Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเปลี่ยนแปลงทางด้านสรีระ จิตสังคมในระยะมารดาหลังคลอด, นางสาวปิยธิดา…
การเปลี่ยนแปลงทางด้านสรีระ จิตสังคมในระยะมารดาหลังคลอด
การเปลี่ยนแปลงทางด้านสรีระในระยะมารดาหลังคลอด
การเปลี่ยนแปลงของระบบอวัยวะสืบพันธุ์
มดลูก (Uterus)มีการยืดขยายมากขณะตั้งครรภ์จะลดขนาดลงในทันทีที่เด็กและรกคลอดแล้วมดลูกจะมีน้ำหนักประมาณ 1,000 กรัมกว้าง 12 ซม.ยาว 5 ซม. หนา 8 – 10 ซม.สามารถคล้ำไปทางหน้าท้องมีลักษณะเป็นก้อนแข็งจากการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูกระดับของมดลูกจะอยู่ที่ระดับสะดือหรือต่ำกว่าเล็กน้อยทั้งนี้เนื่องจากการหย่อนของช่องคลอดผนังมดลูกส่วนล่างและกล้ามเนื้อของพื้นเชิงกราน (Pelvic floor) แต่ภายหลัง 24 ชั่วโมงไปแล้วระดับของมดลูกจะลอยสูงขึ้นมาอยู่เหนือสะดือเล็กน้อยและอาจเอียงไปทางขวา (เนื่องจากทางซ้ายมีล้าไส้ใหญ่ส่วนซิกมอยด์ขวางอยู่ ) เนื่องจากกล้ามเนื้อต่างๆเริ่มมีความตึงตัวขึ้นมดลูกจะลดขนาดลงสู่อุ้งเชิงกรานเร็วมากประมาณวันละ ½ -1 นิ้วโดยมดลูกจะลดทั้ง น้ำหนักและขนาดเพื่อกลับคืนสู่สภาพปกติเหมือนก่อนตั้งครรภ์เรียกว่า “มดลูกเข้าอู่” (Involution of uterus)
มดลูกกล้ามเนื้อมดลูกจะกลับเข้าสู่สภาพเดิมภายใน2–3 สัปดาห์หลังคลอดอาศัยขบวนการ 2 ประการคือ
การย่อยสลายตัวเอง (Autolysis or self digestion)
การขาดเลือดมาหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อมดลูก ( Ischemia or localized anemia )
อาการปวดมดลูก (Afterpain)
อาการปวดมดลูกมีสาเหตุจากการหดรัดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อมดลูกเกิดในหญิงครรภ์หลังส่วนในครรภ์แรกปกติจะไม่มีอาการปวดมดลูกเนื่องจากกล้ามเนื้อมดลูกยังมีความตึงตัวสูงยกเว้นว่าจะมีการยืดขยายของมดลูกมากเช่นครรภ์แฝดหรือครรภ์แฝดน้ำเด็กตัวโตอาการปวดมดลูกอาจรุนแรงเมื่อมารดาให้บุตรดูดนมเพราะการดูดนมจะกระตุ้นต่อมพิทูอิทารีส่วนหลัง (Posterior pituitary gland) หลั่งฮอร์โมนออกซิโทซิน(Oxytocin)ไปกระตุ้นมดลูกให้หดรัดตัวระยะเวลาที่เกิดอาการปวดมดลูกปกติจะไม่เกิน72 ชั่วโมงถ้าอาการปวดมดลูกมีนานเกิน 72 ชั่วโมงหรืออาการเจ็บปวดรุนแรงอาจเกิดจากมีเศษรกค้างหรือมีก้อนเลือดค้างอยู่
การเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุโพรงมดลูกและบริเวณรกเกาะ
หลังจากรกและเยื่อหุ้มเด็กคลอดแล้วจะเกิดรอยแผลที่บริเวณรกลอกตัวมีขนาดประมาณ 8 X 9 เซนติเมตรการหายของแผลเกิดจากเยื่อบุมดลูก (Endometrial tissue)เจริญขึ้นมาแทนที่ดิซิดิวอะเบซัลลิส (Decidua basalis) ซึ่งยังคงอยู่ในมดลูกหลังจากรกและเยื่อหุ้มเด็กแยกออกไปแล้วในระยะ 2 – 3 วันหลังคลอดดิซิดิว(Decidua) ที่เหลืออยู่ในโพรงมดลูกจะแบ่งตัวเป็น 2 ชั้น
น้ำคาวปลา (Lochia)
น้ำคาวปลาคือสิ่งที่ขับออกมาจากแผลภายในโพรงมดลูกตรงบริเวณที่รกเคยเกาะอยู่มีลักษณะเป็นน้ำเลือดปนน้ำเหลืองคล้ายน้ำคาวปลาลักษณะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของแผลที่มีการซ่อมแซมเพื่อเกิดเป็นเยื่อบุโพรงมดลูกตามปกติมีฤทธิ์เป็นด่างประกอบด้วยเลือดเยื่อบุมดลูกน้ำคร่ำและสิ่งต่างๆที่ค้างอยู่ในโพรงมดลูกมีกลิ่นเฉพาะไม่เหม็นเน่าจำนวนแตกต่างกันไปประมาณ 240 – 480 ซีซีและจะค่อยๆจางลงจนหมดไปภายใน 7 –21 วันหลังคลอด
น้้าคาวปลาแบ่งออกเป็น 3 ระยะ
Lochia rubra น้้าคาวปลาที่ออกมาในระยะ 2 – 3 วันแรกหลังคลอด
Lochia serosa มีประมาณวันที่ 4 – 9
Lochia alba มีประมาณวันที่ 10 หลังคลอด
การเปลี่ยนแปลงของปากมดลูก
ระยะหลังคลอดบริเวณจากปากช่องคลอดจนถึงมดลูกส่วนล่าง (Lower uterinesegment) ยังคงบวม เป็นเวลาหลายวันส่วนของปากมดลูกที่ยื่นเข้าไปในช่องคลอดจะอ่อนนุ่มมีรอยช้ำและมีรอยฉีกขาดเล็กๆ ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายประมาณ 18 ชั่วโมงหลังคลอดปากมดลูกจะสั้นลงแข็งขึ้นและกลับคืนสู่รูปเดิมประมาณ 2 – 3 วันหลังคลอดปากมดลูกยังคงยืดขยายได้ง่ายอาจสอดนิ้วเข้าไปได้ 2 นิ้วประมาณปลายสัปดาห์ที่ 1 จะกลับคืนเหมือนสภาพเดิมเกือบสมบูรณ์ตามปากมดลูกจะไม่คืนสู่สภาพเดิมเหมือนก่อนตั้งครรภ์รูปากมดลูกที่เป็นรูปวงกลมเมื่อก่อนตั้งครรภ์จะเปลี่ยนแปลงเป็นรูปยาวรีซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงว่าเคยผ่าน การคลอดมาแล้ว
ฝีเย็บ (Perineum)
ระยะคลอดศีรษะทารกจะกดดันและยืดฝีเย็บดังนั้นมารดาหลังคลอดจะมีอาการปวดบริเวณฝีเย็บฝีเย็บจะมีลักษณะบวมและอาจมีเลือดออกใต้ผิวหนังจากการที่หลอดเลือดฝอยฉีกขาด Labia minora และ labia majera เหี่ยวและอ่อนนุ่มมากขึ้น
สำหรับมารดาหลังคลอดที่มีการยืดขยายของกล้ามเนื้อฝีเย็บแต่ช่องทางคลอดแคบเกินไปอาจทำให้เกิดการหย่อนสมรรถภาพของกล้ามเนื้อบริเวณนี้เกิดภาวะ Rectocele หรือCystocele ขึ้นส่วนมารดาที่ได้รับการตัดฝีเย็บและได้รับการเย็บซ่อมแซมฝีเย็บจะหายเป็นปกติภายใน 5 – 7 วัน
ผนังหน้าท้อง (Abdominal wall)
ผนังหน้าท้องจะอ่อนนุ่มและปวกเปียกในวันแรกๆหลังคลอดกล้ามเนื้อหน้าท้องจะยังไม่สามารถพยุงอวัยวะภายในช่องท้องได้เต็มที่ เนื่องจากผนังหน้าท้องถูกยืดขยายเป็นเวลานานในระยะตั้งครรภ์์และใยกล้ามเนื้ออิลาสทิค (Elastic fiber) ของผิวหนังอาจมีการฉีกขาดบางครั้งถ้ามีการยืดขยายของกล้ามเนื้อหน้าท้องมากเกินไปจากเด็กตัวโตครรภ์แฝดหรือแฝดน้ำทำให้มีการแยกของกล้ามเนื้อหน้า
การกลับคืนสู่สภาพเดิมของกล้ามเนื้อหน้าท้องต้องใช้เวลาประมาณ 2 – 3 เดือนขึ้นกับลักษณะของรูปร่างของแต่ละคน จำนวนครั้งของการตั้งครรภ์และการบริหารร่างกายสำหรับริ้วรอยบนผนังหน้าท้อง (Striae gravidarum) ในระยะหลังคลอดจะไม่หายไปแต่สีจะจางลง
การมีประจ้าเดือน
ในขณะตั้งครรภ์จะไม่มีประจำเดือนเพราะรังไข่หยุดทำงานและรกทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนแทนภายหลังคลอดการมีประจำเดือนใหม่ในแต่ละคนจะแตกต่างไม่แน่นอนในรายที่ไม่เลี้ยงทารกด้วยนมมารดาจะกลับมีประจำเดือนใหม่อีกใน 7 – 9 สัปดาห์หลังคลอด ส่วนพวกที่เลี้ยงทารกด้วยนมมารดาจะมีประจำเดือนช้ากว่าโดยร้อยละ 55-75 จะมีประจำเดือนใหม่ในเดือนที่ 9 หลังคลอด
การเปลี่ยนแปลงของระบบต่างๆ
ระบบต่อมไร้ท่อ
ฮอร์โมนของรก(Placental hormone)
ฮอร์โมนเกี่ยวกับการเจริญเติบโต(Growth hormone)
ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง(Pituitary hormone)
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
การเปลี่ยนแปลงของปริมาณเลือดขึ้นกับองค์ประกอบหลายประการเช่นการสูญเสียเลือดระหว่างคลอดการขับน้ำออกนอกหลอดเลือด (Physiologic edema) หลังคลอดปริมาณเลือดจะลดลงทันทีแล้วค่อยๆลดลงเรื่อยประมาณ 3 – 4 สัปดาห์หลังคลอดปริมาณเลือดจึงจะลดลงสู่ระดับปกติเหมือนก่อนตั้งครรภ์
ระบบเลือด
เม็ดปริมาณเลือด (Blood volume) จะลดลงทันทีจากการสูญเสียเลือดภายหลังคลอดโดยปริมาณเลือดจะลดลงจากระดับ 5 – 6 ลิตรในระยะก่อนคลอดจนถึงระดับ 4 ลิตรเท่าคนปกติใน 4 สัปดาห์ส่วนการไหลเวียนเลือดใน 2–3 วันแรกหลังคลอดจะเพิ่มขึ้นประมาณ 15–30เปอร์เซนต์จากการไหลกลับของเลือดหลังรกคลอดค่าฮีโมโกบิน (Hemoglobin) ฮีมาโตคริต(Hematocrit) และจำนวนเม็ดเลือดแดง (Red blood cell count) จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลใน 3 วันแรกหลังคลอดค่าฮีมาโตคริตอาจสูงขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากมีการลดระดับของปริมาณน้ำเหลือง (Plasma) มากกว่าจำนวนของเม็ดเลือดจำนวนเหล่านี้จะลดลงสู่สภาพปกติของปริมาณน้ำเหลือง (Plasma) มากกว่าจำนวนของเม็ดเลือดจำนวนเหล่านี้จะลดลงสู่สภาพปกติ
เม็ดเลือดขาวอาจสูงขึ้นถึง 20,000 – 25,000 เซลล์ต่อมิลลิลิตรการที่จำนวนเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นพร้อมกับอัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นได้นอกจากนี้สารที่เป็นองค์ประกอบในการแข็งตัวของเลือด(Clotting Factor) ยังคงมีค่าสูงอยู่และจะลดลงสู่ระดับปกติใน 2 – 3สัปดาห์หลังคลอดซึ่งจะมีผลเสียถ้าไม่มีการเคลื่อนไหว ( Early ambulation ) และร่วมกับสภาวะติดเชื้อหรือได้รับความชอกซ้ำจากการคลอดก็จะกระตุ้นให้เกิดหลอดเลือดอุดตัน (Thromboembolism)ได้ง่ายขึ้น
ความดันเลือดและชีพจร
ระยะคลอดพบว่าค่าความดันโลหิตจะใกล้เคียงกับตอนไม่ตั้งครรภ์แต่อาจมีค่าความดันโลหิตต่ำได้จากการเสียเลือดมากกว่าปกติจนทำให้ปริมาณเลือดน้อยเกินไป (Hypovolemia)
ระบบหายใจ
ขนาดของช่องท้องและช่องทรวงอกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในระยะหลังคลอดทำให้ความจุภายในช่องท้องและกะบังลมลดลงปอดขยายได้ดีขึ้นการหายใจสะดวกขึ้น
ระบบทางเดินปัสสาวะ
ท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ
ขณะทารกผ่านช่องทางคลอดจะทำให้เกิดการบาดเจ็บของท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะกระเพาะปัสสาวะจะบวมและมักมีอาการบวมและช้้ารอบๆรูเปิดของท่อปัสสาวะความตึงตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะลดลงทำให้มีความจุมากขึ้นแต่ความไวต่อแรงกดจะลดลง
การทำงานของไต(Renal function)
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในระยะตั้งครรภ์ทำให้ไตทำงานเพิ่มขึ้น สัปดาห์แรกหลังคลอดภายใน 12 ชั่วโมงหลังคลอดมารดาจะเริ่มถ่ายปัสสาวะมากปัสสาวะที่ออกจากร่างกายรวมกับน้้าที่สูญเสียทางเหงื่อจะทำให้น้ำหนักของมารดาลดลงในระยะแรกหลังเนื่องจากมีการขับน้้าและอิเล็คโทรลัยที่สะสมตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์การทำงานของไตจะกลับสู่สภาพปกติใน 4 – 6 สัปดาห์
ระบบทางเดินอาหาร
ปกติหลังคลอดมารดามักรู้สึกตัวและกระหายน้้าในระยะ 2 – 3 วันแรก มีความอยากอาหารและดื่มน้้ามากเพราะสูญเสียน้้าระหว่างคลอดและหลังคลอดระยะแรกหลังคลอดมารดามีแนวโน้มที่จะท้องผูกจากการทีสูญเสียแรงดันภายในช่องท้องกล้ามเนื้อหน้าท้องหย่อนตัวประกอบกับมีการเคลื่อนไหวของลำไส้ช้าตั้งแต่ในระยะตั้งครรภ์และได้รับการสวนอุจจาระในระยะที่ 1 ของการคลอดนอกจากนี้มารดาอาจไม่กล้าเบ่งเพราะกลัวแผลแยกหรือกลัวเจ็บแผลทำให้เกิดอาการท้องผูกภายหลังคลอดได้และลำไส้จะทำงานได้ดีประมาณปลายสัปดาห์แรกหลังคลอด
ระบบผิวหนังง
ฝู้าบริเวณใบหน้า (Chloasma gravidarum) จะหายไปแต่สีที่เข้มของลานนม เส้นกลางหน้าท้อง (Linea nigra) และรอยแตกของผิวหนังบริเวณผนังหน้าท้อง(Striae gravidarum) จะไม่หายไปแต่สีอาจจางลง
การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตสังคมในระยะมารดาหลังคลอด
กระบวนการในการปรับตัวของสตรีหลังคลอด (Process of maternaladaptation)
Taking – in phase
ระยะเริ่มเข้าสู่บทบาทการเป็นมารดาเป็นระยะ 1 – 3 วันแรกหลังคลอดร่างกายมีความอ่อนล้าไม่สุขสบายจากการปวดมดลูกเจ็บปวดแผลฝีเย็บและคัดตึงเต้านมบางรายอาจปวดร้าวกล้ามเนื้อบริเวณตะโพกและฝีเย็บจนกระทั่งเดินไม่ได้ในช่วงวันแรกช่วยเหลือตนเองได้น้อยในช่วงนี้จึงสนใจแต่ตนเองมความต้องการพึ่งพาผู้อื่น (Dependency needs) การพยาบาลที่ให้มุ่งเน้นที่จะประคับประคองทางด้านจิตใจและร่างกายของมารดาหลังคลอดเป็นหลักแต่มารดาหลังคลอดก็ยังสนใจในตัวทารกดังนั้นพยาบาลจึงควรเริ่มอธิบายถึงธรรมชาติของทารกให้มารดาได้รับทราบด้วย
บทบาทของพยาบาล
ดูแลช่วยเหลือประคับประคองและตอบสนองความต้องการของมารดาหลังคลอดทางด้านร่างกายในเรื่องการรับประทานอาหารการพักผ่อนการรักษาความสะอาดของร่างกายการขับถ่ายการท้ากิจกรรมต่างๆลดภาวะไม่สุขสบายต่างๆรวมทั้งควรประคับประคองทางด้านจิตใจ
ให้การพยาบาลด้วยท่าทีที่อบอุ่นเห็นอกเห็นใจเข้าใจความรู้สึกด้วยความจริงใจเพื่อให้มารดาหลังคลอดมีความรู้สึกว่ามีผู้สนใจเอาใจใส่ตนเองเกิดความอบอุ่นใจ
เปิดโอกาสให้มารดาหลังคลอดได้ระบายความรู้สึกและรับฟังด้วยความสนใจจะช่วยให้มารดาหลังคลอดสบายใจขึ้น
พยาบาลควรอธิบายให้สามีและญาติเข้าใจถึงความรู้สึกและการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ของมารดาหลังคลอดและสนับสนุนให้มารดาหลังคลอดได้พูดคุยกับสามีญาติรวมทั้งมารดาหลังคลอดรายอื่นๆเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ในการคลอด
สังเกตอาการผิดปกติทางด้านจิตใจที่อาจจะเกิดขึ้นให้ความสนใจทั้งคำพูดและพฤติกรรมที่แสดงออกเพื่อประเมินสภาพจิตใจและให้การพยาบาลช่วยเหลือแต่เนิ่นๆก่อนที่อาการทางจิตจะรุนแรงมากขึ้น
Taking – hold phase
ระยะเข้าบทบาทการเป็นมารดาระยะนี้จะอยู่ในช่วง 3 – 10 วันหลังคลอดมารดาหลังคลอดที่ได้รับการตอบสนองในช่วง Taking - in phaseอย่างครบถ้วนก็จะเริ่มปรับตัวเข้าสู่ระยะนี้โดยเริ่มเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมพึ่งพาเริ่มเข้าสู่พฤติกรรมพึ่งพาเป็นอิสระสามารถช่วยเหลือตนเองได้มากยิ่งขึ้นเริ่มสนใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการดูแลทารกสนใจบุคคลอื่นๆในครอบครัวเพิ่มขึ้นช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่พยาบาลจะให้คำแนะนำเรื่องการปฏิบัติตัวหลังคลอดและการดูแลทารกรวมทั้งสามีและบุคคลต่างๆคอยให้กำลังใจเป็นแรงเสริมในทางบวกที่จะช่วยให้สตรีหลังคลอดสามารถปรับตัวในการเป็น “มารดา”ได้ดียิ่งขึ้น
บทบาทของพยาบาล
พยาบาลต้องมีความอดทนในการสอนสาธิตแนะนำและให้กำลังใจแก่มารดาหลังคลอดในการดูแลตนเองและทารกให้ถูกต้องรวมทั้งการสอนและสาธิตให้สามีและญาติในการช่วยดูแลทารกเพื่อให้มารดาหลังคลอดมีเวลาพักผ่อนมากขึ้นนอกจากนี้การแนะนำถึงแหล่งความรู้ต่างๆเช่นหนังสือตำราและเอกสารต่างๆก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้สตรีหลังคลอดและสมาชิกในครอบครัวได้ทบทวนและเพิ่มเติมความรู้ก่อให้เกิดความมั่นใจในการปฏิบัติตัวหลังคลอดและการดูแลทารกมากขึ้น
สนับสนุนให้สามีพูดคุยให้กำลังใจเพื่อช่วยให้มารดาหลังคลอดเกิดความมั่นใจและกระตือรือร้นที่จะปรับบทบาทของตนเองเข้าสู่การเป็น “มารดา” และเป็น “ภรรยา” ที่ดีของทารกและสามีได้ด้วยดี
การแนะนำเรื่องการวางแผนครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่จะช่วยให้ครอบครัวได้จัดวางแผนดำเนินชีวิตในครอบครัวเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมที่อาจจะเกิดตามมา
Letting-go phase
ระยะที่แสดงบทบาทได้ดีเป็นช่วงต่อเนื่องจาก Taking-hold phase ระยะนี้เริ่มตั้งแตวันที่ 10 หลังคลอดเป็นต้นไปซึ่งเป็นช่วงที่สตรีหลังคลอดและทารกลับมาอยู่ที่บ้านผู้ติดตามดูแลให้คำแนะนำต่อเนื่องจากระยะที่อยู่โรงพยาบาลต้องชี้แนะแนวทางให้มารดาหลังคลอดและสามีได้ร่วมกันวางแผนการดำเนินชีวิตการปรับตัวเข้าสู่บทบาทใหม่และการมีสมาชิกในครอบครัวเพิ่มขึ้นสมาชิกในครอบครัวแต่ละคนต่างก็ต้องมีพฤติกรรมพึ่งพาอาศัยกัน (Interdependent behavior) ในระยะนี้มารดาหลังคลอดเริ่มมีความต้องการที่จะพบหรือพูดคุยกับบุคคลภายนอก
บทบาทของพยาบาล
แนะนำให้มารดาหลังคลอดสามีและสมาชิกภายในครอบครัวสามารถปรับตัวและวางแผนการดำเนินชีวิตตามพัฒนกิจของครอบครัวได้อย่างเหมาะสมช่วยประสานความสัมพันธ์ของสมาชิกให้แน่นแฟูนยิ่งขึ้นเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือซึ่งกันและกันโดยสนับสนุนให้สมาชิกในครอบครัวได้พูดคุยทำความเข้าใจกัน
บทบาทการพยาบาลด้านการเปลี่ยนแปลงทางสรีระหลังคลอด
การดูแลความสะอาดและการป้องกันการติดเชื้อการติดเชื้อที่แผลฝึเย็บ และโพรงมดลูกและปีกมดลูก
การมีเพศสัมพันธ์หลังคลอดและการวางแผนครอบครัว
งดการมีเพศสัมพันธ์( sexual intercourse) 4-6 สัปดาห์
การเลือกชนิด การวางแผนครอบครัว
-แบบถาวร
-แบบชั่วคราว
การออกกำลังกาย
-หลังคลอดภายใน 7 วันใช้ท่าบริการ การหายใจ บริหารช่องอก, กล้ามคอ,หลัง, ไหล่ ส่วนบริเวณฝีเย็บ ช่องท้องและเชิงกราน ให้แนะนำเมื่อเริ่มไม่รู้สึกเจ็บบริเวณแผลฝึเย็บ หรือผ่าตัดคลอด
ไม่หักโหม มากเกินจนรู้สึกเหนื่อยมาก ใจสั่น
ไม่ยกของที่มีน้ำหนักเกิน 5 กิโลกรัม
อาการผิดปกติที่ควรมารพ.ก่อนวันนัด
มีไข้
เต้านมแดง เจ็บ เป็นตุ่มหนอง
ปวดมดลูกมากกว่า ตอนอยู่โรงพยาบาล /ปวดท้องน้อยข้างใดข้างหนึ่ง
แผลบวม เจ็บตึง มีเลือด/หนองไหลจากแผล
น้้าคาวปลามีกลิ่นเหม็น ออกมากกว่าวันละ 4 ผืนชุ่มผ้าอนามัย
ปัสสาวะแสบ ขัด มีกลิ่น/ปัสสาวะขุ่นถ่าย
อุจจาระลำบาก
นอนไม่หลับ โดยไม่ทราบสาเหตุ
การมาตรวจตามนัด
การนัดหลังคลอด 7 วันเพื่อติดตามแผลจากการคลอด และอาการอื่นๆ
การนัดหลังคลอด 6 สัปดาห์เพื่อติดตามมดลูกเข้าอู่ คืนสภาพตามปกติ การตรวจหาชิ้นเนื้อของมะเร็งปากมดลูก และเลือกชนิดการวางแผนครอบครัว
การให้ค้าแนะนำมารดา เรื่องการเลี้ยงลูกและสังเกตอาการผิดปกติของลูก
นางสาวปิยธิดา พันทะลี เลขที่77 ห้องA
บทบาทการพยาบาลด้านการเปลี่ยนแปลงทางสรีระหลังคลอด 24 ซมแรก
การดูแลกระเพาะปัสสาวะ
ต้องดูแลให้กระเพาะปัสสาวะว่างอยู่เสมอ และให้ถ่ายปัสสาวะภายใน 8 ชั่วโมงหลังคลอด การที่กระเพาะปัสสาวะเต็มจะทำให้การหดรัดตัวของมดลูกเป็นไปได้ไม่ดีด้วย
การสังเกตสัญญาณชีพอุณหภูมิหลังคลอดอาจสูงขึ้นได้แต่ไม่เกิน 38 องศาเซลเซียสใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด ซึ่งไม่ใช่ไข้จากการติดเชื้อ เป็นไข้จากปฏิกิริยาจากการสูญเสียเลือดและสารน้้านร่างกายจากการคลอด เรียก REACTIONARY FEVERดังนั้นจึงควรวัดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หรือทุก 4 ชั่วโมง
การติดตามการเปลี่ยนแปลงของมดลูกควรมีการติดตามดูการหดรัดตัวของมดลูกต่อจากระยะ 2 ชั่วโมงแรกหลังคลอด เนื่องจากอาจมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะในมารดาทีผ่านการคลอดมากหลายครั้ง ครรภ์แฝดน้ำ ครรภ์แฝดหรือทารกตัวใหญ่
การสังเกตแผลฝีเย็บและเลือดที่ออกทางช่องคลอด
ต้องตรวจดูลักษณะของแผลฝีเย็บว่ามีการดึงรั้ง บวม มีก้อนเลือดใต้ผิวหนังหรือไม่ และสังเกตเลือดที่ออกทางช่องคลอดว่ามีมากน้อย แนะนำมารดาไม่นั่งท่าขัดสมาธิเนื่องจากการสมานของแผลใช้ระยะชิดของเนื้อเยื่อตลอดเวลา
น้้าดื่ม & สารน้ำตามแผนการรักษาแพทย์หลังคลอดมารดาจะรู้สึกกระหายน้ำ มากกว่าหิว หรืออยากรับประทานอาหาร ดูอาการของมารดาแต่ละราย ส่วนใหญ่การคลอดทางช่องคลอด มักไม่มีข้อห้ามของน้ำดื่ม
อาการท้องผูกหลังคลอด
การขับถ่ายอุจจาระ-ปัสสาวะ
หลังคลอด 8 ชั่วโมง มารดาควรถ่ายปัสสาวะได้เอง แต่ในบางรายจะถ่ายปัสสาวะล้าบากใน 1-2 วันแรกหลังคลอด เนื่องจากความตึงตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะไม่มีกำลัง หรือยืดมากเกินไป ท้าให้ปัสสาวะคั่งหรือถ่ายลำบาก พยาบาลต้องกระตุ้นให้ปัสสาวะ ถ้ากระตุ้นแล้วยังถ่ายเองไม่ได้ให้พิจารณาสวนปัสสาวะให้
การให้ค้าแนะนำ
ออกกำลังกายด้วยการลุกขึ้นเดินบ่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคลอดโดยการผ่าตัดหน้าท้องการเดินจะเป็นการกระตุ้นให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น และช่วยกระตุ้นการขับถ่าย
หมั่นขมิบก้นและช่องคลอด
ไม่ควรกลั้นอุจจาระเพราะกลัวเจ็บแผล เพราะการถ่ายอุจจาระจะไม่ทำให้แผลที่เย็บกระทบกระเทือนอยู่แล้ว
ไม่ควรเบ่งแรงเวลาถ่าย เพราะการเบ่งจะส่งทำให้เกิดริดสีดวงทวารหนักได้
รับประทานอาหารที่มีกากใยเพิ่มมากขึ้น ทั้งผลไม้สด และผักด รวมถึงธัญพืชต่าง ๆ ในปริมาณที่มากพอต่อวัน เพื่อกระตุ้นกระบวนการทำงานของระบบขับถ่าย
การรักษาความสะอาดร่างกายและอวัยวะสืบพันธุ์ควรกระตุ้นให้ลุกไปทำความสะอาดร่างกาย เต้านม และอวัยวะสืบพันธรวมทั้งเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ เมื่อเปียกชุ่ม การอาบน้้าจึงเป็นการชำระใหสะอาดและช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ควรอาบน้ำอย่างน้อยวันละ ๒ ครั้ง เช้า-เย็น และสระผมร่วมด้วยก็ได้
การดูแลการรับประทานอาหารดูแลให้มารดาได้รับประทานอาหารเพียงพอและมีประโยชน์ กระตุ้นให้มารดารับประทานอาหารเนื่องจากมารดาในระยะแรกมักเบื่ออาหารอยากพักผ่อนมากกว่า การรับประทานอาหารจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและกลับสู่สภาพปกติได้เร็วขึ้น ควรได้อาหารครบทั้ง 5 หมู่ และให้ได้พลังงานประมาณ 2,600-2,800แคลอรี่ต่อวัน
การพักผ่อนและการนอนหลับควรได้มีการพักผ่อนและนอนหลับให้เพียงพอ นอกจากเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดจากการคลอดแล้วยังช่วยให้การสร้างน้้านมเป็นไปด้วยดี