การเปลี่ยนแปลงในระยะตั้งครรภ์ปกติ
ความหมายของการตั้งครรภ์
การเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกในครรภ์
หมายถึง ลำดับเหตุการณ์ต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่เกิดการปฏิสนธิ (fertilization) ระหว่างตัวอสุจิกับไข่ การฝังตัว (Implantation) การเจริญเติบโตของตัวอ่อน (embryonic growth) การเจริญเติบโตของทารก (fetal growth) และสิ้นสุดเมื่อทารกนั้นคลอด
- ไตรมาสที่ 2 (second trimester) คือระยะเวลาของการตั้งครรภ์ตั้งแต่เดือนที่ 4 ถึงเดือนที่ 6 (13-28 สัปดาห์)
- ไตรมาสที่ 2 (second trimester) คือระยะเวลาของการตั้งครรภ์ตั้งแต่เดือนที่ 4 ถึงเดือนที่ 6 (13-28 สัปดาห์)
- ไตรมาสที่ 1 (first trimester) คือระยะเวลาของการตั้งครรภ์ ตั้งแต่เดือนที่ 1 ถึงเดือนที่ 3 (1-12 สัปดาห์)
- ระยะตัวอ่อน (Embryo period) นับจากสัปดาห์ที่ 2 – 8 เป็นระยะที่มีการเจริญเติบโตและเปลี่ยนแปลงของอวัยวะทุกอย่าง แต่รูปร่างยังไม่เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ระยะนี้สำคัญมากเพราะ ความผิดปกติหรือพิการแต่กำเนิดจะเกิดขึ้นในระยะนี้ได้ง่าย
- ระยะก่อนตัวอ่อน (Pre-embryonic period) เป็นระยะเริ่มต้นของชีวิต เป็นระยะที่มีการรวมตัวของเซลล์ไข่กับสเปิร์ม (sperm แล้วต่อมาเซลล์ไข่ที่ถูกผสมแล้ว (fertilized ovum หรือ zygote) เริ่มมีการแบ่งตัว ไปจนเป็นตัวอ่อน ฝังตัวเข้าไปในเยื่อบุโพรงมดลูกของมารดา ใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ หลังจากการปฏิสนธิ
- ระยะทารก (Fetal period) เริ่มตั้งแต่สัปดาห์ที่ 9 หลังจากปฏิสนธิไปจนถึงเมื่อทารกคลอด ตัวอ่อนในระยะนี้เรียกว่า ในระยะนี้ ร่างกายของทารกจะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีการแยกความแตกต่างในหน้าที่ของเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ของร่างกายแต่ละระบบ
การเกิดรกและเยื่อหุ้มทารก (Placental and Fetal membrane development)
ภายหลังไข่ถูกผสมกับ Sperm แล้ว จะมีฝังตัวในเยื่อบุมดลูกประมาณวันที่ 7 trophoblast จะเป็นแผ่นแยกออกเป็น 2 ชั้น ชั้นในเรียกว่า Cytotrophoblast ส่วนชั้นนอกเรียกว่า Syncytiotrophoblast เป็นเซลล์ที่มีการแบ่งตัวตลอดเวลา มีลักษณะคล้ายนิ้วมือยื่นเข้าไปในเยื่อบุโพรงมดลูก
click to edit
หน้าที่ของรก
- นำอาหารมาให้ทารกระหว่างตั้งครรภ์
- แลกเปลี่ยนแก๊สระหว่างเลือดแม่กับเลือดลูก
- การขับถ่าย
- ความต้านทานหรือภูมิคุ้มกันโรค
- สร้างฮอร์โมน เช่น H.C.G.
click to edit
เยื่อหุ้มเด็ก (Fetal membrane)
เยื่อหุ้มเด็กประกอบด้วย 2 ชั้น
- Amnion เป็นเยื่อหุ้มชั้นในที่ห่อหุ้มตัวเด็ก มีลักษณะบางใส ไม่มีเลือด เกิดจาก Trophoblast ขณะที่ Inner cell mass แยกออกไป ทำให้เกิดช่องว่างภายใน ช่องว่างนี้มีของเหลวขังอยู่เรียกว่า น้ำคร่ำ หรือ น้ำหล่อเด็ก (Amniotic fluid)
- Chorion เป็นเยื่อหุ้มชั้นนอก ซึ่งคือ Trophoblast ที่แผ่ออกไป เป็นเยื่อหุ้มที่ติดต่อเป็นผืนเดียวจากขอบรก มีความหนา ขุ่น ขรุขระ แต่ไม่เหนียว ฉีกขาดง่าย และเป็นส่วนที่อาจค้างอยู่ในโพรงมดลูกได้ง่าย
น้ำหล่อเด็กหรือน้ำคร่ำ (Amniotic น้ำคร่ำเป็นของเหลวที่อยู่ภายในเยื่อหุ้มเด็กชั้นใน (Amnion) ในระยะแรกของการตั้งครรภ์ มาจาก serum ของมารดา หลังจากอายุครรภ์ 16 สัปดาห์ ปัสสาวะของทารกในครรภ์จะเป็นส่วนประกอบสำคัญของน้ำคร่ำ สารคัดหลั่งจากปอด fluid)
click to edit
สายสะดือ (Umbilical cord)
สายสะดือเจริญมาจาก mesoderm ที่อยู่นอกร่างกายทารก เป็นเส้นทางติดต่อระหว่างทารกในครรภ์กับรก โดยที่ปลายข้างหนี่งติดอยู่กับรก และปลายอีกด้านหนึ่งติดอยู่กับทารกในครรภ์ ภายในสายสะดือมีเส้นเลือด 3 เส้น คือ เส้นเลือดแดง (umbilical arteries) 2 เส้น จะนำเลือดที่ถูกใช้แล้วจากทารกในครรภ์ไปสู่รก และเส้นเลือดดำ (umbilical vein) 1 เส้น จะนำเลือดดีจากรกไปสู่ทารกในครรภ์
พัฒนาการของระบบต่างๆในร่างกายทารกในครรภ์
click to edit
1.ระบบหัวใจและหลอดเลือด
เป็นระบบแรกที่เริ่มทำงานประมาณสัปดาห์ที่ 3 หัวใจเริ่มมีการเจริญเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการตั้งแต่สัปดาห์ที่ 4 จะมีผนังกั้นแบ่งหัวใจเป็นห้องๆ ประมาณสัปดาห์ที่ 6-7 และเริ่มมีลิ้นหัวใจประมาณสัปดาห์ที่ 7 ซึ่งต่อมาเลือดจะเริ่มไหลเวียนในตัวอ่อน และช่วยให้ตัวอ่อนเจริญเติบโต โดยนำลือดที่มีออกซิเจนและอาหารไปเลี้ยงตัวอ่อน
2.ระบบทางเดินหายใจ
ระบบทางเดินหายใจเริ่มมีการเจริญเติบโตและพัฒนาการขึ้นหลังการฝังตัวที่ผนังมดลูกประมาณ สัปดาห์ที่ 4 มีการสร้างท่อทางเดินหายใจแรกเริ่มที่พัฒนามาจากการแตกแขนงของเยื่อบุทางเดินอาหารชั้นใน ประมาณสัปดาห์ที่ 6 หลังจากการฝังตัวที่ผนังมดลูก ประมาณ 16-28 สัปดาห์ ทางเดินหายใจตอนต้นส่วนใหญ่พัฒนาเสร็จสมบูรณ์แล้วปอด เมื่ออายุครรภ์ 34 สัปดาห์ โดยปอดจะสมบูรณ์เต็มที่เมื่ออายุครรภ์ได้ 35 สัปดาห์เป็นต้นไป
3.ระบบทางเดินอาหาร
ทางเดินอาหารจะแยกจากทางเดินหายใจ ประมาณสัปดาห์ที่ 4 ของการตั้งครรภ์ ต่อมาสัปดาห์ที่ 11 ของการตั้งครรภ์ ลำไส้เล็กมี Peristalsis และสามารถดูดซึม Glucose ได้ดี การกลืนน้ำคร่ำ, ดูดซึมน้ำและขับกาก สัปดาห์ที่ 16 ระบบย่อยอาหารเริ่มทำงานเมื่อสัปดาห์ที่ 24 ทารกในครรภ์จะดูดและสามารถกลืนน้ำคร่ำได้ประมาณ 5 cc/ชม. ในระยะแรกทารกในครรภ์กลืนน้ำคร่ำได้น้อย จึงไม่มีผลต่อการควบคุมปริมาณน้ำคร่ำ แต่ต่อมาระยะหลังทารกกลืนน้ำคร่ำได้มากขึ้น
4.ระบบขับถ่ายปัสสาวะ
มีพัฒนาการด้วยกันกับระบบอวัยวะสืบพันธุ์ จากเยื่อบุผิวชั้น mesoderm ของช่องท้อง และ ectoderm ของ urogenital sinus ไต มีความสำคัญในการควบคุมส่วนประกอบและปริมาณน้ำคร่ำ น้ำคร่ำจึงประกอบด้วยปัสสาวะของทารกในครรภ์เป็นส่วนใหญ่ ประมาณสัปดาห์ที่ 12 ทารกในครรภ์เริ่มมีการสร้างน้ำปัสสาวะ และสัปดาห์ที่ 16 เริ่มถ่ายปัสสาวะได้
5.ระบบอวัยวะสืบพันธุ์
อวัยวะสืบพันธุ์จะมีพัฒนาการพร้อมกับระบบขับถ่ายปัสสาวะ เพศของทารกสามารถกำหนดได้ตั้งแน่มีการปฏิสนธิ ขึ้นอยู่กับอสุจิมี chromosome X หรือ Y ประมาณสัปดาห์ที่ 7 เริ่มแยกเพศได้
6.ระบบประสาท
สมองและไขสันหลังเป็นหนึ่งในระบบแรกๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเจริญมาจาก ectoderm ที่อยู่ด้านหน้าบน
7.ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก
ระบบนี้มีพัฒนาการมาจาก mesoderm จะเจริญเป็น mesenchyme ต่อไปจะเจริญกลายเป็นกล้ามเนื้อ (myoblasts) กลายเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (fibroblast) กลายเป็นกระดูกอ่อน (chondroblast) และกลายเป็นกระดูก (osteoblast)
การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายของหญิงตั้งครรภ์
การเปลี่ยนแปลงของระบบอวัยวะสืบพันธุ์ (Reproductive Adaptations)
3.ปากมดลูก (Cervix)ปากมดลูกจะนุ่มและเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า Goodell’s Sign ซึ่งจะพบเมื่อตั้งครรภ์ได้ประมาณ 1 เดือน การเปลี่ยนแปลงนี้ถือว่าเป็นอาการแสดงแรกสุดของการตั้งครรภ์ ปากมดลูกนุ่มและสีคล้ำเกิดจากการบวมน้ำและการมีโลหิตมาเลี้ยงเพิ่มขึ้น
- มดลูก (Uterus)เป็นอวัยวะหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยามากในระหว่างการตั้งครรภ์ โดยมีการเปลี่ยนแปลงทั้งขนาด รูปร่าง น้ำหนัก และความจุ ซึ่งเป็นผลจากอิทธิพลของฮอร์โมน Estrogen , Progesterone และแรงดันจากผลผลิตของการตั้งครรภ์ (conceptive products) ซึ่งขยายอย่างรวดเร็ว มดลูกจะมีความจุเพิ่มมากขึ้นประมาณ 1,000 เท่า และมีน้ำหนักเพิ่มประมาณ 30 เท่าเมื่อครรภ์ครบกำหน
- เอ็นยึดข้อต่อของกระดูกและอวัยวะในอุ้งเชิงกราน (Ligaments and Joints of pelvic organs)เอ็นยึดและข้อต่อต่าง ๆ จะยืดขยายและนุ่มขึ้นกว่าเดิม เพื่อจะได้ยืดขยายใหญ่ในขณะคลอด ซึ่งอาจมีผลทำให้หญิงตั้งครรภ์รู้สึกปวดเมื่อยและเดินไม่ถนัด
- ช่องคลอด มีเลือดมาหล่อเลี้ยงและเกิดการคั่งของเลือดในอุ้งเชิงกรานมากขึ้น มีผลให้ผิวของเยื่อบุผนังช่องคลอดเปลี่ยนสีจากสีชมพูเป็นสีม่วง เรียกว่า Chadwick’s sign การเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นเมื่อตั้งครรภ์ได้ประมาณ 8 สัปดาห์ นอกจากนี้ผนังช่องคลอดจะขยายใหญ่ขึ้นและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective Tissue) บริเวณนี้จะอ่อนนุ่มลงเพื่อเป็นการเตรียมช่องคลอด ให้ขยายได้มากขึ้นในระหว่างการคลอด
- อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก ผิวหนังและกล้ามเนื้อฝีเย็บจะขยายใหญ่ขึ้น เนื่องจากการกระตุ้นของฮอร์โมน ทำให้มีเลือดมาหล่อเลี้ยงและเกิดการคั่งของเลือดในอุ้งเชิงกรานมากขึ้น ร่วมกับการคลายตัวของผนังหลอดเลือดและ น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของมดลูก
5.รังไข่และท่อนำไข่ (Ovaries and Fallopian tubes)ไม่เกิดการตกไข่ (ovulation) และไม่มีประจำเดือน (amenorrhea) เนื่องจากการเพิ่มของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจากรกบริเวณท่อนำไข่จะมีการขยายใหญ่และยาวขึ้นทำให้ท่อมดลูกเกือบตั้งฉากกับด้านข้างของมดลูก กล้ามเนื้อของท่อมดลูกไม่เพิ่มขนาดขึ้น แต่มีโลหิตเพิ่มมากขึ้น หลอดโลหิตที่มาเลี้ยงบริเวณรังไข่และท่อนำไข่จะขยายใหญ่ขึ้นมากกว่าก่อนการตั้งครรภ์ถึง 3 เท่า
- เต้านม (Breasts)จะขยายใหญ่ขึ้นโดยเฉพาะในระยะสัปดาห์แรก ๆ ของการตั้งครรภ์ หลังขาดประจำเดือนจะรู้สึกว่าเต้านมหนักขึ้น ไวต่อความรู้สึกปวดเสียวร่วมกับผิวหนังบริเวณรอบหัวนม และลานนม (areolar) จะมี สีเข้มขึ้น มีตุ่มเล็ก ๆ เกิดขึ้นบริเวณลานนม เนื่องจากการขยายของต่อมไขมัน (sebaceous gland) เรียกว่า Montgomery’s tubercle ซึ่งอาจทำให้มีน้ำนมเหลือง (colostum) เมื่อตั้งครรภ์ได้ 2 – 3 เดือน
การเปลี่ยนแปลงของระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต (Cardiovascular Adaptations)
การปรับตัวของสตรีในะระยะตั้งงครรภ์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบหัวใจ และการไหลเวียนโลหิตมากมาย ทั้งด้านกายภาพและสรีรภาพ เพื่อป้องกันให้การทำหน้าที่ทางด้านสรีรวิทยาในหญิงตั้งครรภ์เป็นไปได้อย่างปกติ และช่วยให้กระบวนการเผาผลาญสารอาหารของ ร่างกายในระหว่างการตั้งครรภ์สามารถปรับตัวตอบสนองต่อความต้องการของทารกที่กำลังเจริญเติบโตได้อย่างเหมาะสม ซึ่งเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นจากผลของฮอร์โมนในการตั้งครรภ์
การเปลี่ยนแปลงของระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine Adaptations)
เกิดขึ้นอย่างมากของระบบต่อมไร้ท่อเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การตั้งครรภ์ดำเนินต่อไปได้ และช่วยให้การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์เป็นไปได้อย่างปกติ รวมทั้งช่วยในการฟื้นฟูสภาพในระยะหลังคลอด ต่อมไร้ท่อเพิ่มการผลิตฮอร์โมนต่าง ๆ ในระหว่างการตั้งครรภ์ อวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่เป็นต่อมไร้ท่อและช่วยในการรักษาภาวะสมดุลของฮอร์โมนในร่างกายขณะตั้งครรภ์ได้แก่ ต่อมพิตูอิตารี่ รังไข่ รก ตับอ่อน ไทรอยด์ และพาราไทรอยด์
การเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินปัสสาวะ (Renal system adaptations)
ในระหว่างการตั้งครรภ์ ระบบขับถ่ายปัสสาวะจะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านกายภาพและ สรีรภาพ เนื่องจากอิทธิพลของฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในระหว่างการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน และการถูกกดจากมดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้น รวมทั้งการเพิ่มของปริมาณโลหิตในร่างกาย
การเปลี่ยนแปลงของระบบกล้ามเนื้อและกระดูก (Musculoskeletal system adaptations)
การเปลี่ยนแปลงของรูปร่าง และการเพิ่มของน้ำหนักในระหว่างการตั้งครรภ์ ทำให้ท่าทาง (posture) เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หญิงตั้งครรภ์จะเดินหลังแอ่นมากขึ้น ตามอายุครรภ์ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมดลูกโตขึ้นทำให้จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายเคลื่อนมาข้างหน้า และเป็นการถ่วงน้ำหนักของมดลูกที่ค่อนไปข้างหน้า ร่างกายจึงพยายามแอ่นหลัง เพื่อรักษาความสมดุล จึงทำให้เกิดอาการปวดหลัง ซึ่งพบได้บ่อยมากอาการหนึ่งในระหว่างการตั้งครรภ์
การเปลี่ยนแปลงด้านจิตสังคมของหญิงตั้งครรภ์
การตั้งครรภ์เป็นภาวะที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านภาพลักษณ์ (Body image) การเปลี่ยนแปลงในบทบาทหน้าที่ของสมาชิกในครอบครัว สิ่งที่จะทำให้หญิงตั้งครรภ์มีความเครียดมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ พื้นฐานทางวัฒนธรรมและสังคมของหญิงตั้งครรภ์และครอบครัว การยอมรับหรือปฏิเสธการตั้งครรภ์ หญิงตั้งครรภ์ส่วนมากจะแสดงการตอบสนองทางอารมณ์ในลักษณะต่าง ๆ เช่น แสดงความรู้สึกลังเล (Ambivalence) ความกลัว และความวิตกกังวล การยอมรับตนเอง การคิดถึงแต่ตนเอง (Introversion) ความรู้สึกต้องการพึ่งพาผู้อื่น รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางภาพลักษณ์และความรู้สึกด้านเพศสัมพันธ์
นางสาวกนกวรรณ ทองบำรุง เลขที่1 ห้อง34/1