Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร, นางสาวสุรีรัตน์ เผ่าหอม เลขที่ 70 B …
ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร
ภาวะท้องผูก (Constipation)
ปํญหา
ทางกาย มีอาการปวดท้องหรือทาให้อาการของโรคบางอย่างกาเริบ เช่น มีเลือดออกจากทวารหนักในรายที่เป็นริดสีดวงทวาร ำให้เกิดแผลในลำไส้ใหญ่หรือรอบทวารหนัก ทำให้ถ่ายอุจจาระแล้วรู้สึกเจ็บปวดทวารหนักผู้ป่วยจึงไม่อยากถ่ายอุจจาระ นอกจากนั้นอาการท้องผูกอาจเป็นอาการของโรคร้ายแรงเช่นมะเร็งลาไส้ใหญ่ซึ่งมีอันตรายถึงชีวิตถ้าตรวจรักษาช้า
ทางด้านจิตใจ อาจทาให้หดหู่ ซึมเศร้า หรือฉุนเฉียวได้ง่าย
ผลเสียทางด้านเศรษฐกิจและสังคม อาจทำให้ผู้ป่วยขาดงานหรือทางานได้ไม่เต็มที่
ความหมาย
ท้องผูก คืออาการถ่ายอุจจาระลำบาก ต้องเบ่งและใช้เวลานาน อุจจาระมีลักษณะแข็งมาก หลังจากถ่ายเสร็จแล้วยังปวดท้องและมีความรู้สึกว่าถ่ายไม่หมด รวมถึงการถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
อาการ
ต้องเบ่งและใช้เวลานาน
อุจจาระมีลักษณะแข็งมาก
หลังจากถ่ายเสร็จแล้วยังปวดท้องและมีความรู้สึกว่าถ่ายไม่หมด
การถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
สาเหตุ
จากระบวนการย่อยทำหน้าที่ลดลง และเกิดจากปัจจัยร่วมหลายอย่าง ดังนี้
5.ปัญหาเรื่องฟันและช่องปาก หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอาจสร้างปัญหาการเคี้ยวอาหารได้ไม่ละเอียด ส่งผลให้ท้องอืดเฟ้อหลังอาหาร จนทำให้ไม่อยากรับประทานอาหารเพื่อเลี่ยงปัญหาดังกล่าว
6.ดื่มน้ำน้อย ผู้สูงอายุกับปัญหาปัสสาวะเล็ดหรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เป็นของคู่กัน หลายท่านจึงเลือกที่จะดื่มน้ำน้อยหรือไม่ดื่มระหว่างวันเลย อาการท้องผูกจึงเป็นปัญหาที่ตามมา
7.ขาดการออกกำลังกาย การเคลื่อนไหวร่างกายในผู้สูงอายุเป็นเรื่องยาก อาจเนื่องด้วยกลัวการพลัดตกหกล้ม หรือบางกรณีที่มีอาการป่วยจากโรคเรื้อรัง รวมถึงไม่เห็นความสำคัญของการออกกำลังกาย
8.มีความเครียด หรือมีลักษณะนิสัยกลั้นอุจจาระ
9.รับประทานอาหารที่มีใยอาหารไม่เพียงพอ เนื่องจากกากใยอาหารมักเคี้ยวยาก มีความเหนียว ยากต่อการเคี้ยวบด ผู้สูงอายุจึงมักเลือกรับประทานอาหารนิ่มที่ขาดใยอาหาร
โรคทางกาย เช่น เบาหวาน ต่อมไทรอยด์ทางานน้อยกว่าปกติ ภาวะแคลเซียมในเลือดต่าหรือโรคทางระบบประสาท เช่น การได้รับบาดเจ็บที่สมองหรือไขสันหลัง
การอุดกั้นของทางเดินอาหาร เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ ลำไส้ตีบ ลำไส้บิดพันกันความผิดปกติของทวารหนัก โรคที่มีการลดน้อยลงของปมประสาทของลำไส้ใหญ่ส่วนปลายที่เป็นมาแต่กำเนิด (Hirschsprung’s disease)
ยา เช่น ยารักษาอาการซึมเศร้า ยาลดการบีบเกร็งของลาไส้ ยารักษาโรค Parkinson ยากันชัก ยาลดความดันโลหิตและยาแก้ปวดบางชนิด ยาที่มีธาตุเหล็ก เป็นต้น
การเคลื่อนไหวของลำไส้ผิดปกติ เช่น ลำไส้เคลื่อนไหวน้อยหรือไม่ประสานกับกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนัก หรือภาวะลำไส้แปรปรวน
ภาวะแทรกซ้อน
คนไข้จะรู้สึกรำคาญ
อึดอัดในช่องท้อง
ท้องอืด
เบื่ออาหาร
ปวดท้อง
ลำไส้อุดตัน
อาจจะมีอาการท้องเสียตามมาด้วย ในบางราย
อาจะทำให้มีอาการลำไส้โป่งพองมาก มีโอกาสแตกทะลุ
ทำให้มีการสูญเสียเกลือแร่และน้ำ
แนวทางการพยาบาล
แนะนำให้ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ 6-8 แก้วต่อวัน ทำให้อุจจาระในลำไส้มีการเคลื่อนไหวได้ดี
รับประทานอาหารที่มีกากใย เช่น ผักผลไม้ เนื่องจากกากใยของอาหารเหล่านี้มีผลทำให้ลำส้สามารถเคลื่อนไหวได้มากขึ้น
ฝึกสุขนิสัยขับถ่ายให้เป็นเวลาเช่น ขับถ่ายช่วงเวลาเช้าทุกวัน ตลอดจนจัดสิ่งแวดล้อมให้มีความเป็นส่วนตัว ในการเข้าห้องน้ำหรือการขับถ่าย
ออกกำลังกายเป็นประจำ
4.1 กรณีที่ผู้สูงอายุไม่มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวออก
กำลังกายได้ตามความเหมาะสม
4.2 หากกรณีที่ผู้สูงอายุไม่สามารถขับถ่ายได้เองผู้ดูแล
ต้องช่วยเหลือในการขับถ่ายบนเตียง เช่น การใช้หม้อนอน ควร
ออกกำลังกายบนเตียงตามความเหมาะสมโดยคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของผู้สูงอายุ
ใช้ยาระบายที่เป็นยาสามัญประจำบ้าน เช่น ยาระบายที่จะช่วย
ให้สามารถขับถ่ายอุจจาระได้ดีขึ้น ช่วยทำให้อุจจาระอ่อนตัว ยาระบายอื่น
เช่น ยาเม็ดมะขามแขก ฯลฯ ควรใช้อย่างระมัดระวังภายใต้คำแนะนำ
ของแพทย์ เพราะมีผลข้างเคียงต่อการเคลื่อนไหวของลำไส้ หากได้
รับยานี้อย่างต่อเนื่อง
สวนอุจจาระและการใช้ยาเหน็บในกรณีที่มีภาวะท้องผูก
และมีอาการแน่นอึดอัดท้องอย่างมาก ซึ่งการใช้อุปกรณ์สอดใส่
ต่าง ๆ ต้องระมัดระวังการระคายเคือง หรือเกิดแผลบริเวณทวารหนัก
ได้
ภาวะท้องเสีย
ปัญหา
เกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง
ความหมาย/สาเหตุ
คือ อาการอุจจาระร่วง หรือ ถ่ายอุจจาระบ่อยครั้งกว่าปกติ รวมทั้งลักษณะการถ่ายอุจจาระที่ผิดปกติด้วย เช่น ถ่ายเป็นน้ำ ถ่ายเป็นมูกเลือด หรือถ่ายอุจจาระบ่อย ร่วมกับมีการอาเจียนด้วยสาเหตุ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
แบบเฉียบพลัน จะพบมากในคนส่วนใหญ่ เกิดขึ้นเร็ว แต่เป็นไม่นาน เช่น
จากการติดเชื้อ อาจเกิดจากไวรัส บิด อหิวา
สารพิษ จากเชื้อโรค เกิดจากการกินพิษของโรคที่ปนเปื้อนในอาหาร
สารเคมี เช่น ตะกั่ว สารหนู
พืชพิษ เช่น เห็ดพิษ กลอย เป็นต้น
แบบเรื้อรัง ผู้ป่วยจะถ่ายนานเกิน 7 วัน อาจเกิดจาก ภาวะดังนี้
ภาวะเครียด
ติดเชื้อ เช่น บิดอะมีบา
โรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน คอพอกเป็นพิษ
ขาด Enzyme lactase เพื่อย่อย lactose
ความผิดปกติเกี่ยวกับการดูดซึมของลำไส้
เนื้องอก หรือ มะเร็งของลำไส้ หรือ ตับอ่อน
อื่นๆ เช่น หลังการผ่าตัด
“โรคท้องร่วงกับผู้สูงอายุ” โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนมักพบได้บ่อย สำหรับคนหนุ่มสาวเกิดภาวะท้องเดิน 7-8 ครั้ง อาจไม่อันตรายเท่ากับคุณตาคุณยายถ่ายหนักเกิน 2 ครั้ง เพราะอาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและบางรายอาจถึงขั้นชีวิตได้จากการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
อาการ
ผู้ป่วยจะมีการถ่ายอุจจาระเหลว มากกว่า 3 ครั้ง ใน 1 วัน หรือถ่ายมีมูกเลือด เพียงครั้งเดียวหรือถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 1 ครั้งใน 1 ชั่วโมง
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะขาดน้ำและเกลือแร่
โรคลำไส้แปรปรวน
ภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง
กลุ่มอาการเม็ดเลือดแดงแตกยูรีเมีย หากท้องเสียจากการติดเชื้อบางชนิด
ร่างกายส่วนอื่นตอบสนองต่อการติดเชื้อในทางเดินอาหารจนเกิดการอักเสบตามไปด้วย
การติดเชื้อลุกลามไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ ในร่างกาย
แนวทางการพยาบาล
ล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังรับประทานอาหารหรือสัมผัสกับอาหาร หลังการเข้าห้องน้ำ หรือจับสิ่งสกปรกอื่น ๆ เพื่อป้องกันแพร่กระจายของเชื้อโรค
ในกรณีที่ไม่สามารถล้างมือได้ ควรใช้เจลล้างมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เลือกรับประทานอาหารอย่างระมัดระวัง เช่น รับประทานของร้อน อาหารที่สะอาด สดใหม่ หลีกเลี่ยงผักผลไม้สดที่ล้างไม่สะอาด เนื้อสัตว์ดิบ และผลิตภัณฑ์ประเภทนม เป็นต้น
ไม่ควรวางอาหารทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องนาน ๆ ควรเก็บเข้าตู้เย็น เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
ควรทำความสะอาดบริเวณที่มีการเตรียมอาหารให้ถูกสุขลักษณะ รวมถึงการล้างมือให้สะอาด ขณะเตรียมอาหาร
เลือกดื่มน้ำที่สะอาด ถูกสุขลักษณะ
คำแนะนำ
1.อย่าเสียดายอาหาร
2.ผู้ดูแลต้องหมั่นเช็กอาหารประเภทแกงกะทิที่ปรุงทิ้งไว้นานเกิน 2 ชั่วโมง ก็ให้รีบทิ้ง เพราะถ้าให้ท่านรับประทานติดต่อกันอาจทำให้ท้องเสียได้
3.ผู้สูงอายุสามารถรับประทานอาหารได้ทุกประเภท แต่ให้เน้นว่าต้องปรุงสุก สะอาด และสุกใหม่ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อน เช่น หากคุณพ่อคุณแม่อยากรับประทาน “แกงกะทิ” ก็ต้องปรุงสุกใหม่และรับประทานทันที หรือแม้แต่อาหารหมักดองอย่าง “ผักเสี้ยนดอง” จิ้ม “น้ำพริกกะปิ” ก็สามารถรับประทานได้ แต่ต้องล้างให้สะอาด และน้ำพริกก็ต้องทำใหม่ๆ ไม่รับประทานของเก่าค้างคืน เพื่อป้องกันอาการท้องเสีย
นางสาวสุรีรัตน์ เผ่าหอม เลขที่ 70 B
นักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 2 รุ่นที่ 26