Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลมารดาในระยะหลังคลอด, อ้างอิง : “การพยาบาลมารดาระยะหลังคลอด”[ออนไ…
การพยาบาลมารดาในระยะหลังคลอด
การเปลี่ยนแปลงทางด้านสรีระ จิตสังคมของมารดาในระยะหลังคลอด
การเปลี่ยนแปลงด้านจิตสังคมของมารดาในระยะหลังคลอด
กระบวนการในการปรับตัวของสตรีหลังคลอด (Process of maternaladaptation)
แบ่งออกเป็น 3 ระยะ
Taking – hold phase
ระยะนี้จะอยู่ในช่วง 3 – 10 วันหลังคลอด มารดาจะเริ่มปรับตัวเข้าสู่ระยะนี้ โดยเริ่มเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมพึ่งพาเริ่มเข้าสู่พฤติกรรมพึ่งพาเป็นอิสระสามารถช่วยเหลือตนเองได้มากยิ่งขึ้น เริ่มสนใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการดูแลทารกสนใจบุคคลอื่นๆในครอบครัวเพิ่มขึ้น
พยาบาลให้คำแนะนำเรื่องการปฏิบัติตัวหลังคลอดและการดูแลทารกรวมทั้งสามีและบุคคลต่างๆ คอยให้กำลังใจเป็นแรงเสริมในทางบวกที่จะช่วยให้สตรีหลังคลอดสามารถปรับตัวในการเป็น “มารดา”ได้ดี ยิ่งขึ้น
Letting-go phase
ระยะนี้เริ่มตั้งแต่ วันที่ 10 หลังคลอดเป็นต้นไปซึ่งเป็นช่วงที่สตรีหลังคลอดและทารกลับมาอยู่ที่บ้านต้องชี้แนะแนวทางให้มารดาหลังคลอดและสามีได้ร่วมกันวางแผนการ ดำเนินชีวิตการปรับตัวเข้าสู่บทบาทใหม่และการมีสมาชิกในครอบครัวเพิ่มขึ้นสมาชิกในครอบครัวแต่ละคนต่าง ก็ต้องมีพฤติกรรมพึ่งพาอาศัยกัน (Interdependent behavior) ในระยะนี้มารดาหลังคลอดเริ่มมีความ ต้องการที่จะพบหรือพูดคุยกับบุคคลภายนอก
พยาบาลต้องแนะนำให้มารดาหลังคลอด สามีและสมาชิกภายในครอบครัวสามารถปรับตัวและวางแผนการดำเนินชีวิตตามพัฒนกิจของครอบครัวได้อย่างเหมาะสมช่วยประสานความสัมพันธ์ของสมาชิกให้แน่นแฟนยิ่งขึ้นเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือซึ่งกันและกันโดยสนับสนุนให้สมาชิกในครอบครัวได้พูดคุยทำความเข้าใจกัน
Taking – in phase
เป็นระยะ 1 – 3 วันแรกหลังคลอดร่างกายมี ความอ่อนล้าไม่สุขสบายจากการปวดมดลูกเจ็บปวดแผลฝีเย็บและคัดตึงเต้านมบางรายอาจปวดร้าวกล้ามเนื้อ บริเวณตะโพกและฝีเย็บจนกระทั่งเดินไม่ได้ในช่วงวันแรกช่วยเหลือตนเองได้น้อยในช่วงนี้จึงสนใจแต่ตนเองมี ความต้องการพึ่งพาผู้อื่น (Dependency needs)
การพยาบาล - มุ่งเน้นที่จะประคับประคองทางด้านจิตใจ และร่างกายของมารดาหลังคลอดเป็นหลักแต่มารดาหลังคลอดก็ยังสนใจในตัวทารกดังนั้นพยาบาลจึงควรเริ่ม อธิบายถึงธรรมชาติของทารกให้มารดาได้รับทราบด้วย
ภาวะที่มารดาเศร้าหลังคลอด
(Postpartum blues หรือbaby blues)
มีการลดลงทันทีของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนในช่วง 72 ชั่วโมงแรกหลังคลอด
ผิดหวังเกี่ยวกับรูปร่างของตนเองในช่วงหลังคลอดเช่นหน้าท้องห้อยหย่อนยานรู้สึกเบื่อหน่ายคิดว่าตนเองมี รูปร่างที่ไม่น่าดูไม่เป็นที่ดึงดูดใจจากผู้อื่นและมักคิดว่าไม่สามารถท้ารูปร่างให้เหมือนเดิมได้
มีความเครียดทางร่างกายเช่นอ่อนเพลียเจ็บแผลฝีเย็บปวดจากเต้านมคัดตึงเจ็บริดสีดวงทวาร
มีความเครียดด้านจิตใจในช่วงรับบทบาทการเป็นมารดาแต่ขณะเดียวกันก็ต้องคงไว้ซึ่งบทบาทการเป็น ภรรยาที่ดี
มีความขัดแย้งระหว่างบุคคลเช่นมีความขัดแย้งระหว่างตนเองกับสามีกับสมาชิกคนอื่นๆภายในบ้านกับ เพื่อนหรือเพื่อนบ้าน
รู้สึกถูกละเลยไม่ได้รับความสนใจเนื่องจากช่วงหลังคลอดบุคคลแวดล้อมจะแสดงความชื่นชมยินดีกับทารก มากกว่าที่จะแสดงความชื่นชมยินดีหรือสนใจหญิงระยะหลังคลอดท้าให้หญิงระยะหลังคลอดมักมีความรู้สึก เศร้าและเสียใจ
ภาวะนี้ว่าภาวะซึมเศร้าหลังคลอด (Postpartum depression)
หญิงระยะหลังคลอดยังตอบสนองต่อ
การปรับตัวในการแสดงบทบาทมารดาให้เข้ากับชีวิตครอบครัวรวมทั้งการดูแลทารกได้ไม่ดีพอถ้าเกิดความรู้สึก
เศร้าตั้งแต่ 2สัปดาห์ขึ้นไปจะนำไปสู่ความรู้สึกหมดหวังและไม่สามารถเผชิญกับปัญหาในชีวิตประจ้าวันได
ภาวะโรคจิตหลังคลอด
(Pospartum psychosis)
ไม่มีการตอบสนองทางอารมณ์ต่อทารกเกิดใหม่ บางครั้งอาจมีความคิดที่จะทำร้ายลูกด้วย รวมทั้งมีอาการบางอย่างที่ดูคล้ายโรคซึมเศร้าหลังคลอด และจัดอยู่ในกลุ่มโรคทางจิตใจหลังคลอดที่เป็นภาวะฉุกเฉิน เนื่องจากผู้ป่วยมีโอกาสทำร้ายเด็กหรือทำร้ายตนเองได้
การปรับเปลี่ยนบทบาท 4
ขั้นตอน
ระยะเป็นกันเองกับทารก (The informal stage)
ระยะของการเป็นมารดาบิดาอย่างสมบูรณ์ (The personal stage)
ระยะที่คาดหวังไว้(The anticipatory stage)
ระยะหาข้อมูล (The formal stage)
การเปลี่ยนแปลงทางด้านสรีระของมารดาในระยะหลังคลอด
ระบบต่อมไร้ท่อ
ฮอร์โมนของรก(Placental hormone)
ระดับฮอร์โมนจากรกในพลาสมา (Plasma) จะลดลงอย่างรวดเร็วภายใน24 ชั่วโมงจะตรวจหา Human Chorionic Somatomammotropin ไม่ได้ ปลายสัปดาห์แรกหลังคลอดระดับ Human Chorionic Gonadotropin จะลดลงดังนั้นถ้าทดสอบการตั้งครรภ์จากปัสสาวะจะได้ผลลบ ภายใน 3 ชั่วโมงหลังคลอดระดับเอสโตรเจนในพลาสมาจะลดลงประมาณร้อยละ 10ของค่าในระยะตั้งครรภ์ ระดับเอสโตรเจนจะลดลงต่ำสุดตรวจไม่พบในปัสสาวะวันที่ 4หลังคลอดระดับเอสโตรเจนในพลาสมา จะไม่เพิ่มเท่ากับระดับในระยะฟอลลิคิวลาจนกระทั่งประมาณ19–20 วันหลังคลอดแต่ในมารดาที่เลี้ยงบุตรด้วยน้ำนมตนเองระดับเอสโตรเจนอาจกลับ เข้าสู่ระดับปกติค่อนข้างช้าระดับโปรเจสเตอโรนในพลาสมาจะลดลงต่ำกว่าระดับในระยะลูเทียลประมาณวันที่ 3 หลังคลอดหลังจากสัปดาห์แรกของการคลอดจะไม่สามารถตรวจพบโปรเจสเตอโรนใน ซีรัมได้และจะเริ่มมีการผลิตโปรเจสเตอโรนอีกครั้งเมื่อมีการตกไข่ครั้งแรกหลังคลอด
ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง(Pituitary hormone)
ระยะหลังคลอดมารดาที่ไม่เลี้ยงบุตรด้วยน้ำนมตนเอง ระดับโพรแลคทินจะลดลงจนเท่ากับระดับก่อนตั้งครรภ์ภายใน 2สัปดาห์การให้บุตรดูดนมจะทำให้ความเข้มข้นของโพรแลคทินเพิ่มขึ้นระดับของโพรแลคทินในซีรัมจะสูงมากน้อยแค่ไหนขึ้นกับจำนวนครั้งที่ให้บุตรดูดนมใน แต่ละวันค่าของโพรแลคทินจะอยู่ในระดับปกติประมาณเดือนที่ 6 ถ้าให้บุตรดูดนมเพียง 1 – 3 ครั้งต่อวันและ ระดับโพรแลคทินจะยังคงสูงกว่า 1 ปีถ้าให้นมบุตรดูดนมสม่ำเสมอมากกว่า 6 ครั้งต่อวันระดับของFSHและ LH จะต่ำมากในวันที่ 10 – 12 หลังคลอด
ฮอร์โมนเกี่ยวกับการเจริญเติบโต(Growth hormone)
1 สัปดาห์หลังคลอดประกอบกับการลดลงอย่างรวดเร็ว ของHuman Placental Lactogen, Estrogen ,ฮอร์โมนคอร์ติชอลเอนไซม์จากรกและน้ำย่อยอินสุลิน (Insulinase) ซึ่งจะลดปัจจัยต่อต้านอินสุลิน (Anti insulin factors) ดังนั้นหญิงระยะหลังคลอดจะมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำภายในสัปดาห์แรกหลังคลอดและหญิงระยะหลังคลอดที่เป็นเบาหวานก็ต้องการอินสุลินต่ำลงในช่วงนี้จะเห็นว่าในช่วงสัปดาห์แรกหลังคลอดเป็นช่วงระยะปรับเปลี่ยนฮอร์โมนและฮอร์โมนต่างๆที่ เกี่ยวกับการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรทให้เข้าสู่ภาวะปกติดังนั้นการแปลผลค่ากลูโคสทอลเลอแรนช์เทสท์อาจผิดพลาดได้ในช่วงสัปดาห์แรกหลังคลอดมีระดับของฮอร์โมนหลายตัวขึ้นและลงอย่างรวดเร็วจนมีผลทำให้ ประเมินผลการทำงานของต่อมไทรอยด์สับสนไปด้วยโดยอาจเกิดภาวะต่อมไทรอยด์ขับน้ำคัดหลั่งไม่เพียงพอ (Postpartum hypothyroidism) ถ้าหญิงระยะหลังคลอดฟื้นจากการคลอดช้าเกินไปหรือร่างกายไม่สามารถ เปลี่ยนแลคเตท (Lactate) ให้เป็นไพรูเวท (Pyruvate) จึงท้าให้ร่างกายมีพลังงานต่ำกว่าภาวะปกติเมื่อเทียบ กับภาวะปกติของตัวหญิงระยะหลังคลอดเองถ้าไม่เกิดปัญหาใดๆต่อมไทรอยด์จะกลับสู่ภาวะปกติเหมือนตอน ไม่ตั้งครรภ์ภายใน 6 สัปดาห์หลังคลอดนอกจากนี้ระดับของฮอร์โมนคอร์ติโคสตีรอยด์ในพลาสมาก็จะลดลงสู่ ระดับปกติในช่วงปลายสัปดาห์แรกหลังคลอดส่วนระดับของReninและ Angiotensin llในพลาสมาจะเข้าสู่ระดับปกติภายใน 2 ชั่วโมงหลังคลอด
การเปลี่ยนแปลงของระบบอวัยวะสืบพันธุ์
ช่องคลอดปากช่องคลอด
ลดลงและยืดขยายได้มากการ เปลี่ยนแปลงในช่องคลอดเกิดขึ้นค่อนข้างช้าและไม่เหมือนสภาพเดิมทั้งหมดขนาดจะค่อยๆลดลงรอยย่นจะเกิด ปรากฏขึ้นใหม่ประมาณสัปดาห์ที่ 3 แต่จะไม่นูนชัดเจนเหมือนรายยังไม่เคยผ่านการคลอดหญิงที่เลี้ยงบุตรด้วย นมตนเองรอยย่นอาจจะแบนเยื่อบุอาจยังบางอยู่จนกระทั่งเริ่มมีประจ้าเดือนจึงหนาขึ้นพร้อมกับรังไข่เริ่มทำหน้าที่ปกติระยะหลังคลอดสิ่งที่ถูกขับออกมาจากช่องคลอดจะไม่มากเว้นแต่จะมีการอักเสบติดเชื้อของช่อง คลอดร่วมด้วยการมีเอสโตรเจนลดลงทำให้ช่องคลอดแห้งและหากมีเพศสัมพันธ์จะรู้สึกไม่สุขสบาย (Dyspareumia) อาการเหล่านี้อาจคงอยู่จนกระทั่งมีการตกไข่หรือมีประจำเดือนปากช่องคลอดใน ระยะแรกๆจะบวมช้ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ถูกตัดหรือมีการฉีกขาดแล้วได้รับการซ่อมแซมด้วยความ ระมัดระวังและรักษาความสะอาดดีปากช่องคลอดจะกลับคืนเหมือนก่อนคลอดภายใน 2 สัปดาห์
เต้านม
ฮอร์โมนโปรแลคตินกระตุ้นเซลล์ผลิตน้้านม
ให้มีการสร้างน้้านม
ขณะเดียวกันกับที่ทารกดูด นมมารดายังมีผลไป
กระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนหลังให้มีการหลั่ง
Oxytocin ซึ่งมีผลต่อเซลล์กล้ามเนื้อรอบๆ
ถุงผลิตน้ำนมและท่อน้ำนมให้มีการบีบรัดตัว
ขับน้ำนมออกมาเรียกกลไกนี้ว่า
let-down reflex หรือ mill ejection reflex
ฝีเย็บ (Perineum)
ในระยะคลอดศีรษะทารกจะกดดันและยืดฝีเย็บดังนั้นมารดาหลังคลอดจะมีอาการปวดบริเวณฝีเย็บฝีเย็บจะมี ลักษณะบวมและอาจมีเลือดออกใต้ผิวหนังจากการที่หลอดเลือดฝอยฉีกขาด Labia minora และ labia majera เหี่ยวและอ่อนนุ่มมากขึ้นหากมารดาหลังคลอดได้รับการทำความสะอาดบริเวณฝีเย็บและอบแผลด้วย แสง Infrared นาน 15- 20 นาทีโดยตั้งไฟห่าง 1 – 2 ฟุตก็จะกระตุ้นให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้นลดอาการปวด ลงได้สำหรับมารดาหลังคลอดที่มีการยืดขยายของกล้ามเนื้อฝีเย็บแต่ช่องทางคลอดแคบเกินไปอาจทำให้เกิด การหย่อนสมรรถภาพของกล้ามเนื้อบริเวณนี้เกิดภาวะ Rectocele หรือCystocele ขึ้นส่วนมารดาที่ได้รับการ ตัดฝีเย็บและได้รับการเย็บซ่อมแซมฝีเย็บจะหายเป็นปกติภายใน 5 – 7 วัน
การเปลี่ยนแปลงของปากมดลูก
ระยะหลังคลอดบริเวณจากปากช่องคลอดจนกระทั่งถึงมดลูกส่วนล่าง (Lower uterinesegment) ยังคงบวม เป็นเวลาหลายวันส่วนของปากมดลูกที่ยื่นเข้าไปในช่องคลอดจะอ่อนนุ่มมีรอยช้ำและมีรอยฉีกขาดเล็กๆซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายประมาณ 18 ชั่วโมงหลังคลอดปากมดลูกจะสั้นลงแข็งขึ้นและกลับคืนสู่รูปเดิมประมาณ 2 – 3 วันหลังคลอดปากมดลูกยังคงยืดขยายได้ง่ายอาจสอดนิ้วเข้าไปได้ 2 นิ้วประมาณปลายสัปดาห์ที่ 1 จะ กลับคืนเหมือนสภาพเดิมเกือบสมบูรณ์
มดลูก (Uterus)
ขนาดและน้ำหนักของมดลูก
มดลูกที่มีการยืดขยายมากขณะตั้งครรภ์ (ประมาณ 11 เท่าของก่อนตั้งครรภ์) จะลดขนาดลงในทันทีที่ เด็กและรกคลอดแล้วมดลูกจะมีน้ำหนักประมาณ 1,000 กรัมกว้าง 12 ซม ยาว 5 ซม หนา 8 – 10 ซม
การลดระดับของมดลูก
ภายหลังคลอดทันทีจะอยู่ระหว่างสะดือกับ
หัวเหน่าและมีน้ำหนักประมาณ1,000 กรัม
ใน 1 ชั่วโมงต่อมามดลูกจะลอยตัวสูงขึ้นมาอยู่ระดับ
สะดือเนื่องจากการหดรัดตัวของกล้าม
เนื้อมดลูกส่วนบน และส่วนล่างไม่เท่ากัน
ต่อจากนั้น 2 วันหลังคลอดมดลูกจะหดรัดตัว
และลดขนาดลงวันละ ½ - 1 นิ้ว
หรือประมาณ 1 fingerbreadth (FB)
7 วันหลังคลอดระดับมดลูกจะอยู่กึ่งกลาง
ระหว่างหัวเหน่ากับสะดือหรือ
ประมาณ 3 นิ้วฟุตเหนือหัวเหน่า
หนักประมาณ 500 กรัม
2 สัปดาห์หลังคลอดระดับมดลูกจะอยู่ที่
ระดับหัวเหน่าหรือคล้ำไม่พบทางหน้าท้อง
มีน้ำหนักประมาณ 300 กรัม
6 สัปดาห์หลังคลอดมดลูกจะมีน้ำหนัก
เท่ากับระยะก่อนตั้งครรภ์คือประมาณ 50 กรัม
ขนาด 3 X 2 X 1 ซม. ถือว่าสิ้นสุดกระบวนการ
ลดขนาดของมดลูกในระยะหลังคลอด
อาการปวดมดลูก (Afterpain)
อาการปวดมดลูกมีสาเหตุจากการหดรัดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อมดลูกประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์เกิดในหญิงครรภ์หลังส่วนในครรภ์แรกปกติจะไม่มีอาการปวดมดลูกเนื่องจากกล้ามเนื้อมดลูกยังมีความตึงตัวสูงยกเว้นว่าจะมีการยืดขยายของมดลูกมากเช่นครรภ์แฝดหรือครรภ์แฝดน้ำเด็กตัวโตอาการปวดมดลูกอาจรุนแรง เมื่อมารดาให้บุตรดูดนมเพราะการดูดนมจะกระตุ้นต่อมพิทูอิทารีส่วนหลัง (Posterior pituitary gland) หลั่งฮอร์โมนออกซิโทซิน (Oxytocin)ไปกระตุ้นมดลูกให้หดรัดตัวระยะเวลาที่เกิดอาการปวดมดลูกปกติจะไม่เกิน 72 ชั่วโมงถ้าอาการปวดมดลูกมีนานเกิน 72 ชั่วโมงหรืออาการเจ็บปวดรุนแรงอาจเกิดจากมีเศษรกค้างหรือมี ก้อนเลือดค้างอยู่
การเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุโพรงมดลูกและบริเวณรกเกาะ
หลังจากรกและเยื่อหุ้มเด็กคลอดแล้วจะเกิดรอยแผลที่บริเวณรกลอกตัวมีขนาดประมาณ 8 X 9 เซนติเมตรการหายของแผลเกิดจากเยื่อบุมดลูก (Endometrial tissue)เจริญขึ้นมาแทนที่ดิซิดิวอะเบซัลลิส (Decidua basalis) ซึ่งยังคงอยู่ในมดลูกหลังจากรกและเยื่อหุ้มเด็กแยกออกไปแล้วในระยะ 2 – 3 วันหลังคลอดดิซิดิว (Decidua) ที่เหลืออยู่ในโพรงมดลูกจะแบ่งตัวเป็น 2 ชั้นคือชั้นผิวใน (Superficial layer) จะหลุดออกมาเป็นส่วนของน้ำคาวปลาส่วนชั้นใน (Functional layer) ซึ่งอยู่ติดกับเนื้อมดลูกมีต่อมเยื่อบุโพรงมดลูกเนื้อเยื่อคอน เน็คทิฟว์(Connective tissue) จำนวนเล็กน้อยจะงอกขึ้นมาใหม่การเสื่อมของหลอดเลือดและการมีลิ่มเลือดที่ด้านบนจากการเจริญของเยื่อบุมดลูกจะป้องกันไม่ให้เกิดรอยแผลเป็น (Scar) กระบวนการเหล่านี้ทำให้เยื่อบุมดลูกกลับคืนสู่วงจรการเปลี่ยนแปลงตามปกติ
น้้าคาวปลา (Lochia)
น้ำคาวปลาคือสิ่งที่ขับออกมาจากแผลภายในโพรงมดลูกตรงบริเวณที่รกเคยเกาะอยู่มีลักษณะเป็นน้ำเลือดปนน้ำเหลืองคล้ายน้ำคาวปลาลักษณะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของแผลที่มีการซ่อมแซมเพื่อเกิดเป็นเยื่อบุโพรงมดลูก ตามปกติมีฤทธิ์เป็นด่างประกอบด้วยเลือดเยื่อบุมดลูกน้ำคร่ำและสิ่งต่างๆที่ค้างอยู่ในโพรงมดลูกมีกลิ่น เฉพาะไม่เหม็นเน่าจำนวนแตกต่างกันไปประมาณ 240 – 480 ซีซีและจะค่อยๆจางลงจนหมดไปภายใน 7 – 21 วันหลังคลอด
น้ำคาวปลาแบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ
Lochia serosa มีประมาณวันที่ 4 – 9 ลักษณะน้ำคาวปลาสีจะจางลงเป็นสีชมพูสีน้ำตาล
หรือค่อนข้างเหลืองมีมูกปนทำให้ลักษณะ
ที่ออกมาเป็นเลือดจางๆยืดได้เนื่องจากบริเวณ
แผลมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นมีเม็ดเลือดขาว
มีน้ำเหลืองที่ออกมาจากแผลซึ่งกำลัง
จะหายประกอบด้วยเลือดน้ำเหลืองจากแผล
เม็ดเลือดขาวเศษเยื่อบุโพรงมดลูกที่สลายตัว
แล้วมูกจากปากมดลูก
Lochia alba มีประมาณวันที่ 10 หลังคลอด
น้ำคาวปลาจะค่อยๆน้อยลงเป็นสีเหลืองจางๆ
หรือสีขาว ประกอบด้วยเม็ดเลือดขาว
เยื่อบุโพรงมดลูกที่สลายตัวแล้ว
มูกจากปากมดลูกหรือน้ำเมือกและจุลินทรีย์เล็กๆ
Lochia rubra น้ำคาวปลาที่ออกมาในระยะ
2 – 3 วันแรกหลังคลอดเนื่องจากในระยะนี้
แผลภายในโพรง มดลูกยังใหม่อยู่
การซ่อมแซมยังเกิดขึ้นน้อยสิ่งที่ขับออกมา
มีลักษณะสีแดงคล้ำและข้นประกอบด้วย
เลือดเป็นส่วนใหญ่น้ำคร่ำเศษเยื่อหุ้มเด็ก
เยื่อบุมดลูกไขและขนของเด็ก
ขี้เทาลักษณะเลือดไม่เป็นก้อน
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ระบบเลือด
ปริมาณเลือดจะลดลงทันทีจากการสูญเสีย
เลือดภายหลังคลอดโดยปริมาณเลือดจะ
ลดลงจากระดับ 5 – 6 ลิตรในระยะ
ก่อนคลอดจนถึงระดับ 4 ลิตรเท่า
คนปกติใน 4 สัปดาห์
การไหลเวียนเลือดใน 2–3 วันแรกหลัง
คลอดจะเพิ่มขึ้นประมาณ15–30เปอร์เซ็นต์
จากการไหลกลับของเลือดหลังรกคลอด
3 วันแรกหลังคลอดค่าฮีมาโตคริตอาจ
สูงขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากมีการลดระดับ
ของปริมาณPlasmaมากกว่าจำนวนของ
เม็ดเลือดจำนวนเหล่านี้จะลดลงสู่สภาพ
ปกติเหมือนก่อนคลอด
ภายใน 4 – 5 สัปดาห์
หลังคลอดเม็ดเลือดขาวอาจสูงขึ้น
ถึง 20,000 – 25,000 เซลล์/มิลลิตร
การที่จำนวนเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นพร้อม
กับอัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง
เพิ่มขึ้นอาจทำให้สารที่เป็นองค์ประกอบ
ในการแข็งตัวของเลือด ยังคงมีค่าสูงอยู่
และจะลดลงสู่ระดับปกติใน 2 – 3สัปดาห์
หลังคลอดซึ่งจะมีผลเสียถ้าไม่มีการ
เคลื่อนไหวและร่วมกับสภาวะติดเชื้อ
หรือได้รับความชอกช้ำจากการคลอด
ก็จะกระตุ้นให้เกิดหลอดเลือดอุดตัน
ได้ง่ายขึ้น
อาการแสดงของหลอดเลือดดำอุดตันคือ
เจ็บปวดรู้สึกร้อนกดเจ็บเส้นเลือดแดงบวม
รู้สึกแข็งเวลาสัมผัส
ความดันเลือดและชีพจร
อาจมีค่าความดันโลหิตต่ำได้จากการเสียเลือด
มากกว่าปกติจนทำให้ปริมาณเลือดน้อย
เกินไปจากการมีการขยายตัวของหลอดเลือด
จากอิทธิพลของฮอร์โมนเอสโตรเจน
ต้องใช้เวลานาน 2 – 3 ชั่วโมงเพื่อปรับ
ปริมาณเลือดในร่างกายให้อยู่ใน
ภาวะสมดุล
การเปลี่ยนแปลงของปริมาณเลือดยังมีผลให้
ชีพจรในช่วงสัปดาห์แรกหลังคลอดจะต่ำกว่า
ค่าเฉลี่ยปกติคือประมาณ 50 – 70 ครั้ง/นาที
การเต้นของชีพจรค่อยๆเพิ่มขึ้นจนกระทั่งเข้าสู่
ระดับปกติภายใน 7 – 10 วันหลังคลอด
การเปลี่ยนแปลงของปริมาณเลือดขึ้นกับองค์ประกอบหลายประการเช่นการสูญเสียเลือดระหว่างคลอดการขับ น้ำออกนอกหลอดเลือด หลังคลอดปริมาณเลือดจะลดลงทันทีแล้วค่อยๆลดลงเรื่อย ประมาณ 3 – 4 สัปดาห์หลังคลอดปริาณเลือดจึงจะลดลงสู่ระดับปกติเหมือนก่อนตั้งครรภ์ ปริมาณเลือดที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการตั้งครรภ์ช่วยให้ผู้คลอดสามารถปรับตัวในการสูญเสียเลือดระหว่างคลอดได้ ส่วนมากระหว่างคลอดจะเสียเลือดประมาณ 300 – 400 ซีซีในการคลอดทางช่องคลอด ระยะหลังคลอดการปรับตัวหรือการเปลี่ยนแปลงเพื่อกลับสู่สภาพเดิมเป็นไปอย่างรวดเร็วดังนั้นการปรับตัวของ หญิงหลังคลอดต่อการเสียเลือดจะแตกต่างจากหญิงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์
การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาในระยะหลัง คลอดมี3 ประการคือ
หน้าที่ในการผลิตฮอร์โมนของรกสิ้นสุดเป็น
การตัดตัวกระตุ้นที่ทำให้หลอดเลือดขยาย
มีการเคลื่อนย้ายของน้ำนอกหลอดเลือดที่
สะสมระหว่างตั้งครรภ์
การไหลเวียนของเลือดระหว่างมดลูกกับรกสิ้นสุด
ลงลดขนาดของVascularbedของมารดา
10 – 15 เปอร์เซนต์
ระบบทางเดินปัสสาวะ
ท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ
ขณะทารกผ่านช่องทางคลอดจะทำให้เกิดการบาดเจ็บของท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะกระเพาะปัสสาวะจะบวมและมักมีอาการบวมและช้ำรอบๆรูเปิดของท่อปัสสาวะความตึงตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะลดลงทำให้มีความจุมากขึ้นแต่ความไวต่อแรงกดจะลดลงด้วยเหตุนี้หลังคลอดใหม่ๆมารดาจึงมักถ่ายปัสสาวะ ลำบากและจะเป็นมากขึ้นถ้ามีอาการบวมของฝีเย็บถ้ามารดาได้รับยาระงับความรู้สึกในระยะคลอดอาการจะ ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเพราะประสาทถูกรบกวนมารดาบางคนอาจถ่ายได้แต่ไม่หมดมีปัสสาวะค้างอยู่หลังถ่ายปัสสาวะ ทุกครั้งจึงมีแนวโน้มที่จะเกิดการอักเสบของทางเดินปัสสาวะสูงในรายเช่นนี้ควรหลีกเลี่ยงการลดการคั่งของปัสสาวะโดยการสวนปัสสาวะให้และการที่มีกระเพาะปัสสาวะเต็มอาจส่งเสริมให้มดลูกหดรัดตัวไม่ดีเพราะตัวมดลูกถูกเบียดทำให้อยู่ผิดตำแหน่งและขัดขวางการหดรัดตัวของมดลูก เป็นสาเหตุให้มีการตกเลือดหลังคลอดได้จึงควรกระตุ้นให้ถ่ายปัสสาวะทุก 4 – 6 ชั่วโมง
การท้างานของไต(Renal function)
ในระยะหลังคลอดเมื่อ ระดับฮอร์โมนลดลงไตก็จะทำงานลดลงด้วยกลูโคสยูเรียที่เกิดขึ้นในระยะตั้งครรภ์จะหายไปคริเอ ทินินเคลียแรนซ์จะเป็นปกติในปลายสัปดาห์แรกหลังคลอดยูเรียไนโตรเจนในเลือดจะเพิ่มขึ้นในระยะหลังคลอดเนื่องจากมีการแตกตัวของใยกล้ามเนื้อมดลูกอาจพบแลคโตยูเรียในมารดาที่เลี้ยงบุตรด้วยน้ำนมตนเองในระยะตั้งครรภ์อัตราของ Renal plasma flowและ Glumerular filtrationจะเพิ่มขึ้นประมาณ 25 – 50 เปอร์เซ็นต์และในสัปดาห์แรกหลังคลอดยังคงสูงอยู่ภายใน 12 ชั่วโมงหลังคลอดมารดาจะเริ่มถ่ายปัสสาวะมากปัสสาวะที่ออกจากร่างกายรวมกับน้ำที่สูญเสียทางเหงื่อจะท้ำให้น้ำหนักของมารดาลดลงในระยะแรกหลัง คลอดประมาณ 2 - .25 กิโลกรัมหลังจากนั้นน้ำหนักจะลดลงอีกเนื่องจากมีการขับน้ำและอิเล็คโทรลัยที่สะสม ตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์การทำงานของไตจะกลับสู่สภาพปกติใน 4 – 6 สัปดาห์
ระบบทางเดินอาหาร
มารดามักจะกระหายน้ำในระยะ 2 – 3 วันแรกมัก
มีความอยากอาหารและดื่มน้ำมาก
เพราะสูญเสียน้ำระหว่าง
ระยะแรกหลังคลอดมารดามีแนวโน้มที่จะ
ท้องผูกจากการที่
สูญเสียแรงดันภายในช่องท้องทันที
กล้ามเนื้อหน้าท้องหย่อนตัวประกอบกับมี
การเคลื่อนไหวของลำไส้ช้าตั้งแต่ในระยะ
ตั้งครรภ์และได้รับการสวนอุจจาระ
ในระยะที่ 1 ของการคลอด
มารดาอาจไม่กล้าเบ่งเพราะกลัวแผลแยก
หรือกลัวเจ็บแผลทำให้เกิดอาการท้องผูก
ภายหลังคลอดได้และลำไส้จะทำงานได้ดี
ประมาณปลายสัปดาห์แรกหลังคลอด
ระบบกล้ามเนื้อและโครงกระดูก
กล้ามเนื้อช่วง 1 – 2 วันแรกจะมีอาการเมื่อยและปวดกล้ามเนื้อ
เพราะต้องออกแรงเบ่งขณะคลอด
ความตึงตัวของกล้ามเนื้อเริ่มลดลง
กล้ามเนื้อหน้าท้องจะนุ่มหยุ่น
ไม่แข็งแรงบางรายอาจมีกล้ามเนื้อหน้าท้อง
แยก
บริเวณข้อต่อจะแข็งแรงมั่นคงจนเข้าสู่สภาพ
ปกติต้องใช้เวลาประมาณ 6 – 8 สัปดาห์
หลังคลอด
การส่งเสริมสุขภาพมารดาหลังคลอด
การพักผ่อน
มารดาควรได้รับการพักผ่อนนอนหลับตอนกลางคืน8–10ชั่วโมงและควรได้รับการพักผ่อนในตอนบ่ายอย่างน้อยวันละ2 ชั่วโมงสังเกตการเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจของ ผู้คลอดว่าซึมมีความวิตกกังวลหรือไม่เพราะบางรายอาจเกิดการวิกลจริตขึ้นได้ภายหลังคลอดในบางรายอาจ ต้องแยกทารกจากมารดาเพื่อให้มารดาได้พักผ่อนและเมื่อกลับไปบ้านไม่ให้มารดาหลังคลอดทำงานหนัก ภายใน 6 สัปดาห์เพราะจะท้าให้เกิดการตกเลือดในระยะหลังและมดลูกหย่อนได้ง่าย
Check vital signs
ควรตรวจสอบอย่างน้อยวันละครั้งและทุก 4 ชั่วโมงในรายที่มีไข้หรือมีภาวะแทรกซ้อน
เกิดขึ้น
การป้องกันการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อน
ดูแลความสะอาดเป็นเรื่องสำคัญมากในระยะหลังคลอดเพราะระยะนี้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะ 7 วันหลังคลอดพยาบาลต้องกวดขันในเรื่องความสะอาดให้มากทั้งนี้เพราะ
ในโพรงมดลูกหลังคลอดมีสภาพเหมาะสมแก่การเจริญของเชื้อโรค
ฝีเย็บที่ฉีกขาดและแยกมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย
ช่องคลอดและปากมดลูกยังปิดไม่สนิททำให้เชื้อโรคเข้าได้ง่าย
มารดามีความต้านทานต่ำเพราะเสียกำลังและเสียเลือดขณะคลอดทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย
น้ำคาวปลามีฤทธิ์เป็นด่างจะทำให้ภาวะเป็นกรดของช่องคลอดลดลงง่ายแก่การเจริญของเชื้อจุลินทรีย์
การวัดความสูงของมดลูก
วัดจากส่วนสูงของมดลูกลงมาที่ขอบบนของกระดูกหัวหน่าว (Symphysis Pubis) ควรวัดอย่างน้อยวันละ 1 ครั้งเพื่อดูการคืนสู่สภาพปกติของมดลูกตามธรรมดาแล้วหลัง คลอดทันทีจะวัดมดลูกได้สูง 5 นิ้วฟุตเหนือหัวหน่าวและจะลดลงทุกวันอย่างน้อยวันละครึ่งนิ้วฟุตและ ประมาณวันที่10–12หลังคลอดจะคล้ำไม่พบมดลูกทางหน้าท้องเพราะมดลูกจะลดต่ำาลงมาอยู่ในระดับเดียวกับกระดูกหัวหน่าวพอดี
การสังเกตน้้าคาวปลา
สังเกตลักษณะสีกลิ่นและจำนวนของน้ำคาวปลาว่ามีการเปลี่ยนแปลง อย่างไรในรายที่น้ำคาวปลามีสีแดงตลอดเวลาจะพบว่าเนื่องจากมีเศษรกและเยื่อหุ้มรกค้างอยู่ใน โพรงมดลูกหรือมีการติดเชื้อหลังคลอด (Puerperal Sepsis)
มีน้ำคาวปลาสีน้ำตาล จำนวนมากและนานวันจะพบว่าเนื่องจากมีเศษรกและ เยื่อหุ้มรกค้างอยู่ใน โพรงมดลูก
น้ำคาวปลาเดินไม่ สะดวกจะพบว่าเนื่องจากมีการกีดขวาง ทางเดินของ น้ำคาวปลา
น้ำคาวปลาออกน้อย มีไข้ มีกลิ่นเหม็นจะพบว่าเนื่องจากการติดเชื้อ หลังคลอด มีเศษรกและ เยื่อหุ้มรกค้าง
อาหารส้าหรับมารดาหลังคลอด
มารดาหลังคลอดเสียเลือดไปในการคลอดมากจึงควรจะได้อาหารที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยโปรตีนเกลือแร่และวิตามินโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะให้นมจ้าเป็นต้องเพิ่มอาหารที่มีคุณภาพและปริมาณสูงขึ้นมากกว่าในระยะตั้งครรภ์เสียอีกเพื่อช่วยให้มารดามีกำลังร่างกายแข็งแรงขึ้นนอกจากนี้จะท้าให้การผลิตและคุณภาพของ น้ำนมดีขึ้นด้วย
การดูแลเต้านมหัวนม
Breast Care การดูแลท้าความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญโดยท้าความสะอาดหัวนมและเต้านมทุกวันเวลาอาบน้ำ
ใส่เสื้อยกทรงประคองเต้านมไว้เพื่อป้องกัน
การเสียทรวดทรงจากเต้านมคล้อยและ
ความเจ็บปวดในกรณีนมคัดตึง
แนะนำอาหารบำรุงน้ำนมเช่นอาหารพวกโปรตีน
ไข่นมเครื่องดื่มพวกโอวัลตินผักและ
ผลไม้ต่างๆวิตามินเกลือแร่ต่างๆ
สังเกตลักษณะผิดปกติต่างๆเช่นหัวนม
แตกเต้านมอักเสบเต้านมเป็นฝี
เต้านมคัดตึงจึงต้องให้การช่วยเหลือ
และดูแลรักษา
การนวดเต้านมเพื่อให้ต่อมน้ำนมทำงานได้ดีและมีการผลิตน้ำนมได้มากขึ้น
สังเกตการขับถ่ายอุจจาระปัสสาวะ
อุจจาระอาการท้องผูกมักจะพบเสมอในระยะหลังคลอด1–2วันแรกมักมีสาเหตุจาก
มารดาเสียน้ำมากเนื่องจากการออกกำลังในขณะคลอด
กล้ามเนื้อหน้าท้องหย่อน
เจ็บแผลทำให้ไม่กล้าเบ่ง
ถูกสวนอุจจาระไปแล้วในระยะก่อนคลอด
ไม่เคยชินกับการนอนหรือนั่งถ่ายบนหม้อนอน
บางรายจะถ่ายปัสสาวะลำบากมากใน1–2วันแรกหลังคลอดด้วยสาเหตุหลายประการเช่นในรายที่กระเพาะปัสสาวะยืดมากเกินไปหรือถูกกดนานๆอาจจะถ่ายปัสสาวะเองไม่ได้เพราะปฏิบัติการหดรัดตัว (Reflex spasm) หรือความตึงตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะไม่มีกำลังทำให้ปัสสาวะคั่งหรือถ่ายลำบากปกติแล้วใน8–12ชั่วโมงแรกควรพยายามช่วยให้ถ่ายเองถ้าถ่ายเองไม่ได้จึงสวนปัสสาวะให้และติดตามต่อไปอีกว่าจะถ่ายครั้งต่อไปได้หรือไม่ถ้ากระเพาะปัสสาวะโปงหรือคั่งจะทำให้มดลูกหดรัดตัวไม่ดีในรายที่คิดว่ามีความผิดปกติเกี่ยวข้องกับทางเดินปัสสาวะต้องตวงปัสสาวะและน้ำดื่มด้วย
การลุกเร็วภายหลังคลอด(Early Ambulation)
ภายหลังที่ได้พักผ่อนนานพอสมควรก็ควรให้ลุกจากเตียงได้ในวันแรกให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียงหรือบนเก้าอี้วันที่2ให้ลุกเดินรอบเตียงถ้ารู้สึกแข็งแรงจึงให้เดินไปห้องน้ำได้ถ้าอ่อนเพลียพยาบาลควรดูแลอย่างใกล้ชิด
ประโยชน์ของการลุกขึ้นเร็ว
ทำให้มดลูกเข้าอู่ดีเพราะน้ำคาวปลาไหลออกสะดวก
ป้องกันโรคเส้นเลือดดำอักเสบ (Thrombophlebitis)
ทำให้ถ่ายอุจจาระและถ่ายปัสสาวะได้เร็วขึ้น
ทำให้มารดาแข็งแรงขึ้น
โทษของการลุกขึ้นเร็วเกินไป
ทำให้มารดาคิดว่าตนเองแข็งแรงดีจึง
ทำงานไม่มีเวลาได้พักผ่อนทำให้
อ่อนเพลีย
ทำให้พื้นเชิงกรานและมดลูกหย่อนได้ง่าย
ทำให้เกิดการตกเลือดหลังคลอดในระยะหลัง
การมีเพศสัมพันธ์
ในระยะหลังคลอดเนื้อเยื่อของช่องทางคลอดยังไม่กลับสู่สภาพปกติประกอบกับมีแผลในมดลูกแผลฝีเย็บ น้ำคาวปลาสตรีหลังคลอดมีความเครียดทางจิตใจทำให้สตรีหลังคลอดยังไม่พร้อมที่จะมีเพศสัมพันธ์ควรงดการมี เพศสัมพันธ์ภายหลัง4–6สัปดาห์เพราะฉะนั้นความพร้อมทางด้านร่างกายและจิตใจจึงเป็นตัวบ่งชี้ว่าจะเริ่ม มีเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่
การบริหารร่างกายในระยะหลังคลอด
ที่จะช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายทำให้มี รูปร่างและทรวดทรงที่เหมาะสมส่งเสริมบุคลิกภาพและสุขภาพที่ดีรวมทั้งช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนบางอย่างที่อาจจะตามมาในระยะหลังคลอดมารดาหลังคลอดปกติประมาณ 6 ถึง 8 ชั่วโมงควรมีการ เคลื่อนไหวร่างกายโดยเร็วที่สุดกล่าวคือเมื่อได้รับการพักผ่อนเพียงพออาการผ่านระยะคลอดมาแล้วและไม่มีปัญหาหรือภาวะแทรกซ้อนใดๆเกิดขึ้นก็เริ่มบริหารร่างกายได้ทันทีทั้งนี้เนื่องจากอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายที่ มีการเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาคและสรีรวิทยาตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์เช่นมดลูกปากมดลูกช่องคลอดเต้านม รวมทั้งอวัยวะส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้องจะกลับคืนสู่สภาพเดิมในระยะเวลาอันสั้น
การท้าความสะอาดร่างกาย
ในระยะหลังคลอดสตรีหลังคลอดยังมีแผลในโพรงมดลูกแผลฝีเย็บมีน้ำคาวปลาไหลตลอดเวลารวมทั้งมีเหงื่อออกมากจึงควรแนะรักษาความสะอาดของร่างกายอยู่เสมอควรอาบน้ำวันละ2–3ครั้งใช้วิธีตักอาบไม่ควรลงไปแช่ในน้ำเพราะอาจทำให้เชื้อโรคที่อยู่ในน้ำผ่านช่องคลอดลุกลามเข้าสู่มดลูกอันจะมีผลให้เกิดการติดเชื้อขึ้นได้ภายหลังอุจจาระหรือปัสสาวะควรล้างให้สะอาดโดยล้างจากด้านหน้าไปด้านหลังซับให้แห้งแล้วจึงใส่ผ้าอนามัยและควรมีการเปลี่ยนผ้าอนามัยอย่างน้อยวันละ2–3แผ่นสำหรับการสระผมสามารถกระทำได้ทุกวันตามความเหมาะสม
อ้างอิง :
“การพยาบาลมารดาระยะหลังคลอด”[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก:
http://www.elnurse.ssru.ac.th/petcharat_te/pluginfile.php/58/block_html/content/PP%2827122556%29.pdf
สืบค้น 29 พฤษภาคม 2563.
นางสาวธนวรรณ นิมานบูรณวิจิตร เลขที่ 31 ห้อง A
รหัสนักศึกษา 613020110391