติดตามการเจริญเติบโต
Biophysical profile (BPP)
เกณฑ์ในการประเมิน BPP
การเกร็งตัวของทารก
2 คะแนนคือแขนขาหรือลำตัวเหยียดออกและหดเข้าบิดไปมาแล้วคืนสภาพเดิม
0 คะแนนคือไม่เห็นการแหยียดแขนขาหรือไม่เข้ารูปเดิม
การที่หัวใจของทารกตอบสนองต่อการเคลื่อนไหว (NST)
2 คะแนนคือเมื่อเคลื่อนไหวมี FHS เร็วขึ้น> 15 / min อยู่นานอย่างน้อย 2 ครั้งใน 30 นาที
0 คะแนนคือเมื่อเคลื่อนไหว FHS <15 / min อยู่นาน <2 ครั้งใน 30 นาที
การเคลื่อนไหวของทารก
2 คะแนนคือหมุนแขนขาเคลื่อนไหวไปมาอย่างน้อย 3 ครั้งในเวลา 30 นาที
0 คะแนนคือพบเคลื่อนไหว 2 ครั้งหรือน้อยกว่า
ปริมาณของน้ำคร่ำ
2 คะแนนคือในแนวดิ่ง 2 แนวเห็นน้ำคร่ำอย่างน้อย 1 ช่องไม่น้อยกว่า 1 ชม.
0 คะแนนคือไม่เห็นน้ำคร่ำในแนวดิ่งหรือวัดได้ <1 ซม.
การหายใจของทารก
2 คะแนนคือเห็นการเคลื่อนไหวที่แสดงการหายใจนานอย่างน้อย 30 วินาที ในเวลา 30 นาที
0 คะแนนคือไม่เคลื่อนไหวใน 30 นาทีหรือเคลื่อนไหว <30 วินาที
การแปลผล
4 –6 ผิด ปกติควรเฝ้าติดตามอาการ อย่างใกล้ชิด
0-2 ผิดปกติควรยุติการตั้งครรภ์
8 –10 ปกติ
แนวทางการดูแลรักษา
0-6 คะแนน ให้คลอดเลย
8-10 คะแนน ทารกอยู่ในสภาพปกติ รอต่อไปได้ให้คลอดตามข้อบ่งชี้ทางสูติศาสตร์หรือข้อบ่งชี้ทางมารดา
ข้อดี
ไม่มีความเจ็บปวดขณะตรวจ
ค่าใช้จ่ายไม่สูง
ไม่ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลค่าใช้จ่ายไม่สูง
ความผิดพลาดน้อย
ข้อจำกัด
ไม่สามารถทำนายสภาวะทารกในอนาคตได้และยังไม่มีรายงานวิจัยที่สนับสนุนเพียงพอในกรณีที่คะแนนต่ำกับพัฒนาการของทารกในระยะยาว
ปัจจุบันมักจะทำในรายที่มีภาวะเสี่ยงโดยทำการตรวจสัปดาห์ละ 1 ครั้งและทำสัปดาห์ละ 2 ครั้งในครรภ์เสี่ยงสูงเช่นเบาหวานหรือตั้งครรภ์เกินกำหนด
ใช้เวลาตรวจนานและต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการตรวจและแปลผล
การพยาบาล
พยาบาลจะต้องมีความรู้ความเข้าใจวิธีการตรวจเพื่อเป็นแนวทางในการข้อมูลแก่หญิงตั้งครรภ์การขอความร่วมมือในการตรวจและผ่อนคลายความวิตกกังวลและความกลัวต่าง ๆ
ควรมีการติดตามผลการตรวจเพื่อจะช่วยให้สามารถนำมาวางแผนการให้การพยาบาลอย่างเหมาะสมกับปัญหาของหญิงตั้งครรภ์แต่ละราย
Radiography
ข้อจำกัดของการฉายรังสีเอ็กซเรย์
ถ้าทารกยังไม่ตายก็จะได้รับรังสีซึ่งอาจทำให้เกิดความพิการต่อทารกในครรภ์และเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้
ปัจจุบันใช้ในกรณีที่หญิงตั้งครรภ์มีปัญหาของโรคระบบทางเดินหายใจเช่นวัณโรคปอดอักเสบและจำเป็นต้อง x-ray ปอด
ทารกในครรภ์ต้องมีอายุ 20 สัปดาห์ขึ้นไป
การพยาบาล
ควรอธิบายให้ทราบถึงความจำเป็นและการปฏิบัติตัวระหว่างการตรวจ
เมื่อทราบผลการตรวจควรเตรียมวางแผนการพยาบาลอย่างเหมาะสมกับหญิงตั้งครรภ์แต่ละรายเช่นกรณีทารกตายในครรภ์ควรให้การพยาบาลเหมือนการพยาบาลมารดาที่สูญเสียทารก
Fetal movement count: FMC
วิธีการนับลูกดิ้น
Count-to-ten chart
เริ่มทำตั้งแต่อายุครรภ์ 32 สัปดาห์
ถ้าเด็กดิ้นน้อยกว่า 10 ครั้งใน 12 ชั่วโมงแสดงว่าเกิดภาวะ decrease of fetal movement (DFM)
เป็นการนับจำนวนทารกเคลื่อนไหวตั้งแต่ 09.00 น. จนครบ 10 ครั้งไม่ควรเกิน 12 ชั่วโมง (ถึง 21.00 น.)
Liston
แต่เริ่มทำตั้งแต่อายุครรภ์ 28 สัปดาห์
ถ้าเด็กดิ้นน้อยกว่า 10 ครั้งใน 12 ชั่วโมงแสดงว่าเกิดกาวะ DFM
DFMR
ในแต่ละช่วงถ้าทารกดิ้น < 3 ครั้งควรนับต่อไปอีก 1 ชั่วโมงแล้วทำเช่นนี้ในวันถัดไป
ถ้าดิ้น <10 ครั้งใน 12 ชั่วโมง 2 วันติดกันถือว่าเป็นสัญญาณอันตรายควรรีบมาพบแพทย์
นับผลรวมของการดิ้นในช่วงเวลา 12 ชั่วโมง (08.00 – 20.00 น.) โดยแนะนำให้นับวันละ 3 ช่วง ได้แก่ 1 ชั่วโมงตอนเช้า 1 ชั่วโมงตอนเที่ยงและ 1 ชั่วโมงตอนเย็นผลรวมเป็นจำนวนครั้งที่ทารกดิ้นต่อวัน
Amniotic fluid volume measurement
SDP /MPV
ค่าที่อยู่ระหว่าง 0-2 ซม. ถือว่ามีภาวะน้ำคร่ำน้อย
ค่าที่> 8 ซม. ถือว่ามีภาวะน้ำคร่ำมากกว่าปกติ
ค่าปกติคือ 2.1-8 ซม.
AFI
ถ้า< 5 ซม.ถือว่า Oligohydramnios
ค่าปกติ คือ 5 –24 ซม.
ถ้า> 25 ซม.ถือว่า Polyhydramnios