Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเปลี่ยนเเปลงหน้าที่ของระบบประสาท - Coggle Diagram
การเปลี่ยนเเปลงหน้าที่ของระบบประสาท
ภาวะหลอดเลือดสมองผิดปกติ
โรคหลอดเลือดสมอง Stork / Cerebrovascular disease
โรคหลอดเลือดสมองจากขาดเลือด
(Ischemic storke)
สาเหตุ
เกิดจากการอุดตันหรือตีบเเคบของหลอดเลือด มีภาวะหลอดเลือดในสมองเเข็งหรือจากการมีลิ่มเลือดเล็กๆไหลมาตาม กระเเสเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ส่งผลให้เนื้อเยื่อสมองขาดอาหารเเละออกซิเจน
เเบ่งย่อยเป็น 2 ชนิด
โรคหลอดเลือดขาดเลือดจากภาวะหลอดเลือดสมองตีบ
สาเหตุ
สัมพันธุืกับภาวะหลอดเลือดเเข็ง เกิดจากการเสื่อมของผนังหลอดเลือด มีไขมันเเลหินปูนมาเกาะ จนมีลิ่มเลือดไปอุดตันที่หลอดเลือดจจนทำให้เซลล์สมองตาย
มักพบบริเวณหลอดเลือดส่วนกลาง middle cerebral arteries
มักพบในผู้ป่วย
โรคเบาหวาน
ความดันโลหิตสูง
ภาวะไขมันในเลือดสูง
ผู้ที่สูบบุหรี่ ดืมเเอลกอฮอร์จัด
หญิงที่ทานยาคุ้มกำเนิด
ผู้ที่มีญาติเป็นอัมพาตครึ่งซีก
โรคหลอดดเลือดขาดเลือดจากภาวะหลอดเลือดสมองอุดตัน
สาเหตุ
เกิดจากมีสิ่งอุดกั้น Emboli ที่หลอดเลือดสมอง
เช่น
ลิ่มเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในกระเเสเลือด
4 more items...
สิ่งอื่นๆที่อุดกั้น
2 more items...
โดยทั่วไปจะเกิด Emboli อุดตันหลายเเห่งพร้อมกัน
ส่งผล
1 more item...
อาการเเละอาการเเสดง
จะขึ้นอยู่กับตำเเหน่งที่เกิดรอยโรค ระยะเวลาที่สมอขาดเลือดหรือถูกกด
วิงเวียนศีรษะ บ้านหมุน
อาการอ่อนเเรงหรือชาครึ่งซีกร่างกายทันทีทันใด
ปวดศีรษะอย่างรุนเเรงฉับพลัน
ตามัวหรือมองไม่เห็นทันทีทันใด โดยมีอาการเพียงข้างเดียว
Transient ischemic attach หรือ TIA
ร้อยละ10 อาจเกิดการ storke ได้ภายใน3 เดือน
สาเหตุ
เกิดภายใน 12-24 ชั่งโมง เป็นอาการที่เกิดขึ้นจากสมองขาดเลือดเพียงเลีกน้อย มาจากการอุดตันของเลือดชั่วคราว เมื่อเลือดสามารถไหลไปได้อาการต่างๆจะดีขึ้นเเม้สมองบางส่วนยังเสียหายอยู่
การขาดเลือดบริเวณก้านสมอง
ทำให้การรับรู้สติลดลง
อาการ
จะเกิดอย่างช้าๆ ร้อยละ 30 - 50
ผู้ป่วยมักมีประวัติว่าก่อนนอจะปกตอ เเต่พอตื่นนอนตอนเช้าจะมีอาการผิดปกติ
สาเหตุ
เกิดจากสมองขาดเลือดไปเลี้ยงลดลง ผู้ป่วยมักมีประวัติ
Major cerebral infarction
ผู้ปวยจะมีอาการ
อาจมีอาการซึมตั้งเเต่เเรกหรือซึมลงหมดสติใน 72 ชั่งโมงจากภาวะสมองบวงเเละความดันในสมองสูง
มีอาการผิดปกติของระบบประสาทหลายๆส่วนที่ถูกเลี้ยงด้วยหลอดเลือดเเดงสมองขนาดใหญ่เส้นเดียวตั้งเเต่เเรก
อาการอ่อนเเรงเเละชาของเเขนขา
ใบหน้าเบี้ยวข้างขวา
ตา 2 ข้างไม่สามารถมองเห็นครึ่งซีกขวา
เป็นการขาดเลือดของหลอดเลือดสมองขนาดใหญ่ทำให้มีการทำงานผิดปกติของเนื้อสมองที่ขาดเลือดหรือตายเป็นบริเวณกว้าง
Minor cerebral infarction
เป็นการขาดเลือดของหลอดเลือดสมอมในขนาดที่ไม่ใหญ่มาก ผู้ป่วยจะไม่ซึม ไม่มีอาการสมองบวมหรือความดันในสมองสูง
โรคหลอดเลือดสมองจากหลอดเลือดในสมองเเตก (Hemorrhagic stork)
สาเหตุ
เกิดจากการเสื่อมสภาพของผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาท ทำให้เซลล์สมองถูกทำลายเลือดที่ออกไปขัดขวางการไหลเวียนของน้ำไขสันหลัง ทำให้เกิดความดันในโพรงกะโหลกอย่างทันที
เเบ่งเป็น 2 ชนิด
เลือดออกในสมองใหญ่ Intracerbral hemorrhage
สาเหตุ
เกิดจาดภาวะความดันโลหิตสูงเเละหลอดเลือดเเดงในสมองเเข็งตัวทำให้เลือดเปราะ ก้อนเลือดจะทำลายเนื้อสมอง เเละเลือดไหลไปยัง ventricle เกิดการขัดขวางการไหลเวียนของน้ำไขสันหลัง ความดันในกะโหลกสูงขึ้น เกิดภาวะ Brain herniation
อาการ
จะขึ้นอยู่่กับบริเวณสมองที่ได้รับความเสียหายเเละขนาดของหลอดเลือด
พบบ่อยบริเวณปมประสาทฐาน ตรงตำเเหน่ง putamen
เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง Subarachnoid hemorrhage
เกิดจากหลอดเลือดผิดปกติ
ได้เเก่
1 more item...
อาการ
มีไข้ต่ำๆ
คอเเข็ง
หมดสติ
เกิดจากการเเตกหรือฉีกขาดของหลลอดเลือดเเบบทันที
อาการภาวะเลือดออกในสมอง
ระดับความรู้สึกเปลี่ยนเเปลง
การระคายเคืองเยื่อหุ้มสมอง จะพบอาการคอเเข็งพบในรายที่มีก้อยเลือดเเตกเข้าไปใน Ventricle หรือมีเลือดออกที่ Subarachnoid ร่วม
อาเจียน พบในผู้ป่วยที่มีความดันในกะโหลกศีรษะสูง
อาการต่างๆของตำเเหน่งสมอง
ปวดศีรษะ พบบ่อย พบมากในกลุ่มที่มีก้อนเลือดขนาดใหญ่
หยุดหายใจ มักพบในรายที่มีเลือดออกบริเวณฐานกะโหลกส่วนหลัง
การบาดเจ็บที่เกิดกับไขสันหลัง
การบาดเจ็บไขสันหลัง (Spinal cord inrury)
การบาดเจ็บที่แบ่งตามกลไกการเกิด
Flexion with rotation injury
เกิดจากการหมุนหรือบิดศรีษะและคออย่างรุนแรง
Vertical Compression
บาดเจ็บจากไขสันหลังถูกกด
Rotating injury
การบาดเจ็บขณะหมุน
Acceleration injury of the neck
การเคลื่อนที่ของศรีษะในทิศทางสะบัดหน้า-หลังอย่างรวดเร็ว
Hyperextension injury
เกิดขณะกระดูกสันหลังอยู่ในทาเหยียด
Hyperflexion injury
การบาดเจ็บกระดูกสันหลังท่างอตัว
Penetrating injury
เกิดจากการถูกแทง ถูกยิงทำให้เกิด
การบาดเจ็บทั้งทางตรงและทางอ้อม
พยาธิสรีรวิทยา
กลไกระดับปฐมภูมิ (Primary injuries)
ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับบริเวณที่ได้รับการบาดเจ็บโดยตรง
เกิดการทำลายเซลล์ประสาท หลอดเลือดได้รับความเสียหาย
มีเลือดออกในไขสันหลังและตีบตัว ส่งผลให้เนื้อตายบริเวณ
สมองเนื้อสีเทา ส่วนบริเวณสมองเนื้อสีขาวจะพบการบวมของเซลล์
มากขึ้น เกิดการขาดออกซิเจน และเข้าสู่ภาวะช็อก
กลไกระดับทุติยภูมิ (Secodary injuries)
การเปลี่ยนแปลงในระดับเซลล์หลังเกิดการบาดเจ็บ โดยบริเวณสมองเนื้อสีเทาซึ่งเป็นที่อยู่ของเซลล์ประสาทจะขาดเลือด ภายนอกเซลล์ซึ่งเป็นทางเดินเซลล์ประสาทที่อยู่บริเวณสมองเนื้อสีขาวมีการไหลเวียนเลือดลดลง จนไขสันหลังขาดเลือด15-20วินาที ทำให้เกดความเสียหายอย่างถาวรต่อเซลล์ประสาท Astrocyte,Oligodendrocyte
ประเภทการบาดเจ็บไขสันหลัง
การบาดเจ็บไขสันหลังชนิดสมบูรณ์(Complete injury)
การสูญเสียความรู้สึกทั้งหมด เกิดอัมพาตอย่างถาวร
Tetraplegia อัมพาตแขนขาทั้งสองข้าง
Paraplegia อัมพาตครึ่งล่าง
การบาดเจ็บไขสันหลังชนิดไม่สมบูรณ์(Incomplete injury) การสูญเสียความรู้สึกบางส่วน ผู้ป่วยยังคงมีความรู้สึกบางส่วนเหลืออยู่
Conus medullaris syndrome
เป็นการบาดเจ็บของไขสันหลังระดับกระเบ็นเหน็บ,รากประสาทระดับเอว ทำให้กล้ามเนื้อขาอ่อนแรงเพียงเล็กน้อย
Cauda equina syndrome
เป็นการบาดเจ็บของรากประสาท,กระเบ็นเหน็บ
ทำให้เป็นอัมพาตชนิดอ่อนปวกเปียก
Anterior cord syndrome
พยาธิสภาพเกิดจากไขสันหลังส่วนหน้าถูกทำลายจากอุบัติเหตุที่ทำให้คองอทันที
Spinal concussion
เป็นภาวะที่ไขสันหลังได้รับการกระทบกระเทือน
ทำให้เกิดการหยุดทำงานชั่วคราว
Brown-Sequard syndrome
พยาธิสภาพเกิดจากการได้รับบาดเจ็บแบบบิดหรือหมุนอย่างแรง
Centrai cord syndrome
พยาธิสภาพเกิดจากการได้รับบาดเจ็บในท่าที่แอ่นมากเกินไป
ภาวะช็อกจากไขสันหลัง (Spinal shock)
อาการและอาการแสดง
ความดันโลหิดตํ่าลงเนื่องจากหลอดเลือด
ของอวัยยวะส่วที่เป็นอัมพาตขยายตัว
ผิวหนังเย็นเนื่องจากสัญญาณระหว่าง Hypothalamus,Sympathetic nervous system
อวัยวะที่อยู่ตำกว่าระดับไขสันหลังและ
อวัยวะภายในจะเป็นอัมพาตแบบอ่อนปวกเปียก
ไม่มีรีเฟล็กซ์
ความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ
ที่เกิดจากการบาดเจ็บไขสันหลัง
ระบบผิวหนัง มักเกิดแผลกดทับ
ระบบกล้ามเนื้อและข้อต่อ
เกิดกาดยึดติดกันของข้อต่อหรืือมีการแข็งตัวของกล้ามเนื้อ
ระบบย่อยและการขับถ่าย
อาจมีอาการท้องอืด แน่นท้องเนื่องจาก
การทำงานของกระเพาะอาหารและลำไส้ลดลง
อุณหภูมิของร่างกายเปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งแวดล้อม
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
โดยเกิดการขยายตัวของหลอดเลือด เลือดกลับสู่หัวใจลดลง
ระบบถ่ายปัสสาวะ กระเพราะปัสสาวะโป่งตังและมีนํ้าปัสสาวะคั่ง
ระบบทางเดินหายใจ
โดย Intercoatal muscle ที่ใช้ในการหายใจมีปัญหา
ภาวะชัก Seizure / Convusion
อาการชัก Seizure or Convulsion
เป็นอาการไม่ใช่โรค เกิดจากเซลล์ที่ไม่สามารถควบคุมการผ่านเข้าออก ของ Na+ - K+ ได้
เป็นผลทำให้จุดพยาธิกำเนิดของเซลล์ประสาทในสมอง Epileptic foci มีการปล่อยคลื่นไฟฟ้าผิดปกติ Epileptiform discharge
ทำให้เกิดการชักให้เห็น
อาการชักเกิดขึ้นได้ทั้งผู้ที่มีรอยโรคหรือไม่มีรอยโรค
สิ่งกระตุ้นการชัก Precipitating factor ของผู้ที่ไม่มีรอยโรค
น้ำตาลในเลือดผิดปกติ
3.เกลือแร่และสารน้ำผิดปกติ
ไข้สูง
การอดนอน
ได้รับยาหรือสารกระตุ้นสมอง
พยาธิสภาพและรอยโรคที่ทำให้เกิดการชัก
การติดเชื้อในกระแสประสาท
เช่น ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เนื้อสมองอักเสบ ฝีในสมอง
การกระทบกระเทือนที่ศีรษะ
เช่น เลือดออกในสมอง แผลเป็นจากสมองช้ำ
ความผิดปกติของสมองแต่กำเนิด
เนื้องอกในสมอง
อาการชักที่มีผลต่อทุกส่วนของสมอง เป็นอาการชักที่เกิดขึ้นกับสมองทั้ง 2 ซีก
3.อาการชักแบบกล้ามเนื้ออ่อนแรง Atonic Seizures
ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงลง ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อขณะเกิดได้ ทำให้ล้มพับ เฉียบพลันได้
อาการชักแบบชักกระตุก Clonic Seizures
เกิดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อผิดปกติ เกิดจากการขยับเขยื้อนในจังหวะซ้ำ มักเกิดกลับกล้ามเนื้อ คอ หน้า และ แขน
อาการชักแบบชักเกร็ง Tonic Seizures
เกิดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยมักเกิดกับ กล้ามเนื้อบริเวณหลัง แขน และ ขา จนทำให้ล้มได้
5.อาการชักแบบชักกระตุกและเกร็ง Tonic - Clonic Seizures
เป็นการชักที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อส่วนทุกส่วน เกิดอาการกล้ามเนื้อเกร็งและกระตุก ส่งผลให้ผู้ป่วยล้มลง และ หมดสตื
1.อาการชักแบบเหม่อลอย Absrnce Seizures
อาการเด่นที่พบคือ เหม่อลอย หรือ ขยับเขยื้อนร่างกายเพียงเล็กน้อย เช่นการกระพริบตา ขยับริมฝีปาก
อาจทำให้เกิดการเสียรู้สึกแบบสั้นๆได้
อาการชักแบบชักสะดุ้ง Myoclonic Seizures
เกิดแบบเฉียบพลัน เหมือนโดนไฟฟ้าช็อต มักเกิดหลังจากหลังตื่นนอน
การชักเฉพาะส่วน จะเกิดกับสมองเพียงบางส่วน ทำให้เกิดอาการชักที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเท่านั้น
อาการชักแบบรู้ตัว Simple Focal Seizures
อาจเป็นสัญญาณของการชักแบบอื่นๆ ที่กำลังตามมา
ผู้ป่วยยังมีสติครวถ้วน อาจรู้สึกเหมือนอาการเดจาวู
อาการชักแบบไม่รู้ตัว Complex patial Seizures
ผู้ป่วยไม่รู้ และ ไม่สามารถจำได้ ว่าเกิดอะไรขึ้น
ไม่สามารถคาดเดาได้
3.โรคลมชักหรือลมบ้าหมู Epilepsy
เป็นการผิดปกติของระบบประสาทส่่วนกลางที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย จนทำให้เกิดการชัก
อาการชักแตกต่างจากชักอื่นๆ
เกร็ง กระตุก กัดลิ้น น้ำลายฟูมปาก
สาเหตุยังไม่ชัดเจน อาจเกิดจากกรรมพันธุ์ หรือ ความผิดปกติของยีนในร่างกาย
อาจเกิดเกี่ยวกับหลอดเลือดสมอง เนื้องอกในสมอง เกิดจาก อุบัติเหตุที่ศีรษะอย่างรุนแรง ติดสาวเสบติด หรือ สุรา
การวินิจฉัยโรคลมชัก
การซักประวัติจากการใช้ยา สารเสบติด การดื่มแอลกอฮอล์
พิจารณาควบคุ่กับการตรวจทางการแพทย์
EEG
CT
MRI
อาการชักต่อเนื่อง Status epilepticus , SE
ผู้ป่วยไม่ฟื้นคืนสติ
เป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาให้เร็วที่สุด
เพราะ อาจขาด ออกซิเจน
เพราะอาจเกิดการอุดกันทางเกิดหายใจ
เป็นภาวะที่มีอาการชักมากกว่า 1 ครั้ง ชักนานต่อเนื่อง นานกว่า 30 นาที
ความเสื่อมของระบบประสาท (Neurodegenerative disorder)
Pakinson's disease
เกิดจากการเสื่อมของเวลล์ประสาท ในสมองส่วนที่สร้างสารสื่อประสาทโดปามีน โดยเฉพาะเซลล์บริเวณก้านสมองในส่วนบนที่เรียกว่า substantia nigraทำให้เกิดความไม่สมดุลของสารสื่อประสาท
สาเหตุ
เนื่องมาจากกรรมพันธุ์ ร่วมกับ ปัจจับสภาพแวดล้อม ที่ก่อให้เกิดการเสือม ในระบบประสาท
การได้รับสารพิษจากสิ่งแวดล้อม
โลหะ ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าวัชพืช ยาบ้าตัว เมทแอมตามีน
การติดเชื้อไวรัส
อาการของโรคพาร์กินสัน จะเกิดหลังจากการมีการสูญเสียสารสื่อประสาทโดปามีน ในระดับรุนแรง
อาการทางกายได้แก่
อาการสั่น
การเคลื่อไหวช้า
อาการพูดเสียงเครือๆ เบาๆ ฟังไม่ชัด
การเคลื่อนไหวลำตัวและขาช้าลง
การเคลื่อนไหวใบหน้าลดลง
การเคลื่อนไหวที่แขนและมือลดลง
อาการชักเกร็ง
สูญเสียการทรงตัว
พบในคนที่เป็นพากินสันมานานแล้ว
อาการทางจิตประสาท
เช่น ภาวะ ซึมเศร้า วิตกกังวล ไม่มีความสุข รู้สึกกระวนกระวานใจ อาการทางจิต(โรคจิต) อาการหลงลืม ภาวะสมองเสื่อม
อาการทางระบบประสาทอัตโนมัติและอาการอื่นๆ
ความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนท่าทาง
เช่น จากนั่งไปยืน ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการหน้ามืด แต่จะไม่ถึงกับเป็นลม หมดสติ
เหงื่อออก
ท้องอืด
ท้องผูก
ปัสสาวะบ่อยอั้นไม่อยู่
น้ำหนักตัวลด
การวินิจฉัยโรค
สามารถประเมินได้จากการซักประวัติ และ ตรวจร่างกาย
ดูอาการแสดงโดยอาศัยอาการแสดงของผู้ป่วย และ ความผิดปกติที่แพทย์เป็นหลัก
ตรวจพิเศษ
CT Scan
EEG
MRI
ปัจจุบันมีการตรวจการทำงานของสมองที่เรียกว่า Function MRI เช่น Dopa Pet Scan ซึ่งสามารถตรวจวัดความผิดปกติของสารโดปามีนในสมองของผู้ป่วยได้
ภาวะสมองเสื่อม Dementia syndrome
เป็นภาวะที่สมองเริ่มมีการทำงานด้านใดด้านหนึ่งถดถอย
เช่น ด้านความจำ ความคิด การใช้เหตุผล การใช้ภาาา การรับรู้สิ่งแวดล้อม
การสูญเสียจะค่อยๆลุกลามไปสมองส่วนอื่นๆ อย่างช้าๆ
เมื่อผ่านไป นานๆ 10 ปี ความปิดปกติจะเด่นชัดขึ้นมา
สมองเสื่อมอาจทำให้หลายๆอย่างเปลี่ยนไป เช่น บุคลิก พูดซ้ำ หลงลืม สภาพทางอารมณ์เปลี่ยนไป เก็บข้าวของผิดที่ผิดทาง
พยาธิสภาพของภาวะสมองเสือม ประกอบด้วย
2.การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในเซลล์
มีการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี ผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของสมอง
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสมอง ส่วนใหญ่จะเกิดที่เปลือกสมอง
ภาวะสมองเสื่อมที่พบได้บ่อย
ภาวะสมองเสื่อมจากโรคหลอดเลือด Vascular dementia , VadD
ความบกพร่องของความรู้คิด
มักเกิดตามหลังโรคหลอดเลือดสมอง ทั้งหลอดเลือดสมองขาดเลือด หรือ หลอดเลือดสมองแตก
โรคสมองเสื่อมที่พบเลวี บอดี Demential with lewy body , DLB
การจับกันผิดปกติของ โปรตีน lewy body ซึ่งเป็นโปรตีนแอลฟา - ไซนิวคลีอีน ที่อยู่ในเวลล์ประสาท
Alzheimer disease
มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและชีวเคมีมากกว่าสมองทั่วไป
โรคสมองเสื่อมบริเวณสมองส่วนหน้า Frontotemporal dementia , FTD
โรคนี้้พบได้น้อย มักพยในวัยกลางคน
เกิดจากความเสียหายของสมองส่วนหน้า และ สมองกลีบขมับ
ความรุนแรงของภาวะสมองเสื่อม แบ่งได้ 3 ระดับ
ระดับปานกลาง Monderate
บกพร่องทางการเข้าใจ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้
ระดับรุนแรง Severve
ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ในการทำกิจวัตรประจำวัน ต้องมีคนคอยเฝ้า
ระดับเล็กน้อย Mild
ผู้ป่วยมีอาการหลงลืท เข่น ข้าวของวางที่ไหนจำไม่ได้
จำสถานที่ที่คุ้นเคยไม่ได้
การวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อม โดยเกณฑ์ที่นิยมมากที่สุด DSM IV
มีความผิดปกติด้านความจำ
ผิดปกติอย่างน้อยใน 1 ข้อดังนี้
สูญเสียทักษะในการทำกิจกรรม Apraxia
ไม่สามารถแปรงฟัน หวีผม
ผิดปกติในการบริหารจัดการ
ผิดปกติของการใช้ภาษา
นึกไม่ออก เข้าใจภาษาลดลง
ผิดปกติในข้อ1และ 2
ความผิดปกติที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่ในช่สงที่มีภาวะสับสนเฉียบพลัน
ความผิดปกติที่เกิดนี้ไมาสามารถอธิบายได้ด้วยสาเหตุอื่นๆ
ภาวะความดันในกะโหลกสูง
(Increases Intracranial Pressure หรือ IICP)
ภาวะปกติความดันในกะโหลกศรีษะ
ความดันภายในกะโหลกศรีษะจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามกิจกรรมของร่างกาย
การก้ม
การเบ่งถ่าย
การไอหรือจาม
การกระตุ้นเจ็บปวด
การเพิ่มความดันในช่องอก
การลุกนั่ง
ค่าความดันปกติจะอยู่ระหว่าง 5-15mmHgหรือ
10-20cmH2O เมื่อใดก็ตามที่มีความดันในกะโหลกศรีษะสูงขึ้น การไหลเวียนของเลือดไปที่สมองจะลดลง
ภาวะความดันในกะโหลกศรีษะสูง
ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญและพบบ่อยในผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพที่สมอง
เนื้องอกสมอง
ภายหลังได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะ
มีแนวโน้มที่นะเกิดภาวะความดันในกะโหลกศรีษะสูงได้ภายใน24-72ชั่วโมง
ในผู้ใหญ่จะมีค่าความดันในกะโหลกศรีษะสูงมากกว่า15mmHg เมื่อความดันสูงขึ้น แรงดันในสมองที่เพิ่มขึ้นจะไปกดเบียดหลอดเลือดบริเวณใกล้เคียง ทำให้การนำออกซิเจนและการไหลเวียงของเลือดที่จะมาเลี้ยงลดลง
สาเหตุเกิดจากการเพิ่มปริมาตรภายในกะโหลกศรีษะทั้งในส่วนของเนื้อสมอง ระบบไหลเวียนเลือด น้ำหล่อสมอง และไขสันหลัง
กระบวนการชดเชย 2กลไก
กลไกที่1 การปรับชดเชยของน้ำไขสันหลัง
เมื่อมีสิ่งเกินที่เพิ่มขึ้น 50-70มิลลิลิตร ร่างกายจะปรับตัวโดยการขยับเลื่อนน้ำไขสันหลังไหลออกจากโพรง Subarachnoid
เมื่อความดันในโพรงกะโหลกยังสูงขึ้นเรื่อยๆ คอรอยด์ เพล็กซัส ในห้องสมองจะลดการผลิตน้ำไขสันหลังลง ขณะเดียวกันจะเพิ่มการดูดซึมที่อะแรชนอยด์ วิลไล มากขึ้น
กลไกที่2 การลดปริมาณเลือดไหลเวียนในสมอง(CBF)
เลือดดำจะเปลี่ยนทิศทางการไหลเวียนออกจากสมองส่วนที่มีพยาธิสภาพเข้าไปในแอ่งเลือดที่อยู่ไกลออกไป
ช่องไขสันหลัง ทำให้การไหลเวียนทั่วไปลดลง เลือดที่ไปเลี้ยงสมองลดลง
อาการและการแสดง
ปวดศรีษะ
ระยะแรก จะปวดศรีษะเป็นช่วงๆ
ระยะท้าย จะปวดศรีษะมากโดยเฉพาะตอนเช้าหลังตื่นนอน
พยาธิสภาพ
การดึงรั้งของ Bridging vein เยื่อหุ้มสมองถูกยืดขยาย
ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง
ระยะแรก กระสับกระส่าย สับสน ง่วงซึม ไม่รู้วัน เวลา สถานที่
ระยะท้าย หมดสติ
ตาพร่ามัวและจอประสาทบวม
พยาธิสภาพเกิดจากแรงดันในช่องใต้ประสาทตาสูงขึ้น ทำให้ประสาทตาถูกกด
รูม่านตาผิดปกติ
ระยะแรก ขยายข้างเดียวกับรอยโรค
ระยะท้าย ขยายทั้ง2ข้าง และไม่พบปฏิกิริยาต่อแสง
สัญญาณชีพเปลี่ยนแปลง
พยาธิสภาพ
รอยโรคกดลงที่ก้านสมอง ทำให้รบกวนศูนย์ควบคุมการหด-ขยายตัวของหลอดเลือด
กลไกลการตอบสนองของร่างกายในระยะปรับชดเชย
ระยะแรก จะปกติ
ระยะท้าย
ความดัน Systolic สูง Diastolicเท่าเดิม ทำให้Pulse pressureกว้าง>60mmHg
ชีพจรช้าลง(ต่ำกว่า60ครั้งต่อนาที)
รูปแบบการหายใจเปลี่ยนแปลงและไม่สม่ำเสมอ
กำลังกล้ามเนื้อผิดปกติ
ระยะแรก อ่อนแรงด้านตรงข้ามกับรอยโรค
ระยะท้าย ไม่มีการเคลื่อนไหว
อาเจียน
ระยะแรก ไม่พบอาการ
ระยะท้าย อาเจียนพุ่ง
การบาดเจ็บที่เกิดกับศีรษะและสมอง
ภาวะสมองบาดเจ็บ
การประเมินระดับความรุนแรงของสมองบาดเจ็บ
ประเมินจากอาการและอาการแสดง
2.การตอบสนองต่อคำพูด Verbal response
V4 = พูดได้เป็นประโยคแต่สับสน confused conversation
V5 = พูดตอบคำถามได้ปกติ และถูกต้อง oriented
V3 = ส่งเสียงเป็นคำๆ inappropriate
V2 = ส่งเสียงไม่เป็นคำพำพูด ครวญคราง incomprehensible
V1 = ไม่ส่งเสียง
1.การลืมตา Eye opening
E4 = ลืมตาเอง spontaneous
E3 = ลืมตาเมื่อเรียก speech
E2 = ลืมตาเมื่อเจ็บ pain
E1 = ไม่ลืมตาเลย none
3.การเคลื่อไหนของแขนขา Motor response
กำลังของแขนขา
เกรด 4 = ยกต้านแรงผู้ตรวจได้แต่พอควร
เกรด 5 = มีกำลังปกติสามารถต้านแรงผู็ตรวจได้
เกรด 3 = สามารถยกต้านแรงโน้มถ่วงได้แต่ต้านแรงผู้ตรวจไม่ได้
เกรด 2 = เคลื่อนไหวได้ในแนวราบแต่ต้านแรงโน้มถ่วงไม่ได้
เกรด 1 = กล้ามเนื่อมีการหดตัวแต่ไม่มีการเคลื่อนไหว
เกรด 0 = ไม่มีการเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อไม่หดตัว
กำลังการเตลื่อนไหวของแขนขา
M3 = แขนงอเข้าหาลำตัว ส่วนขาทั้ง 2 ข้างเหยียดงอ decortication
M4 = เมื่อทำให้เจ็บชักแขนหนี withdrawal
M2 = แขนและขาเหยียดผิดปกติ decerebration
M5 = ไม่ทำตามสั่งแต่ทราบตำแหน่งที่เจ็บ localized to pain
M1 = ไม่มีการเคลื่อนไหว
M6 = เคลื่อนไหวตามคำสั่งได้ถูกต้อง obey to command
ประเมินระดับความรู้สึกของกลาสโกว
ระดับปานกลาง Moderate
คะแนน GCS = 9-12
ระดับรุนแรง Severe
คะแนน GCS = <8
ระดับไม่รุนแรง Mild
คะแนน GCS = 13-15
ประเมินจาก CT scan
Non-evacuated mass lesion 6
high or mixed density lesions >25 cm not surgically evacuated
Evacuated mass lesion 5
any lesion evacuated surgically
Diffuse injury 4
midline shift >5 mm
Diffuse injury 3
middle shift of 0 to 5 mm
Diffuse injury 2
basal cisterns remain visible
Diffuse injury 1
no visible intracranial pathology
แบ่งได้เป็น 2 ระยะ
1.การบาดเจ็บระยะแรก primary brain injury
เกิดขึ้นทันทีภายหลังการบาดเจ็บ
มีการฉีกขาดของหลอดเลือดหรือใยประสาท
เซลล์ประสาทอาจถูกทำลาย
2.การบาดเจ็บระยะที่สอง secondary brain injury
เป็นภาวะต่อเนื่องจากการบาดเจ็บระยะแรก
เนื้อเยื่อพร่องออกซิเจน
ความดันต่ำ
สมองบวม
ชัก
พยาธิสภาพเมื่อเกิดการบาดเจ็บที่สมอง
Diffuse axonal injury (DAI)
การบาดเจ็บทั่วไปบริเวณเนื้อสมองส่วนสีขาวDiffused white matter injury
ก้อนเลือดในโพรงกะโหลกศีรษะ Intracranial hematoma
ก้อนเลือดเหนือเยื่อดูรา Epidural hematoma ภาวะที่มีเลือดออกอยู่ระหว่างกะโหลกกับเยื่อดูรา
ก้อนเลือดใต้เยื่อดูรา Subdural hematoma SDH เกิดจากการฉีกขาดของหลอดเลือดดำบริคจิงที่อยู่ในเช่องว่างยื่อดูรา
ก้อนเลือดใต้ชั้นอแรคนอยด์ Subarachnoid hemorrhage SAH เกิดการฉีกขาดของเส้นเลือดสมองทั้งเส้นเลือดแดงและเส้นเลือดดำ
ก้อนเลือดภายในเนื้อสมอง Intracerebral hematoma ICH เกิดจากการแตกของหลอดเลือดสงผลให้มีอาการผิดปกติทางระบบประสาท
เลือดออกในโพรงสมอง Intraventricular hemorrhage IVH ส่งผลให้การไหลเวียนน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลังถูกอุดกั้น
เนื้อสมองฉีกขาด Cerebral laceration
ภาวะสมองบวม Brain edema
เซลล์เนื้อเยื่อบวม Vasogenic brain barrier เกิดจากมีการทำลายโครงสร้างและหน้าที่ของตัวกรองกั้นระหว่างเลือดและสมอง
การบวมในเซลล์ Cytotoxic edema เกิดจากการบาดเจ็บของเซลล์
สมองซ้ำ Cerebral contusion
ภาวะสมองเคลื่อน Brain displacement or Brain herniation
Central herniation ก้อนบริเวณส่วนลึกของสมองจะกดส่วนท้ายของสมองส่วนหน้า
Uncal herniation เกิดจากก้อนในสมองกลีบ Temporal lobe
Cingulate herniation เกิดจากมีการขยายของสมอง Cerebral hemisphere
Tonsillar herniation เป็นกาารเคลื่อนตัวของต่อมทอลซิน ทำให้หลอดเลือดและไขสันหลังถูกกด
สมองกระทบกระเทือน Cerebral concussion
ภาวะสมองขาดเลือด Cerebral ischemia
การบาดเจ็บที่ศีรษะ Head injury
ประเภทของการบาดเจ็บที่ศีรษะ
2.การบาดเจ็บต่อกะโหลก Skull
กะโหลกแตกร้าวบริเวณฐาน Basilar skull fracture
กะโหลกศีรษะแตกยุบ Depressed skull fractures
กะโหลกศีรษะแตกร้าวเป็นแนว Linear skull fracture
กะโหลกศีรษะแตกร้าวบริเวณรอบประสานของกะโหลกศีรษะ Diastatic skull fractures
3.การบาดเจ็บของสมอง Alterationin brain injury
การเปลี่ยนแปลงการทำงานของสมอง
จำเหตุการณ์ไม่ได้
อาการบกพร่องทางระบบประสาท
สูญเสียการทรงตัว
พูดไม่ได้
อ่อนแรง
เสียความรู้สึกตัว
การเปลี่ยนแปลงของสภาพจิต
การบาดเจ็บศีรษะจากการกระทบภายนอก
การบาดเจ็บบริเวณศีรษะโดยตรง direct injury
วัตถุมากระทบ
ไปกระทบถูกวัตถุ
การบาดเจ็บโดยอ้อม indirect injury
แรงระเบิด
1.การบาดเจ็บที่หนังศีรษะ Scalp
แผลถลอก Abrasion
แผลฉีกขาด Laceration
บวม ช้ำหรือโน Contusion
แผลขอบเรียบ Cut wound
การติดเชื้อในระบบประสาท
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
เกิดจากเชื้อแบคทีเรียเข้า Subarachnoid space
ระยะแรกเยื่อหุ้มสมองเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเล็กน้อย
เกิดการอักเสบ Inflammatory mediators
Neutrophil และ Albumin ผ่านหลอดเลือดฝอยสู่น้ำไขสันหลัง
น้ำไขสันหลังเหนียวข้นขึ้น
ไหลไปที่สมองและไขสันหลังได้น้อยลง
ขัดขวางวิลไลที่เยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง
อุดกั้นการดูดซึมของน้ำไขสันหลัง
อาการและการแสดง
การติดเชื้อ
เบื่ออาหาร
หนาวสั่น
มีไข้สูง38-39
ภาวะแทรกซ้อน
มีฝีในสมอง
สมองบวม
มีน้ำหรือหนองในช่องใต้เยื่อหุ้มสมอง
การระคายเคืองของเยื่อหุ้มสมองความผิดปกติในการทำงานของสมอง
อาการชัก
ปวดศีรษะมาก
ปวดบริเวณคอร่วมด้วย
ซึมลง
Stiffness of neck, Kernig's sign และ Brudzinski's sign ได้บวก
มีอาการกลัวแสง
การวินิฉัย
ซักประวัติการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
อาการและอาการแสดง
ตรวจร่างการ
ตรวจ Lab
ฝีในสมอง
ติดเชื้อของอวัยวะที่ไกลออกไปและ Bactermia
การติดเชื้อในช่องท้อง
การติดเชื้อของปอด
เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
มีช่องทางเปิดติดต่อกับภายนอกหรือมีการฉีดขาดของเยื่อหุ้มสมองชั้นดูรา
กะโหลกศีรษะแตก
ผ่าตัดสมองและระบบประสาท
การติดเชื้อของอวัยวะที่ยู่ข้างเคียง
บริเวณใบหน้าอักเสบ
หูชั้นกลางอักเสบ
โพรงกระดูกมาสตอยด์อักเสบ
ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันโรค
โรคเรื้อรัง
ยากดภูมิคุ้มกัน
ผู้ป่วย AIDS
อาการและอาการแสดง
ปวดศีรษะในตอนเช้า
มีไข้ อาเจียน
อ่อนเพลีย
มีปัญหาการมองเห็น
ระดับความรู้สึกตัวลดลง
มีอาการชัก
การตรวจวินิจฉัย
CT scan เป็นการตรวจที่ได้ผลเร็วและม่นยำที่สุด
เนื้อเยื่อสมองอักเสบ หรือสมองอักเสบ
ไวรัสที่มาจากยุง เชื้อแบคทีเรีย ภายหลังฉัด vaccine และภายหลังติดเชื้อ meningitis
เชื้อโรคทำลายผนังเซลล์
เพิ่มการซึมผ่านของสารน้ำและโปรตีนเข้าสู่ช่องว่างระหว่างเซลล์
สมองบวม
ความดันในโพรงกะโหลกสูง
อาการ
ปวดศีรษะ มีไข้ อาเจียน
ระคายเคืองต่อเยื่อหุ้มเซลล์
อาการของ Neuron ฉีกขาด
ง่วงซึม
การรู้สติลดลง
ชัก
อัมพาต
เดินเซ
แขนขาสั่น
คลื่นไส้ อาเจียน
การตรวจวินิฉัยโรค
LP
ลักษณะ CSF ผิดปกติ
มีความดันสูง
มีโปรตีนสูง
MRI และ EEG
พบสิ่งผิดปกติ