Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาวะช็อค แมลงสัตว์กัดต่อย และแผลไหม้ :fire: - Coggle Diagram
ภาวะช็อค แมลงสัตว์กัดต่อย และแผลไหม้ :fire:
ภาวะช็อก ( Shock) :star:
นิยาม
เป็นกลุ่มอาการที่เป็นผลจากการลดลงของการไหลเวียนโลหิตสู่อวัยวะและเนื้อเยื่อส่วนปลาย ทำให้เนื้อเยื่อส่วนปลายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ ส่งผลให้ เซลล์ขาดออกซิเจน การจากออกซิเจนของอวัยวะต่างๆเป็นเวลานานทำให้การทำงานของอวัยวะนั้นๆเสื่อมลง และอาจนำไปสู่การเสียหน้าที่ของอวัยวะดังกล่าว
ประเภทของการช็อก
Hypovolemic shock
นิยาม
เกิดจากปริมาณน้ำและเกลือแร่ หรือปริมาณเลือดในร่างกายลดลง ทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดเพื่อขนส่งออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงทั่วร่างกายเพียงพอ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากอาการบาดเจ็บทางร่างกายอย่างรุนแรงจนเสียเลือดปริมาณมาก
Cardiogenic Shock
นิยาม
เกิดจากหัวใจและหลอดเลือดขนาดใหญ่ได้รับความเสียหายหรือเกิดความผิดปกติ จึงทำให้เลือดสูบฉีดไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้น้อยลง ซึ่งอาจเป็นผลมาจากกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลาย หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือเต้นช้าผิดปกติ กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน เป็นต้น
Obstructive Shock
นิยาม
เกิดจากเลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ตามปกติ ซึ่งเป็นผลที่เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด (Pulmonary Embolism: PE) หรือสภาวะใด ๆ ที่ทำให้เกิดการสะสมของอากาศและของเหลวในโพรงช่องอก
Distributive Shock
นิยาม
เกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดขยายตัวใหญ่ขึ้น แต่ยังมีปริมาณเลือดเท่าเดิม จึงทำให้หลอดเลือดสูญเสียการตึงตัวและเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ได้ไม่เพียงพอ
เกิดหลายสาเหตุ
Anaphylactic Shock/Anaphylaxis : เนื่องจากภูมิต้านทานไวต่อสิ่งกระตุ้นมากกว่าปกติ เช่น แมลงกัด ยา อาหารทะเล ถั่ว ทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงตามมา
Septic Shock/Blood Poisoning : เป็นผลมาจากเชื้อแบคทีเรียชนิดต่าง ๆ เข้าสู่กระแสเลือดและสร้างพิษที่เป็นอันตรายต่ออวัยวะในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งการติดเชื้ออาจเกิดได้จากหลายโรค
Neurogenic shock : เกิดจากความเสียหายที่ระบบประสาทส่วนกลางที่มักมีสาเหตุมาจากการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง ภาวะนี้จะทำให้หลอดเลือดหดตัวลงและทำให้ผิวหนังอุ่นหรือแดงขึ้น หัวใจเต้นช้าลง และความดันโลหิตลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว
ระยะของการช็อก
Non progressive stage
ร่างกายสามารถมีกลไกปรับชดเชยให้เข้าสู่ปกติโดยไม่ต้องการการรักษาจากภายนอกร่างกาย ภาวะนี้มีความรุนแรงน้อย
Progressive stage
ภาวะที่ระยะ shock ดำเนินต่อไปและแย่ลงเรื่อยไม่โดยมี feedback จากร่างกายเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้แย่ลงเรื่อยๆในช่วงนี้ร่างกายไม่สามารถปรับชดเชยได้เอง ต้องรับการรักษาจากภายนอก
Irreversible stage
มีการล้มเหลวของหลายๆอวัยวะ จนไม่มีวิธีใดๆที่จะแก้ไขหรือปรับให้สภาวะร่างกายกลับมาสู่ปกติได้
การรักษา
Anaphylactic shock
ให้ยา Epinephrine , ยาแก้แพ้, ยาขยายหลอดลม เพื่อช่วยต้านสารที่กระตุ้นให้ผู้ป่วยเกิดอาการแพ้
ให้ Oxygen ป้องกันภาวะขาดออกซิเจน
ให้สารน้ำทดเเทน เพื่อปรับสมดุลในร่างกาย
บันทึกสัณญาณชีพ ทุก 4 ชั่วโมง โดนเฉพาะ ความดันโลหิต ชีพจร การหายใจ
ประเมิน ABCs
Hypovolemic shock
ให้เลือดสารน้ำทดเเทน เพื่อปรับสมดุลและกระตุ้นการไหลเวียนในร่างกายเลือด
ให้ Oxygen ป้องกันภาวะขาดออกซิเจน
บันทึกน้ำเข้า-ออก ปัสสาวะต้องมากกว่า30 ml/hr
บันทึกสัณญาณชีพ ทุก 4 ชั่วโมง โดนเฉพาะ ความดันโลหิต ชีพจร การหายใจ
Sepsis /Septic shock
บันทึกสัณญาณชีพ ทุก 4 ชั่วโมง โดนเฉพาะ ความดันโลหิต ชีพจร การหายใจ และ SpO2
บันทึกน้ำเข้า-ออก ปัสสาวะต้องมากกว่า30 ml/hr
ให้ Oxygen ป้องกันภาวะขาดออกซิเจน
ให้เลือดสารน้ำทดเเทน เพื่อปรับสมดุลและกระตุ้นการไหลเวียนในร่างกายเลือด
ให้ยาปฎิชีวนะ เพื่อลดการติดเชื้อ
รักษาโรคร่วมอื่นๆ
อาการแสดง
ซีด หายใจเร็วถี่
Cardiac output : ลดลง (กระสับกระส่าย ชีพจรเบาเร็ว)
ความดันโลหิต: ลดลง (BP < 90/60 mmHg )
ปริมาณปัสสาวะ : ลดลง
Pulase pressure : แคบ (pressure < 20 mmHg MAP < 60 mmHg)
อุณหภูมิอวัยวะส่วนปลาย : เย็น
อ่อนเพลีย อาเจียน
การรักษาเบื้องต้น
1.ประเมินความรู้สึกตัว ยึดหลัก ABCs
2.จัดให้ผู้ป่วยนอนหงายราบ ยกขาสูง
3.ให้ Oxygen และความอบอุ่นแก่ร่างกาย
4.NPO และ Retrain Foley’s cath เพื่อดูปริมาณน้ำปัสสาวะ ประเมินการทำงานของไต
5.ให้สารน้ำทดแทน (isotonic solution) เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
สาเหตุ
ความผิดปกติการทำงานของ หัวใจ ระบบประสาท และต่อมไร้ท่อ
การติดเชื้อในร่างกาย
ร่างกายได้รับสิ่งแปลกปลอม
สารเคมี
แมลงกัดต่อย
ยา
ความผิดปกตอขแงเมทาบอลิซึม
แผลไหม้ (Burn) :star:
นิยาม
การที่ผิวหนังถูกทำลายด้วยความร้อนหรือสารเคมี อาจเกิดตั้งแต่หนังกำพร้า หนังแท้หรือลึกลงไปถึงกระดูกได้
ประเภทของแผลไหม้
Thermal injury
Fame burn
แผลที่เกิดจากเปลวไฟ ประกายไฟ ทำให้เกิดอาการรุนแรง
Scald burn
แผลที่เกิดจากน้ำร้อน ไอน้ำร้อน น้ำมันร้อน
อันตรายขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและระยะเวลาที่สัมผัส
Electrical injury
เมื่อกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนทำให้เกิดแผลไหม้ที่ผิวหนังภายนอก
กระแสไฟฟ้าทำลายเนื้อเยื่อ เส้นเลือด และเส้นประสาทโดยตรง ทำให้เนื้อเยื่อขาดออกซิเจนและตายได้
การทำลายเนื้อเยื่อของกระไฟฟ้ามีผลให้เนื้อเยื่อสลายตัว เกิดภาวะ myoglobinuria และส่งผลให้เกิด acute renal failure ได้
ความรุนแรงขึ้นอยู่กับ
ขนาดหรือปริมาณของกระแสไฟฟ้า
ทางที่กระแสไฟฟ้าผ่าน
ระยะเวลาที่สัมผัส
ตำแหน่งที่สัมผัส
ระดับความรุนแรง
กระแสไฟฟ้าขนาด 10-15 มิลลิแอมแปร์ ทำให้กล้ามเนื้อหดตัว
กระแสไฟฟ้า 50-100 มิลลิแอมแปร์ ทำให้กล้ามเนื้อหายใจเป็นอัมพาต
สูงกว่า 1,000 มิลลิแอมแปร์ ทำให้หัวใจหยุดเต้นจากกล้ามเนื้อหัวใจหดตัว
Chemical injury
มีการทำลายเนื้อเยื่อ ความรุนแรงขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารเคมีและนะยะเวลาที่สัมผัส
สารเคมีที่เป็นด่างจะทำให้เกิดแผลไหม้รุนแรงมากกว่ากรด
Radiation injury
เกิดการทำลายของผิวหนัง และเกิดแผลไหม้
สารกัมมันตภาพรังสี
อุบัติเหตุจากรังสี
ระเบิดปรมาณู
ความรุนแรงของแผลไหม้
ความลึกของแผลไหม้
First degree burn
มีการทำลายเฉพาะชั้นหนังกำพร้า ผิวหนังแดง ไม่มีตุ่มพอง หายเองใน 3-5 วัน
Second degree burn
Superficial partial thickness
มีการทำลายชั้นหนังกำพร้าทั้งหมดและบางส่วนของหนังแท้
Deep partial thickness
มีการทำลายชั้นหนังกำพร้าทั้งหมด ส่วนมากของหนังแท้ถูกทำลาย
Third degree burn
ผิวหนังถูกทำลายทุกชั้น อาจกินลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อหรือกระดูก
ความกว้างของแผลไหม้
ประเมินตามหลัก Rule of nine
ศีรษะ(หน้า,หลัง) 9 %
แขน(หน้า,หลัง) 18 %
ขา(หน้า,หลัง) 36 %
ลำตัวด้านหลัง 18 %
ลำตัวด้านหน้า 18 %
อวัยวะสืบพันธุ์ 1 %
การรักษา
ประเมินสภาพเบื้องต้นตามหลัก ABC
หยุดขบวนการเผาไหม้ที่ยังหลวเหลืออยู่ ถอดเสื้อผ้าออกและสำรวจอย่างละเอียด
ในกรณีที่เป็นสารเคมี ใช้น้ำสะอาดล้างออกให้มากที่สุด ถ้าเป็นสารเคมีผงให้ใช้แปรงปัดผงออก
ประเมินสภาพแผลไหม้
การให้สารน้ำทดแทน
6.เจาะเลือดและส่งตรวจเลือด
8.Retrain Foley’s cath. และ ส่ง UA
ใส่สาย NG tube เพื่อประเมินดูการทำงานของกระเพาะอาหารและในรายที่ไม่สามารถให้อาหารทางปากได้
การพยาบาล
ดูแลให้ได้รับสารน้ำทดแทน
2.ตรวจสอบสัญญาณชีพ
ตวงและบันทึกปัสสาวะทุกชั่วโมง
4.เจาะเลือดส่งตรวจ ABG,CBC,electrolyte,BUN,Cr,Total protein,Albumin,PT,PTT เป็นระยะๆและติดตามผล
5.ป้องกันปัจจัยเสริมที่ทำให้ร่างกายสูญเสียสารน้ำมากขึ้น
6.ชั่งน้ำหนักวันละครั้ง
7.ให้ยาบรรเทาอาการปวด
แมลงสัตว์กัดต่อย :star:
งูกัด
ชนิดของการมีพิษของงู
พิษต่อระบบประสาท
ชนิดงู
งูเห่า (ทำให้เกิดแผลเน่า)
งูจงอาจ (ทำให้เกิดแผลเน่า)
งูสามเหลี่ยม (ไม่ทำให้เกิดแผลเน่า)
อาการแสดง
หนักที่หนังตาบน ตาพร่า มองเห็นเป็นสองภาพ (double vision) ชาที่ริมฝีปาก และมีน้ำลายมาก ต่อมาจะพบหนังตาตก ลืมตาไม่ขึ้น ตากลอกไปมาไม่ได้ ซึ่งจะเกิดภายใน 1-2 ชั่วโมงภายหลังถูกงูกัด
ต่อมาจะชัดเจนขึ้น โดยตรวจพบว่าผู้ป่วยพูดไม่ชัด อ้าปาก แลบลิ้นและเคี้ยวไม่ได้ และในที่สุดจะไม่สามารถหายใจ ยกแขนหรือขาไม่ได้อาการต่างๆ
การออกฤทธิ์
Neurotoxins เป็นพิษที่ทำลายประสาท ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง พิษชนิดนี้มีโมเลกุลขนาดเล็ก สามารถถูกดูดซึมได้รวดเร็วไปตามกระแสเลือด
ตรวจทางห้องปฎิบัติการ
ตรวจด้วย Wright’s peak flow meter จะมี peak flow ลดลง แต่ใช้แยกชนิดของงูไม่ได้
ความรุนแรง
ความรุนแรงขึ้นอยู่กับอาการการหายใจล้มเหลว
กาารักษาเฉพาะ
1.การช่วยการหายใจเป็นหัวใจสำคัญต้องเฝ้าสังเกตอกการกล้ามเนื้ออ่อนแรงอย่างใกล้ชิด เป็นเวลา 24 ชั่วโมง และเตรียมพร้อมสำหรับการใส่ท่อหลอดลมคอ และใช้เครื่องช่วยหายใจ
2.ข้อบ่งชี้ในการให้เซรุ่ม คือ มีกล้ามเนื้ออ่อนแรง เริ่มตั้งแต่มีหนังตาตก ให้เซรุ่มช่วยลดระยะเวลาการใช้เครื่องช่วยหายใจ การให้เซรุ่มขนาดสูงเป็น bolus dose เพื่อแก้พิษงูในกระแสเลือดทั้งหมด ปริมาณเซรุ่มที่เหมาะสำหรับพิษจากงูเห่าคือ 100 มล. แต่สำหรับงูจงอางและงูสามเหลี่ยมยังไม่มีข้อมูลที่มากพอ
ในกรณีงูเห่าและงูจงอาง ให้รีบตัดเนื้อตายจากบริเวณแผลที่ถูกกัดก่อนที่จะลุกลามเป็นบริเวณกว้าง
พิษต่อระบบเลือด
ชนิดงู
งูเขียวห้างไหม้ (เกิดอาการบวม)
งูกะปะ (การบวมและตุ่มน้ำพุพองเกิดขึ้นเร็วภายใน 2 ชั่วโมงแรกหลังถูกกัดและแผลเน่าเกิดขึ้น)
งูแมวเซา (การบวมและตุ่มน้ำพุพองเกิดขึ้นเร็วภายใน 2 ชั่วโมงแรกหลังถูกกัดและแผลเน่าเกิดขึ้น)
อาการแสดง
เลือดไม่กลายเป็นลิ่มและมีเลือดออกตามที่ต่างๆ
ตามไรฟัน รอยเข็มฉีดยา ตามผิวหนัง หรือแผลเก่า บางคนมีเลือดกำเดาไหล ไอเป็นเลือดหรือเลือดออกในสมองได้
การเต้นของหัวใจผิดปกติเมื่อตรวจหัวใจด้วยเครื่อง ECG
การออกฤทธิ์
Hemorrhagins เป็นพิษที่ทำลายผนังด้านในของหลอดเลือด (vascular endothelium) ทำให้เม็ดเลือดแดงเล็ดลอดออกมาจากผนังหลอดเลือดที่ถูกทำลาย ผู้ป่วยจึงมีเลือดออกตามที่ต่างๆ
Procoagulant enzymes เป็นพิษที่ไปกระตุ้นระบบการกลายเป็นลิ่มของเลือด
การตรวจทางห้องปฎิบัติการ
Complete Blood count จะพบว่าปริมาณเกล็ดเลือดลดลง
Prothrombin time (PT), partial prothromboplastin time (PPT), Thrombin time (TT) จะมีค่านานผิดปกติ
ค่า Venous clotting time (VCT) เลย เพราะมีประโยชน์ในการตัดสินใจให้เซรุ่มแก้พิษงู
ภาวะ DIC ซึ่งจะเห็นชิ้นส่วนของเม็ดเลือดแดงในสเมียร์เลือดหรือพบ d-dimer
factor X activity ลดลง
BUN และ / หรือ ครีอะตินีน ในซีรั่มเพิ่มขึ้น
ความรุนแรง
งูแมวเซาความรุนแรงยังขึ้นกับภาวะ DIC และความรุนแรงของภาวะไตล้มเหลวเฉียบพลัน
งูกะปะ เนื่องจากมีผิวหนังพองตก ทำใหมีภาวะแทรกซ้อนสำคัญที่พบบ่อยคือ compartmental syndrome, Volkman’s ischemia
การรักษาเฉพาะ
1.ให้คอยติดตามเฝ้าระวังการตกเลือดผิดปกติ การตรวจทางห้องปฏิบัติการที่สำคัญ คือ การตรวจหาค่า VCT ถ้าได้ผลเป็นปรกติให้ตรวจซ้ำทุก 24 ชั่วโมง
2.การให้เกล็ดเลือด และ / หรือ ปัจจัยการจับลิ่มของเลือดได้ประโยชน์น้อย เนื่องจากจะถูกพิษงูทำลายหมด จึงพิจารณาให้เฉพาะในกรณีที่มีการตกเลือดรุนแรง ร่วมกับการให้เซรุ่ม
3.ข้อบ่งชี้ในการให้เซรุ่มคือ VCT นานกว่า 30 นาที และต้องตรวจ VCT เป็นระยะ ๆ หลังการให้เซรุ่มอย่างน้อย 72 ชั่วโมง
4.กรณีงูแมวเซา ให้รักษาภาวะไตล้มเหลวเฉียบพลัน เหมือนกรณีทั่วไป
กรณีงูกะปะและงูเขียวหางไหม้ให้ทำการตัดผิวหนังพองตกเลือดออก รวมทั้งทำ fasciotomy ในกรณี compartmental syndrome แต่ต้องทำต่อเมื่อผู้ป่วยพ้นภาวะตกเลือดแล้วคือ VCT ปกติ
พิษต่อระบบกล้ามเนื้อ
การออกฤทธิ์
Myotoxin เป็นพิษที่ทำลายกล้ามเนื้อ (rhadomyolysis) เกิดภาวะแตกสลายของเซลล์
ชนิดงู
งูทะเล
อาการ
ปวดตามตัวและปวดที่ต่อมน้ำเหลืองเหนือส่วนที่ถูกกัด ต่อมาจะปวดกล้ามเนื้อมากโดยเฉพาะเวลาเคลื่อนไหว อ้าปากไม่ได้เนื่องจากเจ็บปวด ต่อมาจะเกิดอัมพาตแบบอ่อนปวกเปียก (flaccid paralysis) ปัสสาวะดำ
ความรุนแรง
ภาวะไตล้มเหลวเฉียบพลัน ร่วมกับ rhabdomyolysis และภาวะเลือดมีโปแตสเสียมมากเกิน
การรักษา
การรักษาภาวะไตล้มเหลวเฉียบพลัน rhabdomyolysis และภาวะเลือดมีโปแตสเสียมมากเกิน โดยแก้ไขภาวะกรดเหตุเมแทบอลิสม และที่สำคัญคือ การล้างไต
การปฐมพยาบาล
ทำความสะอาดแผลที่ถูกงูกัดด้วยยาฆ่าเชื้อเช่น แอลกอฮอล์หรือทิงเจอร์ไอโอดีน
ไม่ควรเอาใบไม้ รากไม้ หรือสมุนไพรต่าง ๆ มาใส่แผล เพราะจะทำให้แผลสกปรก เกิดการติดเชื้อ และอาจเป็นบาดทะยักได้
ตำแหน่งขาหรือแขนที่ถูกกัดควรให้เคลื่อนไหวน้อยที่สุด โดยใช้ไม้กระดานหรือกระดาษแข็งๆ รองหรือดามไว้
ห้ามดื่มของมึนเมาหรือกินยากลางบ้าน เนื่องจากอาจเกิดการสำลักและอาเจียน หรือปิดบังอาการหรืออาการแสดงที่เกิดจากพิษงูได้
อย่าตื่นตกใจเกินไป ต้องพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลหรือสถานีอนามัยที่ใกล้ที่สุด โดยนำเอาซากงูที่กัดไปด้วย
ไม่ควรขันชะเนาะ เพราะอาจทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นๆขาดเลือดไปเลี้ยง
แมลงอื่นๆ
ผึ้ง ต่อ แตน
อาการ
เมื่อต่อยแล้วมักจะทิ้งเหล็กในไว้ ภายในเหล็กในจะมีพิษของแมลงพวกนี้มักมีฤทธิ์ที่เป็นกรด บริเวณที่ถูกต่อยจะบวมแดง คันและปวด
การปฐมพยาบาล
1.พยายามเอาเหล็กในออกให้หมด โดยใช้วัตถุที่มีรู เช่น ลูกกุญแจ กดลงไปตรงรอยที่ถูกต่อย เหล็กในจะโผล่ขึ้นมาให้คีบออกได้
2.ใช้ผ้าชุบน้ำยาที่ฤทธิ์ด่างอ่อน เช่น น้ำแอมโมเนีย น้ำโซดาไบคาบอร์เนต น้ำปูนใส ทาบริเวณแผลให้ทั่วเพื่อฆ่าฤทธิ์กรดที่ค้างอยู่ในแผล
อาจมีน้ำแข็งประคบบริเวณที่ถูกต่อยถ้าแผลบวมมาก
ถ้ามีอาการปวดให้รับประทานยาแก้ปวด ถ้าคันหรือผิวหนังมีผื่นขึ้นให้รับประทานยาแก้แพ้
ถ้าอาการไม่ทุเลาลง ควรไปพบแพทย์
สัตว์ดิน
ตะขาบ แมงป่อง
อาการ
เจ็บปวดมากกว่าแมลงชนิดอื่น เพราะแมงป่องและตะขาบมีพิษมากกว่า บางคนที่แพ้สัตว์ประเภทนี้อาจมีอาการปวดและบวมมาก มีไข้สูง คลื่นไส้ บางคนมีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อและมีอาการชักด้วย
การปฐมพยาบาล
ใช้สายรัดหรือขันชเนาะเหนือบริเวณเหนือบาดแผล เพื่อป้องกันไม่ให้พิษแพร่กระจายออกไป
พยายามทำให้เลือดไหลออกจากบาดแผลให้มากที่สุด อาจทำได้หลายวิธี เช่น เอามือบีบ เอาวัตถุที่มีรูกดให้แผลอยู่ตรงกลางรูพอดี เลือดจะได้พาเอาพิษออกมาด้วย
ใช้แอมโมเนียหอมหรือทิงเจอร์ไอโอดี 2.5% ทาบริเวณแผลให้ทั่ว
ถ้ามีอาการบวม อักเสบและปวดมาก ใช้ก้อนน้ำแข็งประคบบริเวณแผล เพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บปวดด้วย
ถ้าอาการยังไม่ทุเลาลง ต้องรีบนำส่งแพทย์
แมงกะพรุนไฟ
อาการ
สารพิษอยู่ที่หนวดของมัน แมงกะพรุนไฟมีสีน้ำตาล เมื่อคนไปสัมผัสตัวมันจะปล่อยพิษออกมาถูกผิวหนัง ทำให้ปวดแสบปวดร้อนมาก ผิวหนังจะเป็นผื่นไหม้ บวมพองและแตกออก แผลจะหายช้า ถ้าถูกพิษมากๆ จะมีอาการรุนแรงถึงกับเป็นลมหมดสติและอาจถึงตายได้
การปฐมพยาบาล
ใช้ผ้าเช็ดตัวหรือทรายขัดถูบริเวณที่ถูกพิษแมงกะพรุนไฟ เพื่อเอาพิษที่ค้างอยู่ออกหรือใช้ผักบุ้งทะเลซึ่งหาง่ายและมีอยู่บริเวณชายทะเล โดยนำมาล้างให้สะอาด ตำปิดบริเวณแผลไว้
ใช้น้ำยาที่มีฤทธิ์เป็นด่าง เช่น แอมโมเนียหรือน้ำปูนใส ชุบสำลีปิดบริเวณผิวหนังส่วนนั้นนานๆ เพื่อฆ่าฤทธิ์กรดจากพิษของแมงกะพรุน
ให้รับประทานยาแก้ปวด
ถ้าอาการยังไม่ทุเลาลง ให้รีบนำส่งแพทย์โดยเร็ว
ปลิง
อาาการ
ปล่อยสารที่กระตุ้นให้หลอดเลือดขยายตัว และ สารต้านทานการแข็งตัว ของเลือดทำให้คนที่ถูกกัดเลือดไหลไม่หยุด
การป้องกัน
หลีกเลี่ยงการลุยน้ำ ควรแต่งตัวให้มิดชิด
หลีกเลี่ยงการเล่นน้ำหรือแช่น้ำนานๆโดยเฉพาะในบริเวณที่น้ำท่วมขัง
การปฐมพยาบาล
1.หากเห็นปลิงเกาะตัวอยู่บนร่างกายไม่ควรดึงออกทันที เพราะอาจทำให้ปากแผลฉีกขาดและเลือดหยุดยากขึ้น
2.ควรใช้น้ำเกลทอเข้มข้น น้ำส้มสายชูแท้ หรือแอลกอฮอล์ 70% หยดบริเวณรอบๆปากของปลิง
ทำความสะอาดบาดแผลด้วยยาฆ่าเชื้อเบตาดีนหนดลงบนสำลีหรือไม้พันสำลีที่สะอาด เช็ดเป็นวงรูปก้นหอยจากส่วนในแผลออกสู่รอบนอกของแผล
4.หากเลือดยังไม่หยุดไหล ให้ใช้ยาที่มีฤทธิ์ช่วยในการหดตัวของเนื้อเยื่อและหลอดเลือดทาบริเวณปากแผล