Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลบุคคลที่มีความบกพร่อง ของสติปัญญาและภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง -…
การพยาบาลบุคคลที่มีความบกพร่อง
ของสติปัญญาและภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง
PARKINSON'S DISEASE
สาเหตุ
ร่างกายขาดสารโดปามีนในสมอง พบได้บ่อยในผู้สูงอายุทั้งชายและหญิง
เกิดจากการเสื่อมและตายไปของเซลล์สมองที่สร้างสารโดปามีน
จนไม่สามารถสร้างสารโดปามีนได้เพียงพอ สารโดปามีนนี้มีความสำคัญต่อการควบคุม
อาการ
ขึ้นอยู่กับ
มีอาการมากน้อยแตกต่างกันได้ ขึ้นอยู่กับอายุของผู้ป่วย
ระยะเวลาการเป็นโรค
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น โรคพาร์กินสัน
อาการสั่น(tremor)
การสั่นจากโรคนี้อาจเริ่มเกิดขึ้นที่มือ แขน ขา คาง ศีรษะหรือล าตัวก็ได้
ราว 60-70% ของผู้เป็นโรคพาร์กินสันจะมีอาการสั่นเป็นอาการเริ่มต้นของโรค
อาการสั่นนี้จะมีลักษณะเฉพาะคือ สั่นมากเวลาอยู่นิ่งๆ แต่ถ้าเคลื่อนไหว หรือยื่นมืออะไรอาการสั่นจะลดลงหรือหายไป
อาการสั่นในโรคพาร์กินสันนี้ถ้านับอัตราเร็วจะพบว่าสั่นราว 4-8 ครั้งต่อ
ระยะแรกอาการสั่นอาจเกิดข้างเดียวก่อนและต่อมาจึงมีอาการทั้งสองข้าง
กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง (rigidity)
จะทำให้รู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อของร่างกายโดยเฉพาะแขนขาและลำตัว
ทั้งที่ไม่ได้เคลื่อนไหวหรือทำงานหนักแต่อย่างใด
กล้ามเนื้อของร่างกายจะมีความตึงตัวสูงและเกร็งแข็งอยู่ตลอดเวลา จนบางคนต้องกินยาแก้ปวดเมื่อยหรือหายามาทาบรรเทาตามร่างกายส่วนต่างๆหรือหาหมอนวดมาช่วยบีบคลายเส้นเป็นประจำ
มักมีอาการแข็งตึงของแขนขา และลำตัวทำให้เคลื่อนไหวลำบากเนื่องจากอาการปวดตามกล้ามเนื้อ
ช้า (brady kinesia)
ในระยะแรกๆ จะรู้สึกว่าตัวเองท าอะไรช้าลงไปจากเดิมมาก
ไม่กระฉับกระเฉงว่องไวเหมือนเดิม เดินช้า
งุ่มง่าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะต้นๆ ของการเคลื่อนไหว
ในรายที่เป็นมากขึ้นอาจพบว่าหกล้มบ่อยๆ จนกระดูกต้นขาหัก สะโพกหัก เป็นต้น
อาการทรงตัวลำบาก (postural instability)
อื่นๆ
ท่าเดินผิดปกติ
แสดงสีหน้าเฉยเมย
เสียงพูดเครือๆ
เขียนตัวหนังสือยากขึ้้น
การกอลกตากระตุก
น้ำลายลายไหล
ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันมักมีอาการซึมเศร้า นอนไม่หลับ
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
มีระดับการช่วยเหลือตนเองลดลงเนื่องจากการเคลื่อนไหวบกพร่อง
ความสามารถในการสื่อสารบกพร่องเนื่องจากอาการสั่นหรือหดเกร็งของกล้ามเนื้อริมฝีปากหรือลิ้น
ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอเนื่องจากกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการเคี้ยวและการกลืนอ่อนแรง สั่นหรือหดเกร็ง
ผู้ป่วยและญาติขาดความรู้เรื่องโรคและการรักษา
การรักษา
ขณะนี้ยังไม่มีวิธีการรักษาใด
การรักษาโดยการใช้ยา
รักษาตามอาการ
Levodopa ช่วยในการทดแทนสารสื่อประสาทที่ลดน้อยลง
anticholinergic ใช้สำหรับอาการสั่น
ยาที่ช่วยชะลออาการ
ยา Levodopa จะช่วยป้องกันการทำลายโดปามีนในสมอง
ยา elegiline (Deprenyl) จะใช้บ่อยมักใช้ควบคู่
ALZHEISMER’S DISEASE
ปัจจัยเสี่ยง
อายุ พบว่า ผู้ป่วยส่วนมากอายุ 65 ปีขึ้นไป แต่ก็มีบ้างบางกรณีที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการตอนอายุ 40 ปีปลาย
ประวัติการป่วยภายในครอบครัว
ป่วยด้วยโรคดาวน์ซินโดรมหรือพากินสัน
พยาธิสรีรวิทยา
สมองเหี่ยวและมีน้ำหนักลดลง ร่องสมอง
(succus) และ ventricle กว้างขึ้น
amyloid plaques
การสะสมของโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า
NFT กระจายอยู่ทั่วเนื้อสมอง
เกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากระบบภูมิคุ้มกันของสมองเกิดการอักเสบและทำลายเซลล์สมอง
ส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่ของเชาวน์ปัญญาและพฤติกรรม
acetylcholine ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทในสมองที่ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้น มีปริมาณลดลง
อาการและอาการแสดง
อาการทางเชาวน์ปัญญา
การใช้ภาษา
การคิด
การใช้เหตุผล
การรับรู้ลดลง
การตัดสินใจบกพร่อง
พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงร่วมกับอาการทางจิต
การมีพฤติกรรม
เปลี่ยนแปลง
ก้าวร้าว
ไม่อยู่นิ่ง
เดินละเมอ
การแสดงออกทางเพศไม่เหมาะสม
กลั้นปัสสาวะไม่ได้
อาการทางจิต
หวาดระแวง
ซึมเศร้า
เห็นภาพหลอน
บุคลิกเปลี่ยนแปลง
การรักษา
โรคนี้ยังไม่มีการรักษาที่แท้จริง
การทำกายภาพบำบัด
การรับประทานอาหารที่เหมาะสม
การจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม
การให้ยาสามารถช่วยลดความกังวล
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
การดูแลตนเองบกพร่องเนื่องจากความจำเสื่อมไม่สามารถแยกได้ถึงความเหมาะสมกันหรือไม่เหมาะสมในการ แต่งกาย การกิน การเข้าห้องน้ำ
ภาวะเสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรงต่อตนเองและผู้อื่นเนื่องจากความผิดปกติของเชาวน์ปัญญา
สูญเสียทักษะการเข้าสังคมเนื่องจากความผิดปกติของเชาวน์ปัญญา
ผู้ดูแลมีภาวะเครียดเนื่องจากภาระในการดูแลและพฤติกรรมของผู้ป่วย
การพยาบาล
ประเมินความสามารถของผู้ป่วยในการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ ถ้าไม่สามารถทำได้พยาบาลต้องช่วยดูแล
จัดสิ่งแวดล้อมให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอ วางแผนจัดกิจกรรม ตอนกลางวันให้เหมาะสม เพื่อจะได้นอนหลับได้ในตอนกลางคืน
ตรวจสอบร่างกายผู้ป่วยอยู่เสมอ ควรบันทึกพฤติกรรมตั้งแต่แรกรับสังเกตการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เกิดขึ้น เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ป่วยต่อไป
การตรวจสอบกิจกรรมของผู้ป่วยอยู่เสมอ จะช่วยให้พยาบาลจัดสิ่งแวดล้อมได้เหมาะสม
ป้องกันการกระตุ้นผู้ป่วยมากเกินไปหลีกเลี่ยงการให้งานที่ก่อความวิตกกังวล
ประเมินเหตุแห่งความซึมเศร้าเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยพูดระบายความรู้สึก
MULTIPLE SCLEROSIS
สาเหตุ
ภูมิคุ้มกัน เชื่อว่าอาจเกิดจากการที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต้านเนื้อเยื่อตนเอง
การอักเสบติดเชื้อจากไวรัสอย่างช้าๆ ซึ่งอาจติดเชื้อมาตั้งแต่วัยหนุ่มสาว
กรรมพันธุ์ ในผู้ที่มาจากครอบครัวที่มีประวัติเป็นมัลติเพิลสเคอโรซิส พบว่ามีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคนทั่วไปถึง 12-15 เท่า
สภาพแวดล้อมยังไม่ทราบปัจจัยที่แน่นอน
อาการและอาการแสดง
แขนขาอ่อนแรงเป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด
บางรายอาจมีอาการอัมพาตท่อนล่าง
พูดตะกุกตะกัก
การรับความรู้สึกผิดปกติรวมถึงอาการชาและอาการเสียวแปลบของแขนขา ลำตัวหรือใบหน้า อาจมีอาการเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต
กล้ามเนื้อใบหน้าส่วนครึ่งล่างอ่อนแรง
การเห็นผิดปกติ เห็นภาพซ้อน ภาพมัว หรือสายตาเสื่อมลง
ระบบการขับถ่ายเสียหน้าที่
ความผิดปกติทางด้านอารมณ์และจิตใจ
การรักษา
การให้ACTH,Prednisolone,Dexamethasone เพื่อลดภาวะบวมของมัยอิลิน
รักษาทางยา ส่วนใหญ่แพทย์จะให้ยาลดอาการกล้ามเนื้อกระตุก
ให้ยาลดสภาพของอารมณ์ที่ไม่มั่นคง เช่น Diazepam
การทำกายภาพบำบัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เดินออกกำลังกายปกติ
การพยาบาล
ส่งเสริมและช่วยเหลือให้ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหว ออกกำลังกายและฝึกการใช้กล้ามเนื้อต่างๆ
ช่วยเอื้ออำนวยให้ผู้ป่วยสามารถปรับตัวต่อภาวะเครียดที่เกิดขึ้นจากผลของโรค
ป้องกันปัญหาและภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ปัญหาที่พบบ่อย คือ ปัญหาการปัสสาวะไม่ออก ท้องผูก
ดูแลให้ผู้ป่วยพักผ่อนได้เต็มที่ ตลอดจนช่วยเหลือในด้านความสุขสบายต่างๆ เนื่องจากผู้ป่วยจะมีปัญหานอนไม่หลับ
ระมัดระวังอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากผู้ป่วยมีปัญหาการมองเห็นภาพซ้อน ตากระตุก พยาบาลควรจัดสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย ยกไม้กั้นเตียงขึ้นเสมอ
MYASTENIA GRAVIS
สาเหตุ
เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของกล้ามเนื้อ (โดยที่กระแสประสาทไม่สามารถส่งทอดไปสั่งการให้กล้ามเนื้อทำงานได้)
เชื่อว่ามีความสัมพันธ์กับออโตอิมมูน (autoimmune) หรือภูมิต้านทานที่เกิดกับอวัยวะของตัวเอง
อาจพบร่วมกับคนที่มีต่อมไทมัสโต
อาการและอาการแสดง
ที่พบได้บ่อย คืออาการหนังตาตก (ptosis) ซึ่งมักเกิดเพียงข้างเดียว
มีอาการตาเข มองเห็นภาพไม่ชัด เห็นภาพซ้อน (diplopia)
ถ้าเป็นมากขึ้นอาจมีอาการพูดอ้อแอ้ กลืนลำบาก พูดเสียงขึ้นจมูก หรืออาจมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
รายที่เป็นมากอาจมีอาการอ่อนแรงของแขนขาบางส่วนจนลุกขึ้นยืนหรือเดินไม่ได้
ถ้าเป็นรุนแรงก็อาจทำให้กล้ามเนื้อช่วยหายใจเป็นอัมพาต หยุดหายใจตายได้
Myasthenia crisis
เกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้ออ่อนแรงอย่างมาก
ทำให้เกิดอาการชาและอัมพาตทั้งแขน ขา ลำตัว หายใจตื้นๆ
ปริมาตรอาการเข้าปอด(Tidal volume) และความจุปอดลดลง
ผู้ป่วยจะกลืนลำบาก นำไปสู่การหยุดหายใจได้
การรักษา
การให้ Anticholinesterase ได้แก่ Mestinon หรือ Prostigmin
คอร์ติโคสตีรอยด์ เนื่องจากเชื่อว่า มายแอสทีเนียกราวิสเกิดจากความผิดปกติทางด้านอิมมูน เพื่อกดการสร้างอิมมูนที่ผิดปกติ
ที่ตรวจพบว่ามีต่อมไทมัสโตร่วมด้วย อาจต้องผ่าตัดเอาต่อมไทมัสออก
การเปลี่ยนพลาสม่า
GUILLAIN-BARRE SYNDROME (GBS)
สาเหตุ
กลุ่มอาการภายหลังมีการติดเชื้อในร่างกาย
การติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ
การติดเชื้อของระบบทางเดินอาหาร
คางทูม หัด อีสุกอีใส
ภายหลังการได้รับวัคซีนโรคไข้หวัดใหญ่
สาเหตุของการเกิดยังไม่ทราบแน่นอน
เชื่อว่าเกิดจากภูมิต้านทานของ
ตนเองที่ร่างกายสร้างขึ้นภายหลัง
มีการติดเชื้อโดยเฉพาะเชื้อไวรัส
อาการและอาการแสดง
อาการทางด้านประสาทรับความรู้สึก
อาการของกล้ามเนื้ออ่อนแรง
อาการลุกลามของประสาทสมอง
อาการลุกลามของประสาทอัตโนมัติ
การดำเนินโรค
ระยะอาการคงที่
ระยะที่ความเสื่อมคงที่
ร่างกายไม่มีอาการเปลี่ยนแปลง
อาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อจะไม่ดีขึ้นแต่ไม่เลวลง
อาการเจ็บปวดและอาการชาจะเริ่มลดลง ใช้เวลาตั้งแต่ 2-3 วัน จนถึง 2-3 สัปดาห์
ระยะฟื้นตัว
ระยะเฉียบพลัน
ช่วงที่อาการดำเนินจนถึงจุดรุนแรง ใช้เวลานานประมาณ 1-3 สัปดาห์
กล้ามเนื้ออ่อนแรงมากอาจจะถึงเป็นอัมพาตอย่างสมบูรณ์
การหายใจล้มเหลว ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ
การรักษา
การช่วยหายใจในผู้ป่วยที่มีภาวะการหายใจล้มเหลว ผู้ป่วยควรได้รับการใส่ท่อหลอดลมและเครื่องช่วยหายใจ เมื่อมีค่าความดันของออกซิเจนในเลือดแดง (PaO2 ) น้อยกว่า 60 มม. ปรอท
การให้ยากลุ่มสตีรอยด์ ต้านขบวนการอักเสบ ช่วยลดการ อ่อนแรงของกล้ามเนื้อได้
การเปลี่ยนถ่ายพลาสม่า (plasmapheresis) ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง
ปัจจัยที่ทำให้ผลการรักษาโรคไม่ดี
อายุมากกว่า 40 ปี
อุจจาระร่วงก่อนป่วย
ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
anti - GM1 สูง
กล้ามเนื้อแขน ขาอ่อนแรง
ข้อวินิจฉัยและแผนการพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท
การกำซาบของเนื้อเยื่อสมองลดลงเนื่องจากความดันในกะโหลกศีรษะสูงจากการบาดเจ็บ ที่สมอง เลือดออกในสมอง สมองบวม การติดเชื้อที่สมอง โรคหลอดเลือดสมองHydrocephalus
ประเมิน Vital sign , Neurosign ติดตามผลการตรวจตามเกณฑ์เบื้องต้น
ความดันในกะโหลกศีรษะโดยจัดท่าศีรษะสูง 30 องศา
รักษาแนวของศีรษะและล าตัวให้อยู่ในแนวปกติ
หลีกเลี่ยงท่าที่เพิ่มแรงดันในช่องท้องหรือช่องอก เช่น การงอสะโพก ท่าคว่ำ
หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เพิ่มแรงดันในกะโหลกศีรษะ เช่น Isometric exercise
ระดับความดันโลหิตให้อยู่ในช่วง90/60 – 140/90 mmHg
จัดสิ่งแวดล้อมที่สงบเงียบ ลดสิ่งกระตุ้น
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษา
ขาดประสิทธิภาพในการท่าทางเดินหายใจให้โล่ง เนื่องจากไม่สามารถไอเอาเสมหะออก จากภาวะไม่รู้สึกตัว
ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง โดยดูดเสมหะให้อย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมงและเมื่อได้
ยินเสียงเสมหะในปอดหรือลำคอ
จัดท่านอนให้นอนศีรษะสูง ในผู้ป่วยที่มีปัญหาในการเคลื่อนไหวควรดูแล
เปลี่ยนท่าให้ทุก 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดขยายตัวได้ดี
สัญญาณชีพให้ ทุก 2-4 ชั่วโมง และบ่อยขึ้น ในช่วงวิกฤตที่ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดภาวะกล้ามเนื้อหายใจอ่อนแรง ประเมินสมรรถภาพการหายใจของผู้ป่วย และสังเกตภาวะการขาดออกซิเจนหรือภาวะการหายใจวายเฉียบพลัน
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
เสี่ยงต่อการสำลักเนื่องจากระดับการรู้สติลดลง รีเฟล็กซ์ การไอและการขย้อนลดลงใส่คาท่อTracheostomy หรือ Endotraheal ท่อสำหรับให้อาหาร
ประเมินความสามารถในการกลืนการขย้อนของผู้ป่วยก่อนให้ผู้ป่วยได้รับอาหาร และจัดท่าศีรษะสูงเพื่อป้องกันการสำลัก
ประเมินเสียงปอด ลักษณะการหายใจ
ดูดเสมหะให้โล่งโดยเฉพาะบริเวณ Oropharynx และถ้าผู้ป่วยใส่คาท่อช่วยหายใจ ควรเป่า ลมเข้า cuff ตามขนาดความดันที่จ ากัด เพื่อป้องกันการส าลักเอาสิ่งคัดหลั่ง จากOropharynx เข้าหลอดลม
ผู้ป่วยที่ใส่ท่อให้อาหารตรวจดูต าแหน่งของท่ออาหารก่อนให้อาหาร และดูดดูปริมาณสารอาหารที่ตกค้างในกระเพาะอาหาร
การรับความรู้สึกและการรับรู้เปลี่ยนแปลงเนื่องจาก
-การไม่รับรู้ต่อการเคลื่อนไหว
-การไม่รับรู้ต่อการสัมผัส
-การมองเห็นเปลี่ยนแปลง
ประเมินภาวะความผิดปกติและระดับของการรับความรู้สึก
ปิดตาข้างใดข้างหนึ่งเพื่อลดอาการเห็นภาพซ้อน
ถ้าผู้ป่วยมีปัญหาเกี่ยวกับตาบอดครึ่งซีก แนะน าให้ผู้ป่วยกวาดสายตาไปรอบๆตัวเพื่อตรวจดูสิ่งแวดล้อมที่มองไม่เห็นในด้านที่เสีย
แนะนำให้ผู้ป่วยรู้จักตำแหน่งและสิ่งของเครื่องใช้ที่วางอยู่รอบๆตัว
พยายามกระตุ้นให้ผู้ป่วยได้ใช้ แขน ขาหรือร่างกายด้านที่เสียหรือเป็นอัมพาต
การให้การพยาบาลทุกครั้ง ควรเข้าหาผู้ป่วยเฉพาะด้านที่เป็นอัมพาตเท่านั้น
สิ่งแวดล้อมที่เรียบง่ายและปลอดภัย
มีความวิตกกังวลเนื่องจากขาดความรู้เกี่ยวกับโรค/สูญเสียภาพลักษณ์/สูญเสียอำนาจ
ประเมินอาการและอาการแสดงของความวิตกกังวล
เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ระบายความรู้สึกและรับฟังด้วยความใส่ใจ
ประเมินพฤติกรรมการยอมรับของผู้ป่วยและครอบครัวพูดให้กำลังใจผู้ป่วยตามความเหมาะสม
ผู้ป่วยได้มีส่วนร่วมในการวางแผนการรักษาและแจ้งให้ผู้ป่วยทราบทุกครั้งก่อนให้การพยาบาล
แนะนำวิธีผ่อนคลายให้แก่ผู้ป่วยหรือจัดหาสิ่งผ่อนคลายที่ผู้ป่วยต้องการตามเหมาะสม
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษา แนะนำสถานสงเคราะห์ที่สามารถให้การช่วยเหลือได้
การเคลื่อนไหวบกพร่องเนื่องจากความผิดปกติของระบบประสาท
ประเมินความสามารถในการเคลื่อนไหวของผู้ป่วย
สอนและแนะนำให้ผู้ป่วยและญาติออกกำลังกายแบบ Active exercise , Passiveและ
Passive rang of motion exercise
สอนและแนะนำให้ญาติและผู้ป่วยพลิกตะแคงตัวและนวดปุ่มกระดูก
จัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าที่ถูกต้องอยู่ในแนวปกติของร่างกาย ใช้หมอนหนุนรอบข้อสะโพกเพื่อไม่ให้แบะออก ใช้ foot board ป้องกันปลายเท้าตก
มีความวิตกกังวลเนื่องจากขาดความรู้เกี่ยวกับโรค/สูญเสียภาพลักษณ์/สูญเสียอำนาจ
ประเมินประเภทของความผิดปกติในการสื่อสารและความสามารถของผู้ป่วยในด้านความเข้าใจภาษา
ปรึกษานักอรรถบำบัดเพื่อวางแผนการฟื้นฟู
ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถพูดหรือแสดงออกเพื่อการสื่อสารได้หรือพูดล าบาก
หรือพูดไม่ชัดเตรียมอุปกรณ์ที่ช่วยในการสื่อสาร กระตุ้นให้ผู้ป่วยพูดช้าๆ สั้นๆ
ในกรณีผู้ป่วยไม่เข้าใจคำพูดหรือภาษาในการสื่อสาร ควรสื่อสารกับผู้ป่วยในตำแหน่งที่มองเห็น พยายามใช้ท่าทางและการแสดงออกทางใบหน้า ใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและผู้ป่วยใช้เป็นประจำ
ขณะที่มีการสื่อสารไม่ควรมีกิจกรรมอย่างอื่นมาแทรก เนื่องจากจะกระตุ้นให้ผู้ป่วยเบี่ยงเบนความสนใจ
ไม่แสดงท่าทางรีบเร่งหรือเร่งรัดคำตอบจากผู้ป่วย
บรรยากาศในการสื่อสารควรสงบเงียบ ผ่อนคลายและเป็นกันเอง